ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 146 หักหลังความรักความชอบธรรมสองสิ่ง-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 146 หักหลังความรักความชอบธรรมสองสิ่ง-1

“เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

เซียวจิ่นข่านรู้ว่าเขาหมายถึงทังจงซง

แต่เซียวจิ่นข่านไม่ต้องการประเมินผู้ใดด้วยวิธีการเรียบง่ายเช่นนี้จริงๆ

อย่างไรเสียตัวตนของเขาอ่อนไหว หากทุกคำกล่าวแพร่ออกไป ก็อาจถูกตีความจนกลายเป็นปัญหา

หากเขาประเมินผู้ใด ย่อมมีจุดประสงค์ของเขา

อีกทั้งคนผู้นั้นต้องเป็นคนที่ดีทั้งภายใน น่าเอ็นดู และอ่อนโยนยิ่ง

เซียวจิ่นข่านไม่ชอบผู้ที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจมากเกินไป และไม่ชอบผู้ที่ใจเย็นเกินไป ดังหลิวรุ่ยอิ่งเช่นนี้จึงมีความพอดี

แต่ตอนนี้ในเมื่อตี๋เหว่ยไท่ถาม อย่างไรเขาก็ต้องให้คำตอบ

“ข้าไม่รู้จักเขาดี แต่คำไม่กี่ประโยคที่เขากล่าวเมื่อครู่น่าสนใจทีเดียว แต่ผู้ที่พูดจาฉลาดมีมากนัก แต่มีน้อยคนที่ทำเรื่องฉลาด การผสมผสานของทั้งสองสิ่งจึงจะนับว่าเป็นผู้มีสติปัญญาแต่ไม่เคร่งครัดจริงๆ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“เขาเป็นศิษย์ของฮั่ววั่ง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ข้ารู้”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ทว่าจางอวี่ซูแสดงตัวออกมาก่อนเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

บัณฑิตจางในความทรงจำของเขาเป็นผู้นำที่ใจเย็นมาโดยตลอด

ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดในโลกผูกมัดเขาได้ เว้นก็แต่ศิษย์ที่น่าสงสารของเขา

เขามักจะมองผู้คนด้วยสายตาเย็นชา ฟังคำด้วยหูที่เย็นชา อารมณ์ความรู้สึกเย็นชา ใจเย็นชา

โอกาสที่จะทำให้เขาโผล่ออกมาเช่นนี้ได้ไม่มากจริงๆ

“คราวนี้ท่านก็คิดว่าเขาเป็นตัวแปรหนึ่งก็ได้”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ตัวแปรหรือ ดีหรือร้ายเล่า”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม

“หากท่านให้ข้าตอบจงได้ เช่นนั้นก็จะใช้โอกาสหมดไปหนึ่งครั้ง เราตกลงกันแล้ว ห้าปีสี่ครั้ง ตอนนี้ยังเหลืออีกสองครั้ง ท่านคิดดีแล้วหรือ”

เซียวจิ่นข่านถาม

ตี๋เหว่ยไท่เคาะโต๊ะเบาๆ เห็นได้ชัดกำลังครุ่นคิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่

“ช่างเถิด ต่อให้ตัวแปรจะดีหรือร้าย ด้วยสถานะปัจจุบันของข้าก็ยังรับมือกับมันได้”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“นี่ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ อย่าเอาแต่เขียนคนเสื่อมถอยในกวีสองประโยคแล้วถือเอาตนเองเป็นคนเสื่อมถอยเข้าจริงๆ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“บทความตำรา เพียงถ่อมตนเท่านั้น”

ตี๋เหว่ยไท่แย้มยิ้มกล่าว

แต่บนใบหน้าของเขากลับมองไม่เห็นท่าทีถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย

………………………..

หลิวรุ่ยอิ่งหยิบเสื้อคลุมของตนขึ้นมาจากพื้น มองทังจงซงจนไร้คำพูด

แม้ในที่นี้จะมีบุรุษอยู่ทั้งสามคน แต่ต่อให้ยายเฒ่าจะชราเพียงใดก็เป็นสตรี หลิวรุ่ยอิ่งทำตัวร้ายกาจเหิมเกริมเช่นเขาไม่ได้

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ทังจงซงหันไปถามหลิวรุ่ยอิ่ง

ตามสัญชาตญาณแล้ว เขารู้สึกว่ามันจะต้องเป็นเรื่องยุ่งเหยิงของบัณฑิตจางและลากตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่

ดังนั้นเขาจึงกลอกตาใส่บัณฑิตจาง

“ข้าก็ไม่รู้ อย่างไรเสียก็เป็นเพราะพื้นรองเท้าคู่หนึ่ง แล้วก็มีบิดาเพิ่มมาให้เจ้ากับข้าอีกหนึ่งคน”

หลิวรุ่ยอิ่งแบมือพลางกล่าว

เขาโยนพื้นรองเท้าปลอมคู่นั้นลงพื้น

ในเมื่อเป็นของปลอมจึงไร้ความหมาย ถือมันไว้ก็เป็นภาระไร้ประโยชน์

“บิดาหรือ บิดาข้าอยู่รัฐติงนู่น จะเอาบิดาจากที่ใดเพิ่มมาอีก!”

ทังจงซงกล่าวด้วยความโมโห

“บิดาเจ้ายังอยู่ที่รัฐติง บิดาข้าล่วงลับไปกว่ายี่สิบปีแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ฉะนั้น ‘บิดา’ นี้คือผู้ใด แสดงตัวออกมาให้ข้าดูหน่อย! ให้ข้าดูหน่อยว่าผู้ใดจะมาเป็นบิดาของข้า!”

ทังจงซงตะโกน

ดวงตาจ้องมองไปทางบัณฑิตจางโดยตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง

สีหน้าบัณฑิตจางกระอักกระอ่วน แต่ไม่กล่าววาจา เพียงเบือนหน้าหนีไปให้พ้นสายตา

“อิ๋นซิง เจ้าเคยพบลูกชายที่ลั่นวาจากับข้าเช่นนี้หรือไม่ ต่อให้เขาจะเป็นลูกชายข้าจริง เกรงว่าจะรอดได้ไม่ถึงสามวัน!”

บัณฑิตจางกล่าว

อิ๋นซิงดูเหมือนจะรู้สึกว่าตนทึกทักไปเองเล็กน้อย จึงพยักหน้าเงียบๆ

“ฉะนั้นเรื่องของเรา เราก็มาจัดการกันเองเถิด ปล่อยเจ้าเด็กสองคนนี้ไปเสีย”

บัณฑิตจางกล่าว

อิ๋นซิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยอมรับฟังแล้ว จึงดึงด้ายทองตัดวิญญาณหนาแน่นออกจากทั่วทั้งลานเงียบๆ

“กินนี่เสีย”

อิ๋นซิงโยนขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ให้ทังจงซงและกล่าว

“นี่คือสิ่งใด”

ทังจงซงถาม

ขวดกระเบื้องเคลือบในมือดูสวยงาม สัมผัสอุ่นร้อนทั้งยังมีกลิ่นกายหอม

เพียงแต่กลิ่นกายหอมนี้คล้ายกับเด็กสาว แต่กลิ่นที่มาจากกายยายเฒ่าช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง

“ปีนี้ท่านอายุเท่าไรหรือ”

ทังจงซงถือขวดกระเบื้องเคลือบพลางเอ่ยถามประหนึ่งถูกผีอำ

อิ๋นซิงได้ยินจึงถอนหายใจ ทันทีที่เชิดคางของตน ‘ใบหน้า’ ที่สมบูรณ์จึงเผยออกมาในคราเดียว

แม้ว่ารูปลักษณ์เดิมที่เผยออกมาจะไม่ใช่เด็กสาว แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์และสง่างาม แม้จะสวมอาภรณ์เรียบง่าย แต่การเคลื่อนไหวเผยให้เห็นเสน่ห์ของผู้ใหญ่

หากกล่าวว่าเด็กสาวเป็นพุทราเขียวลูกหนึ่งห้อยบนกิ่งอัดแน่นไปด้วยน้ำค้าง เมื่อเข้าปากจะมีรสหวานและรสฝาดอยู่ในลำคอ

เช่นนั้นอิ๋นซิงเป็นลูกท้อที่สุกงอม ห้อยอยู่บนกิ่งไม้อย่างแน่นหนา อุดมไปด้วยน้ำผลไม้ เนื้อแน่นรสหวานกลมกล่อมในปาก

ทังจงซงและหลิวรุ่ยอิ่งตะลึงงัน

โดยเฉพาะทังจงซง อาจกล่าวได้ว่าเขาได้เห็นความงามทุกสิ่งในโลกแต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสตรีที่อายุมากกว่าเล็กน้อยจะมีเสน่ห์ยั่วยวนยิ่งกว่าเด็กสาวเสียอีก

แม้ว่าอิ๋นซิงจะแต่งกายหลวมโคร่งเรียบง่าย แต่การที่ใบหน้านี้อยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ทังจงซงตอบสนองอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

จนปัญญากระทั่งหันหลังกลับไปหยิบเสื้อคลุมของหลิวรุ่ยอิ่งผูกไว้รอบเอว ปิดซ่อนความเก้อกระดาก

แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่รู้สึกแปลกอะไร

อย่างแรกคือเพราะเขาไม่ค่อยรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงมากนัก ย่อมไม่มีความคิดอื่นเกิดขึ้นเช่นทังจงซง

อย่างที่สองเมื่อครู่เขาได้ปะทะไม่ตายไม่เลิกรากับอิ๋นซิงมาระยะหนึ่ง ทำให้เขายังหวาดกลัวในใจ

แม้จะงดงาม แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่านี่คืองูเพศเมียงดงามตัวหนึ่ง

ไม่รู้ว่าจะโผล่มาฉกเขาอีกเมื่อใด อย่าได้โดนใบหน้านี้หลอกเข้าเชียว

แต่นี่ก็ช่วยคลายความสงสัยในใจหลิวรุ่ยอิ่ง เป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้มีอยู่บางครั้งบางคราวที่เสียง ‘ยายเฒ่า’ ไม่เข้ากับใบหน้า

ใบหน้าปกปิดได้ แต่การเปลี่ยนเสียงไม่ใช่เรื่องง่าย

“หนานเจิ้นหรือ”

บัณฑิตจางกล่าวถาม

“หากไม่ใช่หนานเจิ้น จะหลอกแม้กระทั่งเจ้าได้อย่างไร”

อิ๋นซิงยิ้มพลางกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งรู้จักชื่อหนานเจิ้น

เป็นชื่อคนผู้หนึ่ง และเป็นร้านค้าที่เชี่ยวชาญการสร้างวัตถุอันชาญฉลาดแสนประหลาดอีกด้วย

ว่ากันว่าเป็นร้านค้าแห่งหนึ่ง จริงๆ แล้วกลับไม่มีหน้าร้าน

หนานเจิ้นเจ้าของร้านเป็นช่างฝีมือเพียงคนเดียวของหนานเจิ้น

ตามที่เล่าขานในช่วงนานมาแล้ว เจ้าของร้านหนานเจิ้นได้ประดิษฐ์วัสดุชนิดหนึ่งเรียกว่าเหอเกิง

สามารถเกาะติดแนบสนิทกับผิวหนังมนุษย์ ทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงได้เป็นระยะๆ ตามกาลเวลาที่ผันเปลี่ยน ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต

มีเพียงหนานเจิ้นผู้เดียวที่รู้จักเนื้อสัมผัสของวัสดุนี้

แต่เขาไม่คิดเผยแพร่และไม่รับศิษย์เด็ดขาด

แม้ว่าจะมีผู้ใดลักพาตัวหรือหักกระดูกขาเขาเป็นท่อนๆ ก็ไม่ปริปากเอ่ย

อีกฝ่ายจนปัญญาจึงยอมปล่อยเขาไป

อย่างไรแล้วพวกเขาก็ไม่กล้าหักมือของหนานเจิ้น

ฝีมือชำนาญทั้งหมดของเจิ้นหนานล้วนขึ้นอยู่กับมือทั้งสองข้าง

ไม่ว่าจะเป็นวัตถุแปลกเช่นใด ขอเพียงเจ้ากล่าวมา เขาย่อมประดิษฐ์ให้เจ้าได้

แต่สิ่งที่เลื่องชื่อที่สุดก็ยังเป็นเหอเกิงสิ่งนี้

ช่วงแรกหนานเจิ้นใช้เหอเกิงทำเสื้อผ้า แม้สวมใส่บนร่างกายจะฟันแทงไม่เข้า แต่มันบางเบาทัดเทียมกับปีกจั๊กจั่น อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน

แต่ในตอนนั้นได้รับความนิยมในหมู่สตรีสูงศักดิ์และสตรีทุกคนอย่างล้นหลาม

ท้ายที่สุดแล้วมีสตรีใดอยากสวมใส่เสื้อผ้าฤดูหนาวหนาหลายชั้นในวันที่อากาศหนาวเย็นบ้างเล่า ทั้งไม่น่าดูทั้งยังลำบากยิ่ง

ชุดเหอเกิงตัวเดียวก็เพียงพอ

ทั้งรูปแบบใหม่ ทั้งลวดลายงดงาม

แต่การกำเนิดของสิ่งใหม่ๆ ย่อมมีข้อดีข้อเสียเสมอ

ในตอนแรกเริ่มโจรลี้ภัยพยายามหลบหนีการจับกุมเหล่านั้นซื้อชุดเหอเกิง ตัดเป็นหน้ากากตามรูปหน้าของตน ต่อมาผ่านการปรับเปลี่ยนไปหลายครั้ง สวมใส่แล้วกลายเป็นคนใหม่ ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็ไม่มีผู้ใดจำได้อีก

ประโยชน์แสนอัศจรรย์ของชุดเหอเกิงแพร่กระจายออกไป ทันใดนั้นพวกสามลัทธิเก้ากระแสต่างก็เริ่มแย่งชิงอย่างบ้าคลั่ง

หนานเจิ้นรู้สึกว่าสิ่งนี้ขัดกับความตั้งใจเดิมของเขา จึงพากันปิดร้านและสาบานว่าจะไม่ถักเย็บชุดเหอเกิงอีกชั่วชีวิต

ส่งผลให้เหลือเพียงชิ้นเดียวในตลาดจึงกลายเป็นสมบัติที่หาได้ยาก

ทว่าเมื่อพิจารณาถึงความสามารถของอิ๋นซิง ทำได้เรื่องหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเป็นพิเศษ

ก่อนหน้านี้ทังจงซงเห็นอิ๋นซิงปลอมตัวเป็นยายเฒ่ากำลังปักเย็บพื้นรองเท้าบนถนนสายยาว จึงเข้าไปร่วมสนุกด้วย

แม้ว่าบัณฑิตจางจะจำปลอกนิ้วบนมืออิ๋นซิงได้ แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเป็นนาง

หรือบางทีในใจของเขาคิดว่าอิ๋นซิงไม่มีทางมาที่นี่ได้ และปลอกนิ้วนั่นอาจจะบังเอิญหล่นหายและมีคนพบมัน หรืออาจจะแค่ดูคล้ายกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เขาหาข้ออ้างแก้ตัวที่น่าเชื่อถือให้ตนเองได้มากพอแล้วทิ้งช่วงเวลานี้ไว้ข้างหลัง เลิกเป็นกังวลกับมัน

………………………..

“ข้าจำได้ว่าท่านรู้จักหนานเจิ้นใช่หรือไม่”

เซียวจิ่นข่านถาม

“ข้ารู้จัก ทว่าไม่ได้พบหน้านานหลายปีแล้ว”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“หลังจากปิดร้านเขาไปที่ใดหรือ”

เซียวจิ่นข่านถาม

“เดิมทีร้านของเขาไม่มีที่ตั้งแน่นอน ไปที่ใดก็เปิดได้ที่นั่น ต่อมาขาทั้งสองข้างของเขาถูกหักทิ้ง เขาก็ประดิษฐ์รถสี่ล้อให้ตนเอง แต่สุดท้ายการสัญจรไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้คาดว่าคงจะอาศัยอยู่ในป่าลึกบางแห่งอย่างสันโดษแล้วกระมัง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ในเมื่อเดินเหินไม่สะดวก ไม่ควรอาศัยอยู่ในเมืองที่มีชีวิตชีวาหรอกหรือ เหตุใดจึงหลบซ่อนอยู่ในป่าลึกเล่า เกรงว่าแม้แต่การตักน้ำก็จะเป็นปัญหาแล้วกระมัง”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว สำหรับหนานเจิ้นไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ใดล้วนเหมือนกัน แม้จะอยู่ในเมืองที่วุ่นวาย เขาก็ไม่เคยออกไปไหน”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ไม่ออกไปแม้แต่ก้าวเดียวหรือ ไม่เจอแม้แต่ผู้คนหรือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม

“ไม่ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เจอผู้คน ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขามีเสาหลายต้น บนนั้นเขียนโดยแบ่งออกเป็น ข้าว อาหารและสุรา เสาทุกต้นเชื่อมต่อกับร้านค้าที่เกี่ยวข้อง ขอเพียงเขาดึงเสา กระดิ่งในร้านจะได้รับการแจ้งเตือนและส่งอาหารและสุราที่ตรงกันมาให้”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ต้องมีคนส่งให้เขาใช่หรือไม่ นี่ไม่ใช่ว่ายังต้องพบคนอีกหรือ”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ไม่ กลไกชุดนั้นไม่เพียงแต่เตือนร้านค้าที่เกี่ยวข้องทำอาหาร เตรียมสุรา ทั้งยังสามารถนำอาหารที่ทำเสร็จแล้วและสุราที่เตรียมไว้ใช้กลไกนี้ส่งมาหน้าโต๊ะของเขา ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องออกไป และไม่ต้องพบเจอใคร”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“นี่เป็นคนแปลกประหลาด กลไกลนี้ก็เป็นสิ่งแปลกประหลาดเช่นกัน”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ล้วนสามารถประดิษฐ์เจ้าสิ่งนี้ออกมาให้ตน ส่วนการเตรียมน้ำอย่างที่เจ้าว่าก็หาได้เป็นปัญหาสำหรับเขาไม่”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“เช่นนั้นเขากินของแบบเดิมทุกวันหรือ เหมือนกันทั้งสามมื้อเลยหรือ”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม

“ก็ไม่ใช่ เสาทั้งสามต้นล้วนมีสามระดับ เลื่อนลงมาหนึ่งระดับก็เป็นอาหารเช้า สองระดับก็เป็นอาหารกลางวัน สามระดับก็เป็นอาหารเย็น ส่วนเมนูอาหารเปลี่ยนเช่นไรข้าก็ไม่รู้แน่ชัด จริงสิ สุราก็มีสามระดับ”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“สุรายังมีการแบ่งอีกสามระดับหรือ”

เซียวจิ่นข่านไม่เข้าใจ

“ระดับแรกคือสุราดีเลิศ ระดับสองคือสุราดีระดับกลาง ระดับสามกากสุราที่ด้อยรองลงมา”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“เหตุใดเขาต้องดื่มกากสุราที่ด้อยรองลงมาด้วยเล่า”

เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม

“ข้าไม่รู้ คราวหน้าเจอเขาข้าจะถามให้”

ตี๋เหว่ยไท่ยิ้มพลางกล่าว

“ข้ากลับนึกถึงหนึ่งคนกับหนึ่งสิ่ง”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“สิ่งใดหรือ”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม

……………………………………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท