บทที่ 147 หักหลังความรักความชอบธรรมสองสิ่ง-2
“กระบี่ปลิดวิญญาณของโอวฉู ท่านไม่คิดว่ากระบี่ปลิดวิญญาณนี้คล้ายคลึงกับกลไกของหนานเจิ้นบ้างหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
ตี๋เหว่ยไท่เงียบขรึม
เป็นคนในมักมองไม่ทะลุเหตุการณ์ดังคาด เขาไม่เคยเปรียบเทียบเช่นนี้มาก่อน
ทว่ากระบี่ก็เป็นอาวุธและเป็นอาวุธสังหาร
ด้วยนิสัยของหนานเจิ้น ตี๋เหว่ยไท่ไม่คิดว่าเขาจะทำสิ่งของเช่นนี้
หนานเจิ้นเป็นคนที่มีจิตใจดียิ่ง
ด้านหน้าโต๊ะของเขาเป็นเก้าอี้หวาย
ทุกครั้งก่อนนั่งลง เขามักจะไกวเก้าอี้หวายเบาๆ เพียงเพราะกลัวว่าตนจะนั่งทับแมลงตัวเล็กๆ บางตัวตาย
เขย่าไกวเบาๆ ครั้นแมลงตัวเล็กเหล่านี้ได้รับสัญญาณก็จะคลานเข้าไปในรอยแตก เขาก็จะนั่งลงได้อย่างสบายใจ
ทว่ามีส่วนที่ขัดแย้งกันกับคำกล่าวของตี๋เหว่ยไท่เมื่อครู่
เซียวจิ่นข่านฟังไม่ออก แม้แต่ตี๋เหว่ยไท่เองก็ไม่ได้สังเกตเห็นความจริง
นั่นก็คือในเมื่อหนานเจิ้นไม่เคยพบคน เหตุใดตี๋เหว่ยไท่จึงรู้ลึกถึงวิถีชีวิตของเขาเพียงนี้เล่า
จากคำบรรยายของตี๋เหว่ยไท่จะเห็นได้ว่า เขารู้จักคุ้นเคยกับหนานเจิ้นมาก อย่างน้อยๆ เขาก็เคยเห็นโต๊ะของหนานเจิ้น
ในเมื่อเห็นโต๊ะ ไยจึงไม่เคยพบเจอหนานเจิ้นคนผู้นี้เล่า
ตี๋เหว่ยไท่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหนานเจิ้นจึงพบกับตน และลืมไปแล้วว่าทั้งสองพบกันอย่างไร
ความทรงจำเขาดียิ่ง ผ่านตาไม่อาจลืม
แต่สำหรับเรื่องไม่สลักสำคัญเหล่านี้ เขากลับลืมไปจนสิ้น
ความจำของหลิวรุ่ยอิ่งก็ดียิ่งเช่นกัน แต่เขากลับไม่มีความสามารถลืมได้เช่นตี๋เหว่ยไท่
เขาจำได้ว่าชายชราเลี้ยงม้าผู้นั้นเคยบอกกับเขา แม้หลายสิ่งจะลบเลือนจากสมองไป แต่ก็ยังคงจดจำไว้ในใจ
หากในใจลืมสิ้น จึงจะเป็นการลืมไปจนสิ้นจริงๆ
แต่การลืมไปจนสิ้นจริงๆ ไม่ใช่การนึกไม่ออก แต่เมื่อลองนึกดูแล้วหากร่างกายไร้ความผันผวนเพราะสิ่งนี้ จึงนับว่าลืมไปจนสิ้นแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าชายชราเลี้ยงม้ากล่าวได้ถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น เขาคล้ายกับว่าจะลืมทุกสิ่งที่ตนกระทำกับหยวนเจี๋ยและตระกูลหยวน แต่เขากลับลืมมันไม่ลง
แม้แต่สมองยังไม่อาจลืม ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงในใจ ดังนั้นทุกครั้งที่เขานึกย้อนถึงเรื่องนี้ ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ร่ำไป
………………………..
“เดิมข้าก็มีชุดเหอเกิงอยู่แล้ว”
อิ๋นซิงกล่าว
“ตัวที่ข้าซื้อให้เจ้าหรือ”
บัณฑิตจางกล่าว
“ไม่ใช่ ข้าตัดชุดตัวนั้นที่เจ้าให้ข้าเป็นชิ้นๆ และโยนทิ้งไปแล้วตั้งแต่ที่เจ้าจากไปไม่ลา ตัวนั้นที่ข้ากล่าวมาข้าเป็นคนซื้อเอง”
อิ๋นซิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินถึงตรงนี้ จึงรู้สึกว่าคนเราไม่ควรมองที่รูปลักษณ์ภายนอกดังคาด
ผู้ใดจะคิดว่าบัณฑิตจางที่ยามปกติพูดน้อยคำจะซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ให้สตรีเล่า
ยิ่งกว่านั้น ‘จากไปไม่ลา’ สี่คำนี้ ยิ่งชวนให้ขบคิดยิ่งนัก
บัณฑิตจางก็เป็นผู้ที่มีเรื่องราวเช่นกันสินะ…
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
หลิวรุ่ยอิ่งหมายจะดึงทังจงซงจากไป เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตจางและอิ๋นซิงมีบางอย่างต้องพูดคุยกัน
ตนทั้งสองอยู่ที่นี่ต่อไป เลี่ยงเป็นส่วนเกินที่น่าลำบากใจโดยไม่จำเป็น
แต่ทังจงซงไม่ไป
เรื่องราวที่น่าสนใจเช่นนี้หาได้ยากนัก แต่หากเทียบกับล่อลวงให้บัณฑิตคร่ำครึเหล่านั้นเสียเงินมันยังสนุกยิ่งกว่า
อย่างไรเสียก็เป็นอดีตของบัณฑิตจาง ยามปกติตาเฒ่านี่มักเชิดจมูกชี้ฟ้า ดูแคลนสิ่งนั้น ดูถูกสิ่งนี้ แต่ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของสตรีไม่ต่างกันหรอกหรือ
ทังจงซงรู้สึกว่าตนทำสิ่งนี้ได้ชาญฉลาดยิ่งกว่าบัณฑิตจางเป็นร้อยเท่า
แม้ว่าตอนที่เขาจะอยู่ที่หัวเมืองรัฐติง เกี้ยวพาราสีนารีทั้งวัน มีเรื่องหวานชื่นนับไม่ถ้วน แต่เบื้องหลังของเขาสะอาดหมดจด! ไม่มีสตรีใดมาเยี่ยมถึงที่หรือแม้แต่ร้องไห้โวยวายก็ไม่มี
ครั้นคิดเช่นนี้ ครู่หนึ่งทังจงซงรู้สึกสบายใจมากทีเดียว
“ข้าหาได้จากไปไม่ลาไม่ ข้าทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้าหนึ่งฉบับ”
บัณฑิตจางกล่าวอย่างดื้อรั้น
“ไม่บอกกล่าวกับข้าต่อหน้า ก็เป็นการจากไปไม่ลา!”
อิ๋นซิงกล่าว
“ข้าเป็นภาระถึงเพียงนี้เลยหรือ เจ้าต้องการทำสิ่งใดข้าล้วนสนับสนุนทุกสิ่งเสมอมา เหตุใดจึงไม่อาจพาข้าไปด้วยเล่า”
อิ๋นซิงกล่าว
นางกล่าวน้ำเสียงสะอื้น ราวกับว่าน้ำตาหยดใหญ่กำลังจะร่วงไหลอาบแก้มของนางในวินาทีต่อมา
“ข้าต่างหากที่เป็นภาระเจ้า…”
บัณฑิตจางกล่าว
“ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ข้าเป็นตาเฒ่าหยาบคาย ยังต้องฝากตัวกับวังติ้งซีอ๋อง ไม่ใช่ผู้สั่งการสำนักปากสอบดังเช่นในอดีตมานานแล้ว”
บัณฑิตจางเว้นครู่หนึ่งและกล่าวต่อ
“ท่านฝากตัวหนแห่งใดข้าไม่สน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตัดสินใจ แต่ข้าเพียงอยากฝากตัวไว้กับท่าน!”
อิ๋นซิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งอดทอดถอนใจไม่ได้
ในชีวิตมนุษย์จะมีผู้ที่สนิทสนมในโลกนี้ช่างยากยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสตรีคนสนิทที่มีใบหน้าสะสวยเช่นนี้ และยิ่งไปกว่านั้นสตรีคนสนิทยังมีจิตใจแน่วแน่ ไม่มีวันยอมแพ้เช่นนี้อีกด้วย
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งจะสามารถถอนตัวออกจากการปะทะเมื่อครู่และพิจารณารูปลักษณ์ของอิ๋นซิงได้
ไม่ว่าระดับตบะนางหรือรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร ก็ยังเป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์
แต่บัณฑิตจางก็หาใช่คนที่เดายากจนน่ากลุ้มใจไม่ ตัวเลือกของเขาย่อมมีเหตุผลของเขา
แต่ดูจากสีหน้าของเขาหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เขาต้องแบกรับความเจ็บปวดในใจอย่างมาก
“ยิ่งกว่านั้นเจ้าทำสิ่งใด สถานะใด ข้าไม่สนใจทั้งสิ้น ข้าเพียงแต่ต้องการอยู่ข้างกายเจ้า จางอวี่ซูก็เท่านั้น”
อิ๋นซิงกล่าว
บัณฑิตจางยังคงเงียบไม่เอ่ยคำใด
เขารับรู้ถึงความรู้สึกที่อิ๋นซิงมีต่อตนเอง แต่คำตอบของเขาที่มีต่อสิ่งนี้คือการหลบเลี่ยง
หากรู้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาคงไม่เลือกยอมรับมันตั้งแต่แรกเริ่มอย่างแน่นอน
ไยโชคชะตาจึงเล่นตลกกับผู้คน การเปลี่ยนแปลงฉับพลันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันกลับทำให้ตัวเขาไม่เข้าใจชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนเลยจะเหลือแรงไปรักผู้อื่นเล่า
บัณฑิตจางไม่เคยกล่าวว่าอิ๋นซิงเป็นภาระหรือเป็นตัวถ่วง กระทั่งไม่เคยมีความคิดโกรธแค้น
ไม่สนว่าระดับฝึกตนวิถียุทธ์ของเขาจะสูงเพียงใด ตำแหน่งจะสูงเพียงไหน
เขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง
คำว่ารักเดิมก็เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง
ในเมื่อเขาให้ชีวิตที่มั่นคงกับอิ๋นซิงไม่ได้ ไยต้องปล่อยให้สตรีผู้นี้พลัดถิ่น นอนกลางดินกินกลางทรายเพราะตนด้วยเล่า
เขาทำใจไม่ได้
บัณฑิตจางผู้ที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ครั้นเผชิญหน้ากับฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องและตี๋เหว่ยไท่ล้วนไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะกลัวที่ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์นี้
แม้ว่าจะทิ้งจดหมายหนึ่งฉบับ
แต่ตัวเขาย่อมรู้ดีว่านี่เป็นการจากไปไม่ลา
เพราะเขาไม่มีความกล้าที่จะพูดต่อหน้าจริงๆ
เขารักอิ๋นซิงมาก
ดังนั้นเขากลัวว่าเมื่อได้พบหน้าและได้ยินเสียงของอิ๋นซิง เขาจะหวั่นไหวอีกครั้ง
ฝ่ายหนึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ตนรัก อีกฝ่ายเป็นคนรักของตน
จะรักษาสมดุลความสัมพันธ์อาจารย์กับศิษย์และความสัมพันธ์ชายหญิงได้อย่างไร
บัณฑิตจางคิดว่าศิษย์ของตนยังเป็นเด็ก ต้องการการดูแลยิ่งกว่าอิ๋นซิง
แต่สำหรับอิ๋นซิง เพียงคิดว่าหลังจากทรมานใจระยะหนึ่งแล้วก็คงจะลืมตนไปจนสิ้น ยังสามารถสง่างามได้ ตนเพียงอวยพรให้อย่างเงียบๆ ก็พอ
บัณฑิตจางเขียนชัดเจนในจดหมาย หากอิ๋นซิงยินดีรอ รอเขาหาศิษย์ของตนพบ หลังจากจัดการเขาเรียบร้อยตนก็จะกลับมา
แต่อิ๋นซิงไม่ได้รอ หลังจากนางอ่านจดหมายก็ออกเดินทาง ไล่ตามรอยบัณฑิตจางมาโดยตลอดและมักจะช้ากว่าเสมอ
อิ๋นซิงถอดรองเท้า ดึงพื้นรองเท้าออกจากรองเท้าแล้วโยนให้บัณฑิตจาง
บัณฑิตจางหยิบพื้นรองเท้าที่ยังมีไออุ่นกายของอิ๋นซิงซึ่งไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใด แต่สัมผัสที่ผ่านมือซ้ายกลับบอกเขาได้ว่าพื้นรองเท้าคู่นี้ไม่ธรรมดา
อย่างน้อยๆ จากรูปลักษณ์ภายนอก มันก็หนากว่าพื้นรองเท้าแบบอื่น
พื้นรองเท้าไม่มีลายปัก แต่มีเพียงอักษรสามตัว
ด้านซ้ายคือ ‘จาง’ ด้านขวาเป็น ‘อวี่ซู’
“ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก ข้าจึงตัดจดหมายที่เจ้าทิ้งให้ข้าครึ่งหนึ่งเย็บติดกับพื้นรองเท้า แต่ข้าก็เกลียดเจ้า! ข้าจึงปักชื่อของเจ้าไว้บนพื้นรองเท้าและเหยียบย่ำมันทุกวัน!”
อิ๋นซิงกล่าว
“แต่เมื่อข้าเห็นพู่ผูกติดกับปลายพัดกระดูกของเจ้า ข้าก็ยิ่งเกลียดไม่ลงอีกแล้ว ข้าจึงไม่ต้องการเยียบย่ำชื่อของเจ้าอีก…”
อิ๋นซิงหันหลังให้และกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านางร้องไห้แล้ว
ไม่ว่าอิ๋นซิงจะอายุเท่าใด มีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด นางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง
หากเด็กสาวงอแงแสร้งร้องไห้ ย่อมแสดงออกอย่างเปิดเผย กลัวว่าผู้อื่นจะมองไม่เห็น เพราะนางกำลังรอให้คนมาปลอบอยู่
หากเด็กสาวเสียใจและรู้สึกเศร้าโศกและหลั่งน้ำตาจริงๆ เพียงแค่หามุมและขดตัวเงียบๆ ไม่ส่งเสียง
ตอนนี้ในลานเล็กๆ ไม่มีมุมให้อิ๋นซิงขดตัวได้ หรือแทนที่จะอยู่ในมุม นางยิ่งต้องการขดตัวอยู่ในอ้อมแขนบัณฑิตจาง
แต่นางไม่รู้ว่าตอนที่ตนโผเข้าหา บัณฑิตจางกลับผลักตนออกไป ทั้งยังหลบเลี่ยง
นั่นยิ่งทำให้นางเสียใจมากขึ้น ยิ่งว่านั้นตอนนี้ยังมีคนนอกอีกสองคน เจ้าเด็กหนุ่มสองคนนั่น
อิ๋นซิงไม่อยากอับอายขายหน้าจริงๆ ดังนั้นนางจึงหมุนตัวและหันหลังให้ทั้งสามคน
บัณฑิตจางมองพู่ที่หางพัดของตน ใช้มือลูบมันเบาๆ ภาพจากอดีตไหลย้อนมาราวกับน้ำหลาก ทำให้เขาอดน้ำตาไหลไม่ได้ “ชอบหรือไม่”
ทังจงซงกล่าวถาม
บัณฑิตจางยังไม่ได้สติกลับคืนอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งยังมองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง
“ข้าถามท่านอยู่นะ! ชอบหรือไม่!”
ทังจงซงกล่าวถามอีกรอบ
“เจ้าต้องถามเขาว่าสิ่งที่ชอบคือคน พู่ หรือพัดกระดูกในมือ”
หลิวรุ่ยอิ่งก็ช่วยพูดอยู่ข้างๆ
“แต่ว่าชอบพู่ก็คือชอบคน ไม่ได้แกะมันออกมาหลายปีก็ยังคิดถึงไม่เสื่อมคลาย!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวต่อ
บัณฑิตจางลูบคลำพู่พลางมองแผ่นหลังของอิ๋นซิง เงียบอยู่นานทีเดียว จนในที่สุดคำว่า ‘ชอบ’ คำนี้ก็หลุดออกมาจากไรฟัน
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งและทังจงซงได้ยินสองคำนี้จึงหันหลังจากไป
ไม่สนว่าทั้งสองคนข้างหลังจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยตอนนี้บัณฑิตจางก็สามารถเผชิญกับความรู้สึกของตนได้แล้ว
จะว่าไป เมื่อครั้งที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นพัดกระดูกของบัณฑิตจางครั้งแรกก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ไยพัดดีๆ เช่นนั้นจึงต้องผูกพู่ที่จะหลุดไม่หลุดแหล่พวงนั้น แท้จริงแล้วมีอดีตที่ไม่ธรรมดาอยู่เบื้องหลัง
เห็นของแล้วคิดถึงคน!
“เจ้าจะไปไหน”
ทังจงซงกล่าวถาม
“ข้าจะไปทำกรอบใส่อักษร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าไปด้วย!”
ทังจงซงกล่าว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับขยับเพียงก้าวเดียว เอาแต่จ้องมองทังจงซงเงียบๆ
ทังจงซงตะลึงกับสายตาของหลิวรุ่ยอิ่ง จึงก้มศีรษะมองตนเอง
“ฮ่าๆๆ รอข้าสวมเสื้อผ้าสักเดี๋ยว!”
ทังจงซงหัวเราะพลางกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะพลางส่ายศีรษะกล่าว
“ข้าจะไปเรียกจิ่วซานปั้นด้วย”
“ดีๆๆ! รอใส่กรอบเสร็จไปซื้อสุรากลับมาดื่มพอดี”
ทังจงซงกล่าว
“อยากดื่มสุรามงคล คงจะรีบร้อนเกินไปหน่อยกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวติดตลก
“สามารถดื่มสุรามงคลได้ย่อมดียิ่ง ไม่ใช่สุรามงคลอย่างน้อยก็เป็นสุรา”
ทังจงซงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
อย่างไรเสียสุรามงคลนี้ก็แพงเกินไป ที่แพงไม่ใช่ราคา แต่อยู่ที่ใจและความรู้สึกของผู้คน เดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถดื่มได้
………………………………………………………………………..