ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 150 เงื่อนไข

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 150 เงื่อนไข

ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ?

ลั่วเซิงรักษาความนิ่งสงบบนใบหน้า ทว่าแววตากลับกระด้าง “เขามาขอพบข้าหรือ”

“ขอรับ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อบอกว่าขอพบคุณหนูโดยเฉพาะ”

ลั่วเซิงหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นและพูดว่า “นำทางเถอะ”

เว่ยเฟิงกำลังรออยู่ในเรือนรับรองข้างหน้า เหลือบมองไปที่ประตูอยู่บ่อยครั้ง

เหตุใดคุณหนูลั่วถึงยังไม่มาอีก

เขาถูถ้วยชาซ้ำแล้วซ้ำอีก ปลายนิ้วที่สั่นเทาแสดงถึงความวิตกกังวลภายในใจ

ม่านลูกปัดขยับเล็กน้อย คนรับใช้ที่ยืนอยู่ที่ประตูก็คำนับ “คุณหนู”

เว่ยเฟิงลุกขึ้นยืนทันที

ลั่วเซิงเดินเข้ามา สายตามองจ้องไปที่เว่ยเฟิง

รูปร่างสูงโปร่ง รูปโฉมหล่อเหลา เชื้อพระวงศ์แซ่เว่ยต่างก็มีรูปโฉมงดงามกันทั้งนั้น

“คุณหนูลั่ว” เว่ยเฟิงระงับความวิตกกังวลแล้วกล่าวทักทายขึ้น

ลั่วเซิงโค้งคำนับและกล่าวทักทาย “ท่านอ๋องน้อย”

นางเดินไปนั่งแล้วเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านอ๋องน้อยมาเยี่ยมบ้านอันต่ำต้อยของข้า ไม่ทราบว่ามาด้วยธุระอันใดหรือ”

“เสด็จพ่อของข้าถูกลอบสังหารใกล้หอสุราเมื่อวานนี้ คุณหนูลั่วคงได้ยินเรื่องนี้มาแล้วกระมัง” ในใจของเว่ยเฟิงมักจะรู้สึกเสมอว่า บุตรสาวสุดที่รักของแม่ทัพใหญ่ลั่วที่มักจะเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนในเมืองหลวงนั้น เป็นหนึ่งในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่ทำตัวเหลวไหลกำเริบเสิบสาน

เมื่อเห็นว่ายามนี้นางดูสงบและสุภาพ กล่าววาจามีมารยาท เว่ยเฟิงก็รู้สึกตงิดใจอยู่ครู่หนึ่ง

หรือว่าเขาจำคนผิด?

ลั่วเซิงรับถ้วยชาที่คนรับใช้ส่งให้ขึ้นมาจิบกล่าวด้วยสีหน้าเสียใจ “เป็นข้าที่เปิดหอสุรานั้น จะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านพ่อยังบอกด้วยว่าเมื่อใดที่จวนของท่านสงบเรียบร้อยดีแล้ว จะพาข้าไปเยี่ยมบิดาของท่าน”

ผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหาร โอรสสวรรค์พิโรธ ทุกครอบครัวต่างส่งของขวัญไปยังจวนผิงหนานอ๋อง

สำหรับการมาเยือนนั้น การไปรบกวนที่นั่นในตอนที่จวนอ๋องกำลังโกลาหลวุ่นวายย่อมไม่ใช่เรื่องดี

ลั่วเซิงรังเกียจแม้กระทั่งพืชพรรณต้นไม้ทุกต้นในจวนผิงหนานอ๋อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทายาทผู้สืบทอดจวนอ๋องที่อยู่ตรงหน้าเลย

แต่นางก็พอที่รู้จักการแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตาม

เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่ลั่วซึ่งเป็นผู้ล้อมปราบครอบครัวของนาง นางยังสามารถเรียกว่าท่านพ่อได้เต็มปาก แค่แสดงละครต่อหน้าผิงหนานอ๋องซื่อจื่อจะไปยากอะไร

เว่ยเฟิงประสานมือคำนับ กล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “วันนี้ที่ข้ามาพบคุณหนูลั่ว ก็เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่ว”

“ช่วยเหลือหรือ” ลั่วเซิงวางถ้วยชาลง หยิบกาน้ำชาขึ้นมาเติมใส่ถ้วยชาของเว่ยเฟิงด้วยสีหน้าสงบ

สายตาของเว่ยเฟิงมองไปยังมือเรียวขาวนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในสวนดอกไม้จวนอ๋อง เป็นมือข้างนี้ที่ใช้จับงู…

“ท่านอ๋องน้อยดื่มชาเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงกล่าวเสียงเรียบ

เว่ยเฟิง “…”

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถดื่มชาได้ลงอีก เว่ยเฟิงพูดแช่มช้า “เสด็จพ่อของข้าตกอยู่ในอันตราย เมื่อเช้านี้ข้าไปเชิญหมอเทวดาแล้ว แต่เสียดายที่สิ่งที่ข้านำไปนั้นไม่เข้าตาของหมอเทวดา จำได้ว่าคุณหนูลั่วเคยเชิญหมอเทวดาได้จึงมาขอคำแนะนำโดยเฉพาะ”

“เป็นเช่นนี้เอง” ลั่วเซิงแสดงสีหน้าประหลาดใจ

อันที่จริงเมื่อได้ยินว่าผิงหนานอ๋องซื่อจื่อมาขอพบ นางก็พอจะเดามูลเหตุได้อยู่แล้ว

ในขณะนั้นนางก็เคยลังเลอยู่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจมาพบเขา

“ข้าเกรงว่าจะช่วยท่านอ๋องน้อยไม่ได้”

“คุณหนูลั่ว!” เว่ยเฟิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับการปฏิเสธที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้

เขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องตกลงช่วย เพราะเห็นแก่หน้าของจวนผิงหนานอ๋อง

ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ความชอบของหมอเทวดานั้นไม่แน่นอน ข้าแค่ลองผิดลองถูก จะกล้าเชิญหมอเทวดาช่วยท่านอ๋องน้อยได้อย่างไร”

เว่ยเฟิงคิดว่านี่เป็นข้อแก้ตัว เขาเลิกคิ้วกล่าวว่า “แต่คุณหนูลั่วเคยช่วยเสด็จอาของข้าแล้ว”

“เสด็จอาของท่าน?”

“ใช่ ไคหยางอ๋องเป็นเสด็จอาของข้า ไม่นานมานี้ หลังจากหมอเทวดาออกจากจวนของเจ้าก็เดินทางไปที่จวนไคหยางอ๋องต่อ โดยที่หลังจากนั้นเสด็จอาของข้าไม่ได้ไปเชิญหมอเทวดาอีกเลย ทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะมีคุณหนูลั่วช่วยเหลือกระมัง” เว่ยเฟิงมองลั่วเซิงด้วยสายตาแน่วแน่ น้ำเสียงเจือความก้าวร้าวบีบบังคับโดยไม่รู้ตัว

ลั่วเซิงยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “ท่านอ๋องน้อยหมายความว่า ข้าช่วยไคหยางอ๋องแล้ว ก็ต้องช่วยท่านเช่นนั้นหรือ แล้วถ้าวันนี้ข้าช่วยท่าน แล้ววันหน้ามีคนมาขอความช่วยเหลือจากข้าอีก ควรทำอย่างไรดีล่ะ”

เว่ยเฟิงนิ่งอึ้ง

ลั่วเซิงพูดอีกครั้ง “ใต้ร่มพระบารมี มีผู้สูงศักดิ์มากมาย หากพวกเขาทั้งหมดขอความช่วยเหลือจากข้าโดยอ้างว่าข้าเคยช่วยเหลือคนผู้หนึ่งแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างปกติแล้ว วันๆ พักอาศัยอยู่ในโรงน้ำชาหน้าประตูบ้านของหมอเทวดากระนั้นหรือ ท่านอ๋องน้อยคิดว่าข้าเป็นกังวลเรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่”

เว่ยเฟิงอ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้

เขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีเหตุผล

ถ้าเป็นเขา เขาคงไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนที่มาขอความช่วยเหลือได้

เมื่อเห็นเว่ยเฟิงเช่นนี้ ลั่วเซิงก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ

นางรู้ว่าอีกฝ่ายพอจะฟังรู้เรื่องบ้างแล้ว

อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับสถานะที่เท่าเทียมกันพอถูไถของทั้งสองฝ่าย หากเป็นคนธรรมดา เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่พูดพล่าม แต่จะพาไปโยนทิ้งไว้ที่หน้าประตูบ้านของหมอเทวดาหลี่แล้ว

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เว่ยเฟิงก็พูดเน้นทีละคำ “คุณหนูลั่ว เสด็จพ่อของข้ามิใช่คนทั่วไป แต่เป็นพี่น้องของฝ่าบาท ท่านอาของรัชทายาท ข้าคิดว่าถ้าข้าขอความช่วยเหลือจากบิดาของเจ้า เขาต้องช่วยข้าแน่นอน”

ลั่วเซิงกระตุกมุมปาก

นี่นับว่าเป็นการข่มขู่ ข่มขู่บุตรสาวของเขาด้วยอนาคตของแม่ทัพใหญ่ลั่ว

แต่นางไม่ยอมให้อีกฝ่ายสมหวังง่ายๆ หรอก

ลั่วเซิงยื่นมือออกไป ผลักถ้วยชาที่เว่ยเฟิงละเลยไปตรงหน้าเขา ผลิยิ้มบางๆ “เหตุใดท่านอ๋องน้อยไม่ดื่มชาเล่า หรือว่าไม่พอใจกับชาในจวนแม่ทัพใหญ่”

เว่ยเฟิงจ้องมองชาถ้วยนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างยากลำบากและวางลงราวกับว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว

ลั่วเซิงยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่าท่านพ่อของข้ายินดีที่จะช่วย แต่ท่านพ่อของข้าไม่สามารถเชิญหมอเทวดาได้”

เว่ยเฟิงสำลัก

ที่พูดมาก็มีเหตุผล

เหตุใดเขาถึงไม่รู้ว่าคุณหนูลั่วที่ชอบพูดจาแทะโลมบุรุษจะมีคารมคมคายเพียงนี้

ปฏิบัติแตกต่างออกไป? ไม่ใช่แน่นอน เพียงแต่อับอายจนพาลโกรธเท่านั้น

เว่ยเฟิงพูดอย่างเย็นชา “คุณหนูลั่วไม่เคยนึกถึงแม่ทัพใหญ่เลยหรือ”

ใบหน้าของลั่วเซิงแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา สีหน้าแววตาสงบเยือกเย็น “ท่านพ่อของข้ามีวันนี้ได้เพราะอาศัยความสามารถของเขา เพราะได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ จะมาพึ่งพาข้าที่เป็นลูกสาวได้อย่างไร”

แม่ทัพใหญ่ลั่วแตกต่างจากเหล่าขุนนางทั่วไป ที่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะอาศัยความไว้วางใจจากฮ่องเต้

ตราบใดที่ความไว้วางใจของฮ่องเต้ยังคงอยู่ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ หากปราศจากซึ่งความไว้วางใจของฮ่องเต้แล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วผู้รุ่งโรจน์ก็จะไม่เหลืออะไรเลย

หากจะว่ากันตามจริง คำพูดของผิงหนานอ๋องซื่อจื่อไม่อาจข่มขู่นางได้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทางแข็งกระด้างของลั่วเซิง เว่ยเฟิงก็เข้าใจในข้อนี้อย่างชัดเจน น้ำเสียงอ่อนลงทันที “เช่นนั้นคุณหนูลั่วก็กล่าวมาตามตรงเถิด ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะยอมช่วยข้า”

ลั่วเซิงมองดูเขานิ่งๆ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “ท่านอ๋องน้อยเต็มใจยอมรับเงื่อนไขของข้าหรือไม่”

เว่ยเฟิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทันใดนั้นก็มีความคิดเกิดขึ้น คุณหนูลั่วคงไม่ได้ต้องการให้เขาแต่งงานกับนางกระมัง

เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

เขาที่เป็นถึงผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ ผู้สืบทอดคนต่อไปของจวนอ๋อง จะแต่งงานกับสตรีที่เลี้ยงนายบำเรอได้อย่างไร

ด้วยการคาดเดานี้ เว่ยเฟิงมองประเมินหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว

งดงามสะสวยก็จริงอยู่ แต่ไม่ไหวจริงๆ

ถ้านางไม่ใช่บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ก็พอจะฝืนใจยอมรับนางเป็นอนุได้อยู่หรอก

“ท่านอ๋องน้อย?”

เว่ยเฟิงตื่นจากภวังค์ พูดอย่างเคร่งขรึม “ตราบใดที่สามารถช่วยเสด็จพ่อของข้าได้ ไม่ว่าเงื่อนไขใดข้าก็ยอมรับได้”

อย่างเลวร้ายที่สุดแค่กลับคำพูดก็พอ

“ข้าชื่นชอบกำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีที่ท่านหญิงน้อยสวมใส่ประจำ ถ้าท่านอ๋องน้อยมอบให้ข้า ข้าก็จะช่วยไปเชิญหมอเทวดาให้”

กำไลทอง?

เท่านี้?

เว่ยเฟิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

ไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท