ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 159 เชิญชวน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 159 เชิญชวน

ลั่วเซิงนั่งลงตรงข้ามเว่ยหาน เห็นผู้ชายคนนี้ไม่ถามอะไร ก้มหน้ากินอย่างเดียว นางรู้สึกโมโหแต่ก็ลังเล

หรือว่านางเดาผิดไปนะ

หากเกี่ยวข้องกับไคหยางอ๋อง เช่นนั้นก็เสียดายอาหารพวกนี้แย่

สายตาของลั่วเซิงหยุดอยู่ที่เสื้อผ้าสีเขียวของชายคนนี้ พูดเสียงราบเรียบว่า “เหมือนกับว่าท่านอ๋องจะมีรสนิยมเปลี่ยนไปนะเจ้าคะ”

เว่ยหานวางตะเกียบลง ยิ้มๆ “อยู่เมืองหลวงมานาน ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง”

ลั่วเซิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เมืองหลวงน่ะดีทุกอย่าง แค่มีงูเยอะไปหน่อยช่วงฤดูร้อน งูเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นงูเขียว จะว่าไปแล้ว เหมือนกับสีชุดที่ช่วงนี้ท่านอ๋องชอบใส่เลย”

เว่ยหาน “…”

เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าสบตากับเด็กสาวที่นั่งเท้าคางอยู่ ถามเสียงสงบว่า “วันนี้คุณชายใหญ่หลินไม่ได้มากินข้าวหรือ”

ลั่วเซิงหน้าไม่เปลี่ยนสี แต่ใจกลับกระตุกอย่างแรง

นางจงใจพูดถึงงูเขียวเพื่อลองเชิงอีกฝ่ายและคำถามนี้ของไคหยางอ๋องคือการตอบนางอย่างไม่ต้องสงสัย

คนที่เอาธนูและจับงูใส่เข้าไปคือเขาจริงๆ ด้วย!

เป้าหมายของเขาคือนางหรือหลินเถิงกันนะ

ลั่วเซิงฉุกคิดได้ นางได้คำตอบในทันที ในเมื่อไคหยางอ๋องพูดถึงคุณชายใหญ่หลิน เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเขาคือหลินเถิง

หากเป็นเช่นนี้ ไคหยางอ๋องคงเดาได้ว่าหลินเถิงน่าจะพบโพรงต้นไม้นั่นจึงโยนงูตัวหนึ่งเข้าไปเป็นการลงโทษเพื่อตักเตือน

เช่นนั้นไคหยางอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าธนูอยู่ในโพรงต้นไม้ เขาจับตามองนางตั้งแต่แรก สงสัยนางตั้งแต่แรกแล้วหรือ

แล้วหลินเถิงทำให้ไคหยางอ๋องขัดเคืองตั้งแต่เมื่อใดกัน

คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในใจลั่วเซิง ทำให้นางมองอยู่เช่นนั้นไม่ละสายตาไปเสียที

เว่ยหานมองกลับมา คีบกุ้งแช่บ๊วยตัวหนึ่งขึ้นมากิน

คุณหนูลั่วตกใจหรือไม่นะ

อันที่จริงเขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของนาง ถึงอย่างไรคนที่นางยิงคือผิงหนานอ๋อง ไม่ใช่เขาเสียหน่อย

ถึงจะยิงเขาเขาก็ไม่กลัว ด้วยฝีมือของเขา นางคงยิงไม่โดน…

เขาก็แค่ถือโอกาสปิดท้ายงานเท่านั้น

ตอนที่เขาหยิบธนูออกมาจากโพรงต้นไม้ บังเอิญมีงูเขียวตัวหนึ่งเลื้อยมา เมื่อคิดถึงเจ้าคนสกุลหลินและลูกน้องของเขาที่ได้ทานอาหารในราคาพิเศษและอาหารแถมของมีหอสุราก็โยนงูตัวนั้นเข้าไป

ได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่หลินสืบสวนคดีเก่งมาก หากโชคดีพบโพรงต้นไม้นี้เล่า

ส่วนเรื่องที่คุณหนูลั่วจะแอบมาเอาธนูไปหรือไม่นั้น เขาไม่กังวลแม้แต่น้อย

ด้วยความรู้จักที่ไม่ค่อยสนิทมากนักกับคุณหนูลั่ว หญิงสาวฉลาดปราดเปรื่องคนนี้ไม่ทำเช่นนี้แน่นอน

ที่จริงตอนที่เขาเอาธนูกลับจวนอ๋อง หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้ว่าตนเองทำเรื่องเกินความจำเป็น

ธนูคันนั้นธรรมดามาก แม้จะตกอยู่ในมือของหลินเถิงก็ไม่เป็นไร

และด้วยเหตุนี้ เดิมเขาไม่อยากพูดถึง กลับไม่คิดว่าคุณหนูลั่วจะมาถาม

เพื่อที่จะถาม ยังให้อาหารแถมแก่เขา…

ลั่วเซิงกลับไม่รู้ความคิดของเว่ยหาน รู้สึกเพียงว่าความคิดของอีกฝ่ายคาดเดาได้ยากนัก พบว่านางคือคนร้ายที่ลอบสังหารผิงหนานอ๋อง แต่กลับมาดื่มสุราอย่างใจเย็น ชวนให้สับสนจริงๆ

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “ช่วงนี้ต้าไป๋อ้วนขึ้นเล็กน้อย หากวันไหนท่านอ๋องว่าง สนใจมาดูหรือไม่เจ้าคะ”

เรื่องบางเรื่องไม่สมควรที่จะพูดที่นี่ แต่หากไม่ถามให้ชัดเจนก็ยากจะคลายความกังวลได้

ขณะที่ลั่วเซิงพูด สือเยี่ยนยกกล่องเต้าหู้จานหนึ่งมาพอดี

คุณหนูลั่วชวนนายท่านไปดูต้าไป๋?

เขารู้สึกว่าต้าไป๋ไม่ได้อ้วนขึ้นนี่ แต่ดุขึ้นน่ะเรื่องจริง

คุณหนูลั่วเรียกนายท่านไปดูต้าไป๋ทำไมกันนะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะตำหนิเขาที่ดูแลไม่ดี

แต่เขาถูกปรักปรำจริงๆ นะ มีฟู่เสวี่ยเจ้าหมอนั่นเฝ้าอยู่ เขาอยากเข้าใกล้ต้าไป๋อย่างไรก็ไม่ได้

เขาเองก็หมดหนทางแล้ว จะใช้กำลังทุบตีนายบำเรอของคุณหนูลั่วสักยกก็คงไม่ได้หรอกนะ

“กล่องเต้าหู้มาแล้วขอรับ…” สือเยี่ยนใจเต้นราวกับตีกลองระรัว เขาวางจานลง

สายตาของเว่ยหานถูกเต้าหู้ที่เรียงกันเป็นชิ้นๆ อย่างเป็นระเบียบดึงดูด

ลั่วเซิงกระแอมเบาๆ

เว่ยหานพยักหน้าจริงจัง “ข้าจะไปเยี่ยมจวนคุณหนูพรุ่งนี้”

หากรู้ว่าจะทำให้คุณหนูลั่วไม่สบายใจ เมื่อครู่นี้เขาก็คงไม่ยอมรับแล้ว

เมื่อคิดว่าจะได้เจอห่านขาวตัวนั้นก็คิดว่าไม่เลว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายตกลง ลั่วเซิงก็สบายใจขึ้น นางชี้ไปที่อาหารที่ยกมาใหม่แนะนำว่า “เต้าหู้ก้อนนี้เราทอดก่อนนำไปนึ่ง ยัดไส้ด้วยหมูสามชั้นและหน่อไม้ ท่านอ๋องลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่ ต่อไปมีแผนจะลองยัดไส้กุ้งด้วย…”

ยังมีไส้กุ้งด้วยหรือ

เว่ยหานกินเต้าหู้ชิ้นหนึ่งลงไป เมื่ออวัยวะภายในได้สัมผัสก็รู้สึกไม่พอใจ

กล่องเต้าหู้ที่อร่อยเช่นนี้ วันนี้ได้ชิมแค่รสชาติเดียว น่าเสียดายจริงๆ

ผ่านไปเพียงไม่นาน อาหารที่เว่ยหานสั่งก็มาครบแล้ว

ปกติซิ่วเย่ว์อยู่แค่ในห้องครัว ชายมีหนวดยืนหยัดจะไปรับเสี่ยวชี ส่วนชายฉกรรจ์ไม่เดินออกมาห้องโถงในเวลาทำการของหอสุรา

นอกจากสามคนนี้แล้ว คนที่เหลือที่มีหงโต้วเป็นลูกพี่ล้วนยืนข้างเว่ยหาน พวกเขามองเขากินข้าวตาปริบ

เว่ยหานไม่รู้สึกรู้สาอะไร กินอาหารอย่างสบายใจ

ไม่มีผู้อื่นรบกวน (ไม่นับคนของหอสุรา) และกินได้ไม่จำกัด ยังมีอาหารแถม หากต่อไปเหมือนวันนี้ทุกวัน คงจะดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วพาองครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งเข้ามาก็เห็นภาพดาวล้อมเดือนเช่นนี้

ไคหยางอ๋องทานข้าวคนเดียว ต้องมีคนคอยรับใช้ถึงสี่ห้าคน ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ

“แค่กๆ” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็กระแอมเสียงดัง

ลั่วเซิงมองไปที่ประตู เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ลุกขึ้นเดินไป “ลมอะไรหอบท่านพ่อมาเจ้าคะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดด้วยสีหน้าสบายๆ ว่า “วันนี้ศาลาว่าการยุ่งมาก พ่อยุ่งจนดึกไปหน่อย ก็เลยแวะมากินข้าว”

ในความเป็นจริงแล้วเขาคิดว่าเมื่อวานเกิดเรื่องผิงหนานอ๋อง หอสุราของลูกสาวคงส่งผลกระทบอย่างมาก

คนเป็นพ่อจะไม่มาช่วยลูกสาวสักเล็กน้อยได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้ผู้คนไม่น้อยพูดถึงร้านมีหอสุราว่าอาหารอร่อยเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่เขาคิดว่าด้วยฐานะของตนเองมาทานอาหารที่หอสุราคงทำให้ผู้คนอึดอัด และอาจจะทำให้ลูกสาวรู้สึกไม่ภาคภูมิ เขาจึงไม่ได้มาเสียที

อีกอย่างคนเหล่านั้นก็พูดเกินจริง โม้ไม่หยุด คงคิดว่าต่อไปหากกระทำผิดแล้วเขาจะผ่อนปรนให้ เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็รู้สึกยิ่งไม่ควรมา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เขาอยากจะมาดูตั้งนานแล้ว

เชอะ หากไม่มาก็คงไม่รู้ว่าไคหยางอ๋องวางมาดต่อหน้าลูกสาวตนเองเช่นนี้

แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มหยันในใจ ก้าวเท้าเดินเข้าไป

ทุกคนที่ยืนล้อมเว่ยหานคารวะแม่ทัพใหญ่ลั่ว

เว่ยหานวางตะเกียบลง พยักหน้าทักทาย

“ไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย” แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่มีทีท่าว่าจะนั่งทานด้วย เขานั่งลงที่โต๊ะข้างๆ

“อาหารในร้านถูกปากข้าน่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองอาหารบนโต๊ะเว่ยหาน เขาตกหลุมรักไก่แช่น้ำมันจานหนึ่งทันที

แค่เห็นก็น้ำลายไหล บางทีคนพวกนั้นอาจจะไม่ได้พูดเกินจริงก็ได้

“ให้พวกเขานั่งอีกโต๊ะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วชี้ลูกน้องห้าหกคนที่เขาพามา

หงโต้วปราดตามองชายร่างสูงใหญ่ห้าหกคน ตะลึงในทันที “พวกเขาก็กินด้วยหรือเจ้าคะ”

องครักษ์จิ่นหลินยืนฟังด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่กระตุกมุมปากพร้อมกัน

ถามอะไรโง่ๆ

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเขาไม่ใช่คนหรืออย่างไร

ยุ่งตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น หิวโซจนตัวแห้งหนังติดกระดูกแล้ว พวกเขาไม่ใช่แค่จะกินเท่านั้น แต่จะกินให้เยอะกว่าเดิมด้วย

“ท่านแม่ทัพใหญ่ อาหารของหอสุราเราแพงมากนะเจ้าคะ…”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดขัดหงโต้ว “ยกมาเลย”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท