ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 90 ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่เชื่อข้า

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 90 ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่เชื่อข้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ยื่นโอกาสให้พวกเจ้าในภายหน้า!

บทที่ 90 ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่เชื่อข้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ยื่นโอกาสให้พวกเจ้าในภายหน้า!

อาหารวิญญาณแบบพิเศษบนโต๊ะยาวถูกกวาดเรียบในหนึ่งชั่วยามต่อมา อันที่จริงแม้แต่จานชามก็ยังไม่เหลือ

คาดว่าหากไม่ใช่เพราะโต๊ะหินอัคคีและโต๊ะหินวิญญาณน้ำแข็งไม่ใหญ่เกินไป ผู้บำเพ็ญทั้งหลายคงน่าจะช่วยกันเอาอาหารกลับไปด้วยอย่างแน่นอน

ภาพตรงหน้านี้ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย แม้แต่เล่อเหอที่อาวุโสที่สุดก็ยังตกใจจนตาเบิกกว้าง ด้วยเขาหมกมุ่นอยู่กับอาหารตรงหน้ามากเกินไป จนเมื่อเงยหน้าขึ้น… มันหายไปเกลี้ยงเสียแล้ว!

มีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ชิม!

เจ้าลูกศิษย์พวกนี้!

เล่อเหอพับแขนเสื้อขึ้น ขณะกำลังจะเบียดเข้าไปในฝูงชนเพื่อแย่งถุงเก็บของมาสักสองสามใบ

“ท่านบรรพจารย์ ข้าได้แบ่งส่วนความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของท่านเอาไว้ให้ตรงนี้แล้ว” ชิงยวนวางถุงเก็บของลงด้วยอาการปวดหัว

“หืม จริงหรือ?”

รอยยิ้มของเล่อเหอกลับมาอยู่บนใบหน้าดังเดิม เขาเปิดถุงเก็บของแล้วมองดู พลันรู้สึกประหลาดใจกับอาหารอันตระการตาภายใน

หากหลิงเยว่เหมาะที่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่… เขาคงได้รับอภิสิทธิ์ในอาหารมากกว่าชิงยวนใช่หรือไม่? เล่อเหอซึ่งเดิมทียิ้มแย้ม จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าชิงยวนนั้นช่างดูขวางหูขวางตานัก

“นางแบ่งให้เจ้าด้วยไม่ใช่หรือ ขอข้าดูหน่อยว่านางปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่?”

เมื่อเผชิญหน้ากับคนตะกละอย่างเล่อเหอ ชิงยวนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเบือนหน้าไปทางอื่นและเพิกเฉยอีกฝ่ายเสีย

“ท่านบรรพจารย์เล่อเหอ อาหารพวกนี้อร่อยจริง ๆ หรือ?”

แขกสำคัญทั้งสามคนไม่เข้าใจ ถึงแม้เล่อเหอจะมีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นนักชิม แต่พวกเขาก็ยัง… พูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพนี้กับตาตนเอง

เล่อเหอไม่อยากจะเสวนากับคนหัวรั้นทั้งสาม อาหารนี่รสชาติยอดเยี่ยม คนพวกนี้ไม่เห็นว่าเขากินมันอย่างเคลิบเคลิ้มหรืออย่างไร?

หรือพวกเจ้าตาบอดจนมองไม่เห็นอาหารบนโต๊ะยาวที่ถูกกวาดออกไปเกลี้ยงเช่นนี้?

ตอนนี้หลิงเยว่อาจไม่สามารถทำอาหารที่ผู้บำเพ็ญระดับสูงชื่นชอบได้ แต่เล่อเหอเชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธอาหารที่เด็กสาวทำอย่างแน่นอน!

ในเมื่อพวกเจ้าไม่เชื่อข้าตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ยื่นโอกาสให้พวกเจ้าอีกแล้วในภายภาคหน้า!

เล่อเหอสรุปความคิดอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหายตัวไป

เมื่อเขาจากไป อาหารวิญญาณแบบพิเศษทั้งหมดก็ถูกกวาดจนเกลี้ยง งานเลี้ยงรับศิษย์จึงถือได้ว่าสิ้นสุดลง

ถ้าถามหลิงเยว่ว่าคิดอย่างไรในตอนนี้ นางจะตอบว่าตนเองไม่คิดอะไรเลยทั้งนั้น เพียงอยากกลับไปนอนหลับให้สบาย ด้วยการตระเตรียมงานเลี้ยงรับศิษย์นี้ นางแทบไม่ได้นอนเลยตลอดหนึ่งเดือน จนรู้สึกราวกับว่าตนเองแก่ขึ้นมากแล้ว

เมื่อกลับไปถึงหอกลั่นโอสถของตัวเอง หลิงเยว่ก็อาบน้ำแล้วนอนบนเตียง ก่อนจะหลับไปทันที

ผ่านไปสองวันเต็ม ๆ พอตื่นขึ้นมานางก็รู้สึกเหมือนว่าเวลาได้ผ่านไปนานมาก จนบอกไม่ได้เลยว่าเป็นคืนไหน

“เร็วเข้า ศิษย์น้องห้าตื่นแล้ว เราสามารถออกเดินทางได้!”

ติงหลิวหลิ่วสวมเสื้อผ้าให้หลิงเยว่ และหลังจากสวมให้เสร็จ นางก็พาหลิงเยว่กระโดดขึ้นไปบนพาหนะวิญญาณที่รออยู่ทันที

ผู้คนบนเรือวิญญาณคือทุกคนที่หลิงเยว่รู้จัก หนำซ้ำยังมี… เด็กชายหัวโล้นตัวน้อย เด็กหญิงตัวน้อยและเด็กชายอ้วนตัวน้อยที่เคยกินอาหารโต๊ะเดียวกันในงานเลี้ยงรับศิษย์อีกด้วย

“พาข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด แล้วเราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ?”

“ไปที่สำนักจ้านเจี้ยนเพื่อชมการแข่งขันระหว่างสำนักน่ะสิ!”

“ศิษย์น้องหลิงนอนหลับเก่งนัก พวกเรารอเจ้ามาสองวันเต็มเลย!”

“คนอื่น ๆ ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่เราไม่สามารถทิ้งเจ้าไว้ตามลำพังในสำนักได้จริง ๆ”

“คนพายเรือไปกันเลย!”

ทุกคนกำลังพูดคุยกัน และว่านอวี้เฟิงซึ่งถูกเรียกว่าคนพายเรือก็จ้องอวี้เจินอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนที่เรือวิญญาณจะเริ่มบินขึ้น จากนั้นก็ฝ่าเข้าไปในหมู่เมฆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

หลิงเยว่ที่เอื้อมมือออกไปสัมผัสเมฆพลันตาเป็นประกายขึ้นมาในที่สุด

“พวกเราเพียงไม่กี่คนจะสามารถไปถึงสำนักจ้านเจี้ยนได้อย่างราบรื่นจริง ๆ หรือ ไม่ใช่ว่าเราจะเผชิญหน้ากับพวกผู้บำเพ็ญมารหรือการโจมตีของสัตว์อสูรบนท้องฟ้าระหว่างทางใช่หรือไม่?”

คนที่มีระดับการบำเพ็ญสูงสุดในพวกเขาอยู่ที่ช่วงปลายของขอบเขตสร้างรากฐาน และด้วยศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ นั่นจึงทำให้หลิงเยว่ซึ่งกำลังจะออกจากสำนักเป็นครั้งแรกรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก

การปล้นชิงและฆ่าฟันเป็นเรื่องธรรมดาในโลกผู้บำเพ็ญเซียน

“ศิษย์พี่หลิงเยว่ไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ อาจารย์ของท่านตามหลังเรามาอยู่!” เด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาอยู่ข้าง ๆ หลิงเยว่และกระซิบ

“ใช่แล้ว แม่ของข้าก็ติดตามมาด้วย” เด็กชายร่างอ้วนตัวน้อยถือถุงกระดาษไว้ในมือและกินอาหารวิญญาณที่อยู่ข้างในนั้นอย่างมีความสุข อาหารที่หลิงเยว่คนนี้ทำนั้นอร่อยมาก แน่นอนว่าเขาจะปล่อยให้แม่ครัวผู้นี้เป็นอะไรไปไม่ได้ เขาต้องปกป้องนาง!

“อาจารย์เป็นห่วงเจ้ามาก ดูเหมือนว่านางกำลังติดตามมาแล้ว”

ผู่ตานนอนอยู่บนกระดานไม้ รู้สึกเศร้าที่ความหวังเดียวของเขาในฐานะตัวแทนของยอดเขาโอสถนั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น

ในขณะที่หลิงเยว่ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยังคงผิดหวังเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางต้องการหาประสบการณ์ระหว่างการเดินทางเช่นการเดินทางผ่านเข้าไปในป่าทึบเพื่อล่าสัตว์อสูร หรือรวบรวมเครื่องเทศและสมุนไพรวิญญาณ

“ศิษย์พี่รอง ข้าจำได้ว่าเส้นทางนี้จะผ่านหมู่บ้านต้าสี่ พวกเราไปแวะดูสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ…?”

ติงหลิวหลิ่วที่กำลังกินอาหารวิญญาณรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องห้าทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ติงหลิวหลิ่วจึงคิดไปว่าศิษย์น้องห้าคงลืมไปแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…

ว่านอวี้เฟิงไม่ต้องการแวะดูเลยจริง ๆ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนตายไปแล้ว การไปรำลึกความหลังมีแต่จะเพิ่มความโศกเศร้าเท่านั้น แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาที่คาดหวังของศิษย์น้องห้า เขาก็ทนปฏิเสธไม่ได้

“ก็ได้…”

หมู่บ้านต้าสี่อยู่ในเขตอำนาจของสำนักหลานเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาเดินทางไม่นาน

เรือเหาะค่อย ๆ ร่อนลงไป ทันใดนั้นมือของหลิงเยว่ที่จับขอบเรือก็กำแน่นขึ้น สภาพหมู่บ้านในตอนนี้ช่างแตกต่างจากหมู่บ้านต้าสี่ที่เคยสวยงามในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนัก ด้วยหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มองเห็นในขณะนี้มีแต่ร่องรอยการถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำ บ้านส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือเพียงไม่กี่หลังเท่านั้นที่ยังเป็นซากปรักหักพัง และมีกลิ่นที่ไม่อาจอธิบายได้ลอยอยู่ในอากาศ

ก่อนเรือเหาะจอดลง หลิงเยว่ก็กระโดดลงจากเรือ แล้วตรงไปยังบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่อีกปลายด้านหนึ่ง

ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านของเจ้าของร่างเดิมเท่านั้นที่จะสามารถจินตนาการถึงบ้านเดิมภายใต้ซากปรักหักพังได้ หลิงเยว่ทบทวนความทรงจำของนาง และเดินเข้าไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

จริง ๆ …มันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ข้างในเลย ล้วนถูกเก็บกวาดไว้ล่วงหน้าแล้ว

แต่สาเหตุที่มันถูกเก็บรักษาไว้เช่นนี้ เป็นเพราะหลิงเยว่ขอให้หลงหว่านโหรวหลงเหลือไว้ เผื่อนางอยากกลับมาดูอีกครั้ง

เมื่อเห็นภาพที่น่าสลดนี้ อวี้เจินก็พูดขึ้นทันทีว่า “เป็นฝีมือของผาวซ่านหรือ?”

นอกจากผาวซ่านแล้ว อวี้เจินคิดไม่ออกแล้วว่าจะมีใครที่เกลียดหลิงเยว่ได้มากถึงเพียงนี้ ไม่เพียงสังหารทั้งครอบครัว แต่กลับกวาดล้างทั้งหมู่บ้าน!

ชั่วช้าอุกอาจนัก!

“ผาวซ่านคือใคร?”

ผู่ตานมีสีหน้าเย็นชา ใครก็ตามที่กล้าสังหารครอบครัวศิษย์น้องห้าของเขา เขาเองจะขอแก้แค้นโดยการฆ่าล้างมันทั้งโคตรเหง้าเสีย!

“ไม่ใช่ผาวซ่านหรอก”

โม่จวินเจ๋อส่ายหน้า เขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านหลงหว่านโหรว และถึงขนาดสืบหาข้อมูลด้วยตนเอง มันไม่ใช่ฝีมือของผาวซ่านจริง ๆ

แม้ผาวซ่านจะคิดเกี่ยวกับการกระทำเช่นนี้ แต่มีใครบางคนที่นำหน้าเขาไปหนึ่งก้าวเสียแล้ว

“ไม่ มีบางอย่างผิดปกติที่นี่!”

ดวงตาของเด็กชายหัวโล้นตัวน้อยเต็มไปด้วยความสงสัยและสับสน ในสถานที่ที่ผู้คนมักถูกสังหารหมู่มันจะมีกลิ่นอายความขุ่นเคืองอาฆาตมากมาย แต่ที่นี่กลับไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความขุ่นเคือง

“ถูกลักพาตัวไปหรือ? นั่นก็ไม่น่าจะใช่เหมือนกัน”

เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยพึมพำกับตัวเอง ม่านตาสีเข้มของเขาเปล่งประกายสีทอง ก่อนที่ดวงตาจะมองตามหลิงเยว่ซึ่งกำลังเดินไปที่… สุสาน!

“เจ้าพึมพำอะไร เกิดอะไรขึ้น?” เด็กหญิงตัวน้อยเม้มริมฝีปาก ทุกคนถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน และหลุมศพหลายร้อยหลุมก็ถูกขุดไว้ฝังคนแล้วไม่ใช่หรือ?

“อย่าเข้าไปใกล้นะ! กลับมา!” ทันใดนั้นเด็กชายหัวโล้นก็เอามือปิดตาและตะโกนร้องไปทางหลิงเยว่

เด็กชายหัวโล้นเตือนหลิงเยว่ช้าเกินไป เด็กสาวซึ่งอยู่หน้าหลุมศพเมื่อสักครู่ จู่ ๆ ก็พลันหายตัวไป ติงหลิวหลิ่วและโม่จวินเจ๋อที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวานั้นก็หายไปเช่นกัน!

“กับดัก! นี่คือกับดัก! กับดักที่รอศิษย์น้องห้า!”

ว่านอวี้เฟิงเสียใจมาก เขาไม่ควรใจอ่อนและตกลงพาหลิงเยว่มาที่นี่เลย!

“เราจะตามเข้าไปได้อย่างไร?”

ผู่ตานดึงเด็กชายหัวโล้นตัวน้อยแล้วพาวิ่งไปที่สุสาน

“ให้ข้าดู ให้ข้าดูอีกครั้ง!”

แสงสีทองปรากฏในดวงตาของเด็กชายหัวโล้นตัวน้อย และตอนนี้เขากลับเห็น… วิญญาณที่ขุ่นเคืองนับไม่ถ้วนพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดออกจากที่คุมขัง แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกดึงกลับด้วยมือคู่หนึ่งที่มองไม่เห็น

เมื่อเขาพยายามจะมองเห็นให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ดวงตาของเด็กชายหัวโล้นก็พลันรู้สึกแสบร้อน ในที่สุดก็มีเลือดไหลออกจากดวงตา และแสงสีทองก็สลายหายไป

สถานที่อันตราย!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท