ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 92 ข้ามีทักษะพิเศษในการขุดอุโมงค์

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 92 ข้ามีทักษะพิเศษในการขุดอุโมงค์

บทที่ 92 ข้ามีทักษะพิเศษในการขุดอุโมงค์

ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะที่ถูกบังคับให้หลับลึก จู่ ๆ ก็ได้กลิ่นหอมที่ทำให้มันแทบคลั่ง

มันคลานออกมาจากคอเสื้อของหลิงเยว่ด้วยความยากลำบาก จากนั้นเลือดของเด็กสาวก็ถูกดูดกลืนโดยรากของมัน ทำให้ดอกไม้สีเข้มค่อย ๆ กลายเป็นสีแดงฉาน และรากก็แพร่กระจายไปยังบาดแผลที่ฉีกขาดของหลิงเยว่ ก่อนที่รากจะดูดของเหลวสีดำที่เป็นพิษเข้มข้นสูง

ราชาดอกไม้สีแดงค่อย ๆ กลับกลายเป็นสีดำหลังจากดูดซับของเหลวที่เป็นพิษ โดยชั้นบนสุดของกลีบยังคงเป็นสีแดง

ราชาดอกไม้เรอและเริ่มกางกลีบออก กลีบดอกกลายเป็นพัดขนาดใหญ่ ก่อนจะฟาดโครงกระดูกที่กดทับหลิงเยว่ออกไป

ใบหน้าของหลิงเยว่ซีดราวกับหิมะ หลังจากที่ราชาดอกไม้ดูดพิษออกไปพร้อม ๆ กับเลือดหนึ่งในสามของนาง ในเวลาเดียวกันสติสัมปชัญญะของเด็กสาวก็ค่อย ๆ ฟื้นกลับมา ทันทีที่ภูเขาโครงกระดูกซึ่งกดทับหลิงเยว่อยู่ถูกฟาดจนกระจุยปลิวไป นางลุกขึ้นนั่งโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดหายใจลึก

นางยังไม่ตาย…

“หลิงเยว่!”

โม่จวินเจ๋อเป็นคนแรกที่มาถึง เขาพยุงหลิงเยว่ขึ้นมาแล้ววิ่งไปยังพื้นที่โล่งด้านหลังเขา ติงหลิวหลิ่วที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งซึ่งได้รับการปกป้องโดยราชาดอกไม้ก็มาถึงได้สำเร็จเช่นกัน

“ฮือ ๆ …ศิษย์น้องห้าทำให้ข้ากลัวแทบตาย!” ติงหลิวหลิ่วกอดหลิงเยว่ร้องไห้ฟูมฟาย

หากศิษย์น้องห้าตายไป นางก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน

“อะแฮ่ม! ศิษย์พี่สาม ปล่อยข้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ… ข้าหายใจไม่ออก”

โม่จวินเจ๋อเม้มริมฝีปากแล้วดึงติงหลิวหลิ่วออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” โม่จวินเจ๋อหยิบโอสถรักษาและโอสถล้างพิษออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเทโอสถทั้งหมดลงในปากของหลิงเยว่โดยไม่รีรอคำตอบจากอีกฝ่าย

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โม่จวินเจ๋อเคยไปติดอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถใช้ปราณได้เช่นกัน จากประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาเก็บโอสถสองสามขวดไว้ในแขนเสื้อจนเป็นนิสัย โชคดีที่คราวนี้เขาไม่ประมาท และไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสถานที่เช่นนี้ในเขตอำนาจของสำนัก

หลิงเยว่ซึ่งได้รับการช่วยเหลือค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นหลังจากกินโอสถรักษา แต่ตอนนี้นางอาจต้องการโอสถฟื้นฟูโลหิต

“ไม่เป็นอะไรแล้ว”

“แต่มันแปลกจริง ๆ …โครงกระดูกพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการชีวิตของข้าเลยเจ้าค่ะ”

มิฉะนั้นตอนที่หลิงเยว่ถูกฉุดลงมาจากอากาศ พวกโครงกระดูกสามารถแหวกท้องของนาง หรือไม่หัวของนางอาจถูกฉีกออกจากร่างในทันทีก็ได้ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย!

พวกมันเพียงจับไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสาวเคลื่อนไหว

ราวกับว่าเพียงเพื่อจะหยุดนาง

แต่จะจับนางไว้เพื่ออะไร หรือเฝ้ารอใครสักคนพานางไปหรือ?

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ หลิงเยว่ก็จับมือพวกเขาทันทีแล้วพูดว่า “รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะเจ้าค่ะ!”

“จะไปที่ใด ดูเหมือนพวกเราจะถูกขังอยู่ในค่ายกลเสียแล้ว” ติงหลิวหลิ่ว มองไปยังโครงกระดูกหนาแน่น ที่นี่ นอกจากค่ายกลแล้ว นางยังนึกไม่ออกว่าสถานที่นี้จะเป็นอย่างอื่นไปได้

“เราพังมันออกไปได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ถามชายหนุ่มที่เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล

ชายหนุ่มส่ายหัว “นี่ไม่ใช่ค่ายกลแต่เป็น…”

สีหน้าของโม่จวินเจ๋อสับสนและงุนงง “มันเหมือนกับ… แดนชุบเลี้ยงศพ”

หลิงเยว่ ติงหลิวหลิ่ว “!!!”

ศพเป็นสิ่งที่เลี้ยงได้ด้วยหรือ?

“พื้นที่ภายใต้เขตอำนาจของสำนักเรากำลังถูกใช้เป็นสถานที่เลี้ยงศพ!?” ติงหลิวหลิ่วไม่อยากจะเชื่อเลย

“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ผู้บำเพ็ญมารจะไม่มาเก็บเกี่ยวสถานที่เช่นนี้ภายในครึ่งปี แต่เห็นได้ชัดว่าที่นี่คือแดนชุบเลี้ยงศพ”

การสร้างแดนชุบเลี้ยงศพเช่นนี้ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี หรืออาจจะนานกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ!

หมู่บ้านต้าสี่ถูกสังหารหมู่เมื่อห้าเดือนที่แล้วเท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ชาวบ้านที่นี่จะแอบเลี้ยงศพมาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นเมื่อพวกเขาถูกค้นพบ หมู่บ้านก็ถูกกวาดล้างไปเสียแล้ว?

อย่างไรก็ตาม โม่จวินเจ๋อล้มเลิกการคาดเดานี้ในพริบตาต่อมา เขามองไปยังหลิงเยว่ที่หน้าซีดแต่ยังคงกระตือรือร้น ไม่มีร่องรอยของหยินหรือความขุ่นเคืองในร่างกายของนาง

ต่อให้ก่อนหน้านี้เด็กสาวจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงศพ แต่นางจะต้องมีพลังหยินแฝงในร่างอยู่บ้าง หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกับชาวบ้านที่เลี้ยงศพมาเป็นเวลานาน แต่หลิงเยว่กลับไม่มีเลย

“บางทีเราอาจจะสามารถขุดอุโมงค์ออกจากที่นี่ได้?” ติงหลิวหลิ่วพูด แล้วนั่งยอง ๆ เตรียมขุดอุโมงค์ด้วยมือเปล่า

“อ๊าก! เจ็บนัก!”

ติงหลิวหลิ่วร้องเสียงดังและดึงมือของตนออก เพียงชั่วครู่ นิ้วชี้และนิ้วกลางของนางก็พลันถลอกจนมีเลือดซึมออกมา

“มันเป็นหิน!”

“รีบหาทางออกให้เร็วเข้าเถิด ข้าจะต้านไม่ไหวแล้ว” เสียงเด็กดังขึ้นในใจของหลิงเยว่ เด็กสาวจึงมุ่งความสนใจไปยังดอกไม้ดำน้อยที่กำลังต้านทานกองทัพโครงกระดูก โดยพวกมันพยายามถาโถมเข้ามาอย่างแข็งแกร่งยิ่ง ราชาดอกไม้ดูเหมือนจะสามารถต้านทานได้สบาย ๆ ไม่เหมือนกับว่าจะทนไม่ไหวเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้สถานการณ์จะทรงตัวแล้ว แต่นางก็ไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป ต้องออกไปให้เร็วที่สุด โดยไม่รู้ว่าใครต้องการจะจับตัวนางเอาไว้ แต่คนผู้นั้นต้องกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่แน่นอน!

แต่จะออกไปจากที่นี่อย่างไรเล่า?

อวี้เจินและคนอื่น ๆ ไม่ปรากฏให้เห็น ดังนั้นพวกเขาน่าจะยังติดอยู่ข้างนอก

ข้างใน… ข้างนอก…

“ใช่ เราสามารถออกไปใต้ดินได้เจ้าค่ะ ข้ามีวิธี!” หลิงเยว่ที่มีความสุขก็ก้มหน้าลงครู่หนึ่ง “แต่ข้าไม่สามารถเปิดถุงเก็บของได้”

“ข้าทำได้ แต่ทำได้เพียงลมหายใจเดียวเท่านั้น”

เพียงพอแล้ว!

หลิงเยว่ยื่นถุงเก็บของให้โม่จวินเจ๋อ “เอากาน้ำชาที่อยู่ข้างในออกมาเจ้าค่ะ มันอยู่ตรงกลางถุงเลย”

“กาน้ำชาหรือ?”

ติงหลิวหลิ่วตกตะลึง สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว กลับจะให้เอากาน้ำชาออกมาน่ะหรือ มันควรจะเอาของอย่างจอบหรือมีดทำครัวออกมาจะดีกว่าหรือไม่?

แม้ว่าโม่จวินเจ๋อจะมีข้อสงสัย แต่เขาก็ยังคงทำมัน

เมื่อเขาหยิบกาน้ำชาออกมา ใบหน้าก็พลันมืดจนเกือบจะล้มลง โชคดีที่คนสองคนที่อยู่ข้างตัวมีสายตาและมือที่รวดเร็วพอจะจับเขาไว้ได้ทัน

แม้หลิงเยว่และติงหลิวหลิ่วจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามเขาว่าสามารถเปิดถุงเก็บของที่ต้องเปิดด้วยปราณเท่านั้นได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่สถานที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้ปราณได้

หลิงเยว่วางพวยกาไว้หน้าปากของโม่จวินเจ๋อ “ท่านดื่มเร็ว ๆ เถิด แต่อย่าเพิ่งดื่มหมดนะเจ้าคะ เหลือให้เราสองคนด้วย”

โม่จวินเจ๋อจิบไปเล็กน้อย และหลิงเยว่ก็ไม่รังเกียจที่จะดื่มต่อจากเขา ดังนั้นนางจึงดื่มไปหนึ่งในสามของทั้งหมดและมอบส่วนที่เหลือให้กับติงหลิวหลิ่ว

ติงหลิวหลิ่วรับกาน้ำชาไปด้วยความงุนงง และดวงตาของนางเป็นประกายทันทีที่นางจิบ ก่อนที่ศิษย์พี่สามจะได้ชื่นชมรสชาติของชา ทันใดนั้น ร่างกายของทั้งสามคนก็ค่อย ๆ เล็กลงจนกลายเป็น… หญ้าเล็ก ๆ สามต้น!

“เรามีเวลาเพียงสามลมหายใจ*[1] เท่านั้น!” หลิงเยว่ที่กลายเป็นหญ้ายื่นปลายใบเล็ก ๆ ของนางไปยังหญ้าสองต้นที่อยู่ข้าง ๆ ให้จับที่ปลายด้านหนึ่ง แล้วฉุดทั้งหมดลงใต้ดินเพื่อมุดดินออกไปอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากที่กลายเป็นพืชประสาทสัมผัสของพวกเขาจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง หลิงเยว่สามารถใช้ประสาทสัมผัสของหญ้าวิญญาณเพื่อรู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่ได้

เมื่อหลิงเยว่ผุดขึ้นสู่พื้น ราชาดอกไม้ก็กลายเป็นลำแสงและพุ่งกลับเข้าไปในร่างของนาง

ในสามลมหายใจ หลิงเยว่ใช้กำลังทั้งหมดของนางเพื่อหนีออกไป

นางเห็นแสงสว่างแล้ว!

ปลายรากเคลื่อนไหวเร็วมากเสียจนมองไม่ทัน และในที่สุดก็นำผู้คนออกจากพื้นดินได้ในห้วงเวลาสุดท้าย

หญ้าทั้งสามต้นกลายเป็นรูปร่างมนุษย์ทันทีที่พวกเขาผุดขึ้นจากพื้น ติงหลิวหลิ่วเป็นคนสุดท้ายและโชคร้ายที่เท้าข้างหนึ่งติดอยู่ในดิน เมื่อติงหลิวหลิ่วกำลังจะดึงเท้าของนางออกมา ก็ดูเหมือนมีบางอย่างคว้าเอาไว้และพยายามลากนางกลับไป

ใบหน้าเน่าครึ่งหน้าโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะเปิดปากสีดำของมันและกัดที่ขาของติงหลิวหลิ่ว

“อ๊าก น่าเกลียดนัก!”

ติงหลิวหลิ่วกรีดร้องและเตะมันออกไป หัวของใบหน้าเน่ากลายเป็นของเหลวทันที ทันใดนั้นสร้อยข้อมือของนางก็บินขึ้นไปในอากาศและกลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน ก่อนที่กิ่งก้านใหญ่จะเหวี่ยงฟาดใส่ศพที่อยู่โดยรอบ

“ศิษย์พี่หลิง!”

“ศิษย์น้องห้า!”

“เจ้าหายไปไหนมา ทำให้ข้ากลัวแทบตาย!”

คนทั้งหกที่กำลังติดพันอยู่ในการต่อสู้อันขมขื่นพูดอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นทั้งสามคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจากพื้นดิน

“ออกไปจากที่นี่กันเถอะเจ้าค่ะ!”

“อย่ากลัวเลย สำนักได้รับแจ้งแล้วและกำลังเสริมจะมาถึงเร็ว ๆ นี้!”

ว่านอวี้เฟิงตะโกนหาหลิงเยว่จากระยะไกล

เมื่อเด็กสาวได้ยินว่ามีกำลังเสริมมาสนับสนุน หลิงเยว่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยคิดเสมอว่าหากนางไม่ออกจากที่นี่ทันที นางอาจจะ… ไม่สามารถจากไปได้อีกแล้ว

*[1] สามลมหายใจ เท่ากับ เก้าวินาที

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท