ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 94 กระโดดจากความตายที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 94 กระโดดจากความตายที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง!

บทที่ 94 กระโดดจากความตายที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง!

“บ้าเอ๊ย มันตามมาเร็วมาก!”

ราชาผีนิกายอสุภะสบถสาปแช่งในขณะที่กำลังเข้าใกล้ดินแดนของตน ก่อนถ่มน้ำลายพลางกลอกตาสีดำไปมา จากนั้นจึงโยนร่างไร้สติที่อยู่ในมือลงไปยังทะเลทรายเบื้องล่าง

พลันปรากฏเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวขึ้น เมื่อมือแห้งกรังนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากทะเลทราย หมายจะจับหลิงเยว่ที่หมดสติลงไปในทะเลทราย

เมื่อราชาผีนิกายอสุภะเห็นดังนั้น เพียงยิ้มแล้วโบกมือให้ ฉันพลันดินแดนทะเลทรายแต่เดิมก็กลับกลายเป็นป่าทึบ

ทันทีที่ป่าทึบปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังตามมา

“ฮ่า ๆ เจ้ารอข้าอยู่ละสิ?”

“เซียนกระบี่เล่อเหออุตส่าห์มาเยือน ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ข้าเองสมควรรอต้อนรับอยู่แล้วใช่หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเสียงหยาบกระด้างไร้ความรื่นหู เล่อเหอพลันแสดงสีหน้ารังเกียจ

“คนของข้าอยู่ที่ใด? ส่งนางมาเสีย”

“ใครหรือ? ข้าไม่เข้าใจว่าเซียนกระบี่พูดเรื่องอันใด”

ราชาผีนิกายอสุภะแสร้งทำเป็นโง่ ดวงตาสีดำไร้สีขาวของเขาฉายแววไร้เดียงสา

คิดจะเล่นละครอย่างนั้นหรือ?

เล่อเหอหัวเราะเยาะ กระบี่ของเขาพลันปรากฏขึ้นในมือ พร้อมฟันลงไปบนร่างของอีกฝ่ายด้วยความรังเกียจ

ราชาผีนิกายอสุภะซึ่งเพิ่งเผชิญหน้ากับเล่อเหอเป็นครั้งแรกหลบอย่างรวดเร็ว ทว่าน่าเสียดายที่ระดับการบำเพ็ญนั้นห่างชั้นอย่างไม่อาจเทียบได้ ด้วยพลังอัสนีจากกระบี่ได้ตรึงร่างของเขาไว้แน่นจนไหล่หายไปถึงครึ่ง

“สุสานแห่งนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก”

เล่อเหอไม่ได้ยืนกรานที่จะถามว่าหลิงเยว่อยู่ที่ใดอีกแล้ว เพียงเอ่ยล้อเลียนอีกฝ่ายประหนึ่งแมวหยอกหนู

“ข้าราชาผีผู้นี้มีซากศพไว้ใช้งานอยู่มากมายนัก หากเซียนกระบี่ไม่พึงใจร่างนี้ของข้า ข้าสามารถหาอีกตนมาเปลี่ยนแทนได้”

ราชาผีหลับตาลง ทันใดนั้นร่างของเขาก็ร่วงลงจากท้องฟ้า หล่นลงมาสู่เบื้องล่าง จากนั้นก็เกิดหมอกดำสายหนึ่งพยายามจะเจาะเข้าไปในพื้นทราย ทว่ากลับถูกมือหนึ่งจับตรึงไว้เสียก่อน

สายฟ้าสีม่วงเข้มเข้าพันพัวหมอกสีดำ ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องน่าเกลียดดังออกมา

“เซียนกระบี่โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าน้อยเพียงแค่ทำงานรับใช้ผู้อื่น และคนของท่านก็ได้ถูกส่งมอบให้กับบุคคลผู้นั้นเสียแล้ว!”

“ใคร?” เล่อเหอเลิกคิ้ว สายฟ้าในมือของเขาเพิ่มความหนาแน่นขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังมากขึ้นเป็นลำดับ

“ข้าน้อยไม่รู้! เขาบอกเพียงว่าขอให้ข้าลักพาตัวลูกศิษย์คนที่ห้าของชิงยวนแล้วนำมาส่งให้เขาที่นี่ ข้าไม่รู้รายละเอียดเลยจริง ๆ” หากเห็นหมอกดำร้องไห้ได้ในตอนนี้ คงเป็นเขาเองที่ร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่เช่นกัน

เล่อเหอไม่ใช่คนโง่ จะให้เชื่อคำพูดของซากศพมีชีวิตนี้ได้อย่างไรกัน จึงปล่อยสัมผัสวิญญาณอันกล้าแกร่งปกคลุมทั้งสถานที่พลางขมวดคิ้ว

หลิงเยว่ไม่อยู่ที่นี่หรือ?

เป็นไปไม่ได้!

สัมผัสวิญญาณของเขายังคงแพร่กระจายไกลออกไป ปกคลุมทั้งผืนฟ้าและพื้นดิน แต่ก็ไม่สามารถตรวจจับได้แม้แต่ร่องรอยลมหายใจของหลิงเยว่

น่าสนใจนัก…

ทันใดนั้นเล่อเหอก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งทำให้ราชาผีชราที่กำลังกรีดร้องอยู่ตกใจ จนเสียงกรีดร้องของเขาจุกอยู่ในลำคอ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ราชาผีนิกายอสุภะพูดไม่ใช่คำลวง เขาเพียงแค่ทำงานให้ผู้อื่นจริง ๆ โดยเจ้าของสิ่งนั้นมันสามารถปกปิดกลิ่นอายไม่ให้กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ช่วงปลายตรวจพบได้! ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นของดีถึงเพียงนี้… หากข้ารู้ก่อนหน้าคงเก็บเอาไว้ใช้เองแล้ว!

ข้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง!

หลังจากที่เล่อเหอหัวเราะจนพอใจแล้ว เขาก็หยิบขวดสีดำเล็ก ๆ ออกมา แล้วยัดหมอกดำลงไป ก่อนปิดฝาแขวนไว้รอบเอวของตน

เขามั่นใจว่าหลิงเยว่ยังอยู่ที่นี่ ทว่าด้วยสัมผัสวิญญาณของเขากลับตรวจไม่พบ เช่นนั้นแล้วมีแต่ต้องพลิกแผ่นดินหาเท่านั้น!

และเขาก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานป่าทึบทั้งหมดก็ถูกพลิกตลบด้วยกระบี่ของเล่อเหอ

ทำให้หลิงเยว่ที่กำลังหลับอยู่ใต้ดินรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนระลอกใหญ่จนลืมตาตื่นขึ้นทันที ทว่าพริบตาต่อมาก็ต้องข่มตาหลับอีกครั้ง

นางต้องการความช่วยเหลือ! แต่ควรทำอย่างไรดี ในเมื่อตอนนี้ตนเองถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มซากศพที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้?

หลิงเยว่ที่นอนอยู่บนพื้นตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ด้วยกลัวว่าจะไปปลุกซากศพที่อยู่รอบตัว

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้คำตอบรับจากการขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงต้องหาทางเองเสียแล้ว

ฮือ… โลกภายนอกมันอันตรายเกินไปจริง ๆ …หากเป็นไปได้ นางอยากจะอยู่แต่ในสำนักหลานเทียนไปชั่วชีวิต!

หลิงเยว่พยายามขยับนิ้ว ทว่าซากศพที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ นางก็ขยับเช่นกัน

มัน…

มันกำลังจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

ทว่าหลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็สรุปได้ว่าชีวิตนางคงยังไม่ตายในตอนนี้ แต่การเผชิญกับอนาคตที่ยากจะคาดเดาได้นั้น ทำให้หลิงเยว่ตื่นตระหนกเกินไป

[ยันต์หลบหนีพันลี้ขั้นสูงสามารถทำให้ผู้ใช้เคลื่อนย้ายออกไปยังสถานที่สุ่มได้หลายพันลี้ ราคา 60 ล้านค่าพลังวิญญาณ]

ในที่สุดหลิงเยว่ที่สะสมค่าพลังวิญญาณได้มากกว่าหกสิบล้านแต้มนั้น “…”

ระบบสุนัขนี่มันตั้งใจแน่นอน!

ทำอย่างไรดี ข้าคงทำได้เพียงซื้อทั้งน้ำตาอย่างนั้นหรือ?

[ท่านต้องการใช้ยันต์หลบหนีหรือไม่?]

“ก็ได้!”

หลิงเยว่ตะโกนราวกับระบายความโทสะ พร้อมกับกลุ่มซากศพที่กำลังเคลื่อนไหวขึ้นมาทีละตัว

อย่างไรก็ตาม พวกมันทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้เมื่อร่างของหลิงเยว่หายวับไปในพริบตา

เหล่าซากศพ “!!!”

จบแล้ว! หากเป็นเช่นนี้ ราชาผีจะทำให้พวกมันตายอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสแน่นอน!

หลิงเยว่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้แล้ว ไม่สนใจว่าตนเองจะอยู่ที่ใด นางเพียงวิ่งอย่างสิ้นหวัง พลางมองย้อนกลับไปด้วยกลัวว่ากลุ่มซากศพจะตามมาทัน

ทว่าหลังจากวิ่งไปเหลียวหลังไป นางก็เริ่มสับสน

สิ่งที่ตามมาเบื้องหลังนั้นไม่มีซากศพ แต่กลับมีสัตว์อสูรกำลังแยกเขี้ยวและกางกรงเล็บออก หนำซ้ำยังมีพวกมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่นางกำลังวิ่งอีก!

สิ่งที่โชคร้ายยิ่งกว่านั้นคือนางไม่สามารถมองเห็นระดับความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรเหล่านี้ได้ทั้งหมด นั่นหมายความว่าสัตว์อสูรพวกนี้อยู่เหนือระดับเก้าเสียอีก!

ข้าคิดว่าตนเองคงจะหนีพ้นแล้ว แต่สุดท้ายกลับกระโดดจากความตายที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเช่นนี้หรือ!

“คลื่นสัตว์อสูรกำลังมา วิ่ง!”

“เจ้าโง่ตัวน้อยตรงนั้นเลิกยืนเฉย แล้ววิ่งหนีเสีย!”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลิงเยว่แน่ใจว่า ‘คนโง่ตัวน้อย’ นั้น ต้องหมายถึงนางเป็นแน่ ดังนั้นเด็กสาวจึงยกเท้าขึ้น และวิ่งไปพร้อมกับฝูงชนที่แต่งกายแปลกประหลาด

ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็ถูกนกอินทรีสีดำโฉบหายไปในพริบตา!

พริบตาต่อมาปรากฏเป็นสายเลือดกระเซ็นในอากาศ หลิงเยว่สัมผัสใบหน้าของตนอย่างโง่งม เลือดเหนียวข้นค่อย ๆ พาเด็กสาวกลับสู่โลกความเป็นจริง คราวนี้ไม่ใช่มิติลับของสำนักที่มีป้ายหยกเคลื่อนย้ายเพื่อช่วยชีวิตนาง ทว่ามันคือสถานการณ์จริงที่นางสามารถตายได้ทุกเมื่อ!

หลิงเยว่ต้องการเอายันต์ในถุงเก็บของออกมา ทว่ามันกลับว่างเปล่า ถุงเก็บของของนาง… รวมถึงแหวนมิติก็หายไปด้วยเช่นกัน!

หายไปหมดเลย!

มีข้าวของของนางทั้งหมดอยู่ข้างในนั้นเชียวนะ!

หลิงเยว่หงุดหงิดมาก นางหนีมายังสถานที่แปลก ๆ พบกับฝูงสัตว์อสูร หนำซ้ำตอนนี้ยังสูญเสียสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตได้ไปอีก นางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!

ทว่าหลิงเยว่ที่คิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป กลับวิ่งเร็วกว่าคนอื่นเสียอย่างนั้น!

“อย่าเอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว สู้ไปด้วยสิ!”

“ควักอาวุธของเจ้าออกมา และอย่ากลัวความตาย หากเจ้าอยากรอด!”

หลิงเยว่มองไปหาที่มาของเสียง ในระยะไกลมีชายในชุดเกราะถือขวานขนาดใหญ่กำลังฟาดฟันกับสัตว์อสูรที่บ้าคลั่งอย่างดุเดือด

ข้าง ๆ เขามีคนสวมชุดเช่นเดียวกันอยู่อีกห้าคน ติดตามเข้าไปร่วมการต่อสู้นองเลือดนั้นด้วย

พวกเขาดูทรงพลังมาก ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรมากมายที่ปรากฏตัวออกมาจากทุกทิศทาง ทำให้หลิงเยว่และพวกผู้บำเพ็ญที่กำลังวิ่งอยู่พลันรู้สึกสิ้นหวังเสียมากกว่า

นางคิดอย่างนั้นเช่นกัน ทว่าหลิงเยว่กลับเลือกที่จะซื้อเมล็ดพันธุ์จากระบบแลกเปลี่ยน พร้อมโปรยไปด้านหลังของนาง ปรากฏเป็นเถาวัลย์ขนาดใหญ่ผุดออกมาจากพื้นดิน ก่อนจะรัดคอสัตว์อสูรที่กำลังไล่ตามมา

เถาวัลย์บางต้นถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ในขณะที่บางต้นกลายเป็นหนามโลหะ เจาะเข้าไปในร่างของพวกสัตว์อสูร

ทว่าการตายของสัตว์อสูรไม่ได้ทำให้ตัวอื่น ๆ เกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้ยิ่งคลั่งหนักมากขึ้นไปอีก

ใบหน้าของหลิงเยว่มืดมนลง วิ่งหนียังดีกว่า นางสู้ไม่ไหวแน่!

“หืม? เด็กหญิงตัวน้อยในชุดผ้าขี้ริ้วนี่โผล่มาได้อย่างไรกัน?” ผู้คนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองสังเกตเห็นหลิงเยว่

“ไม่… ข้าไม่รู้ เพียงจำได้ว่ากลุ่มคนร้ายที่เราส่งออกไปไม่มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กขนาดนี้”

คนที่ตอบก็โง่งมเช่นกัน ในเมืองฮั่วหยางไม่มีคนร้ายที่ดูเด็กขนาดนี้นี่?

เกิดความผิดพลาดอันใดกัน?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท