ช่วงประมาณสายๆ พวกเราก็เดินทางกันมาถึงป่าที่มีหมอกหนา มันหนาจนจะมองไปข้างหน้าแค่นิ้วนึงยังแทบไม่เห็น
(เดินเข้ามาในป่าลึกกันขนาดนี้แต่ไม่มีวี่แววของสัตว์หรือแมลงเลยกลับมาแต่กลิ่นอายของพวกโยวไคเต็มไปหมด…แล้วก็นั่นปะไร)
กลุ่มของพวกเราที่ประกอบไปด้วยข้ารับใช้ห้าคน โดยที่ชั้นนำอยู่หน้าสุดพร้อมกับมีมือปราบมารมาด้วยอีกหนึ่งคนนั้นกำลังค่อยๆเดินลึกเข้าไปในปลาที่เต็มไปด้วยกลิ่นภยันตราย
(แล้วก็มือปราบมารอยู่บนหลังม้าส่วนพวกเราเดินเท้ากันนะ)
โซนภูเขาที่เราอยู่นั้นอยู่ไกลปืนเที่ยงสุดๆ ต้องข้ามเขาประมาณห้าถึงหกลูกจากแคว้นที่ตั้งของบ้านโอนิซึกิ แน่นอนว่าไม่ได้มาเที่ยวเดินป่ากันแต่เพราะมีคำร้องจากชาวบ้านให้มาตรวจสอบในพื้นที่นี้เพราะว่าเหล่านายพรานกับคนตัดไม้นั้นเข้ามาในป่านี้แล้วไม่กลับออกมาคนแล้วคนเล่า
แต่หลังจากที่หน่วยลับสองคนที่มาสำรวจพื้นที่ก่อนหน้าไม่กลับมา ไม่แม้แต่จะส่งชิคิงามิมารายงาน จึงมีโอกาศที่โยวไคในนี้จะเป็นชั้นสูง หรืออย่างแย่ที่สุดก็เป็นชั้นภัยพิบัติ ด้วยสาเหตุนี้ทีมที่ประกอบด้วยมือปราบมารสายตรงหนึ่งคน กับข้ารับใช้หนึ่งหน่วยเพื่อเป็นโล่มนุษย์จึงถูกส่งมาจัดการกับเรื่องนี้
“เข็มทิศใช้ไม่ได้ตามคาดไม่พอเครื่องหมายนำทางก็ใช้ไม่ได้อีกงั้นรึ..”
หน้าปัดเข็มทิศที่ถือนั้นหมุนไปทั่วจนใช่การไม่ได้ ส่วนเครื่องหมายนำทางที่หน่วยลับทำไว้ตามกิ่งไม้ก็พาวนอยู่กับที่
ข้อแนะนำในสถานการณ์เช่นนี้การพึ่งประสาทสัมผัสทั้งห้าอาจเชื่อถือไม่ค่อยได้ แม้จะเพ่งสมาธิ ตื่นตัวมากขนาดไหนก็มีโอกาศที่จะโดนหมอกจากพวกโยวไคหลอกเอาได้
ดังนั้นพวกข้ารับใช้เลยต้องใช้เครื่องมือต่างๆแทน แต่ก็ดูเหมือนว่าแม้แต่เครื่องมือก็ยังพึ่งไม่ได้แบบนี้ก็ควรเตรียมใจเพื่อไว้ว่ามีโอกาศเจอพวกภัยพิบัติได้ พวกนั้นสามารถปรับเปลี่ยนกฏธรรมชาติในอาณาเขตของมันได้ไม่ยาก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ต้องยกธงขาว
“…นี่พวกเราเดินเข้ามาติดกับดักของพวกโยวไคแล้วรึเปล่าคะ”
เสียงสุภาพน่ารักดังถามขึ้นข้างหลังในตอนที่ชั้นกำลังเช็คเครื่องหมายนำทางอยู่
พอหันไปก็พบกับเด็กสาวผมเงิน ที่มีสีหน้าเป็นกังวล สวมชุดกิโมโนแขนกุนที่ดูขยับตัวคล่อง(แน่นอนว่าเปิดรักแร้) เหมือนกับพวกคนทรง ในมือถือธนูที่คันธนูทำจากไม้ศักดิ์สิทธิ์ สายธนูทำจากหนวดมังกร แล้วถ้าจะให้พูดไอ้ชุดนี่มันไม่เปิดข้างเกินไปหน่อยเรอะจะเห็นหน้าอกอยู่แล้วนะนั่นโคตรไม่ดีต่อใจเลย
ชื่อของน้องนางผู้อุดมสมบูรณ์และแสนสุภาพบนหลังม้าก็คือ โอนิซึกิ อายากะ ที่ตอนนี้อายุสิบสี่ปี ดังนั้นก็จะอายุสิบเจ็ดตอนเนื้อเรื่องเกมเริ่ม
ตัวเธอนั้นเป็นคนที่ให้อารมณ์พี่สาวแสนดี ทั้งสุภาพและให้เกียรติผู้อื่นโดยไม่แบ่งแยกชนชั้นของอีกฝ่าย ทำให้เหล่าเด็กๆในตระกูลนับถือเธอเป็นอย่างมาก และในตอนเริ่มที่เธออายุห่างกับตัวเอกเพียงหนึ่งปี ไม่พอยังเป็นตัวละครสายฮิลลิ่งเพียงหนึ่งเดียวในตอนต้นเกมจึงทำให้เธอได้รับความนิยมเป็นอย่างมากถึงแม้จะเป็นแค่ตัวละครสมทบ…แต่เธอเป็นผู้เสียหายจากหนึ่งในฉากที่ทรมาณจิตใจเหล่าผู้เล่นมากที่ด้วย
ด้วยรสนิยมโรคจิตหาใดเปรียบของโปรดิวเซอร์เกม เหล่าเด็กๆที่นับถือเธอถูกจับเป็นตัวประกันทำให้ไม่อาจขัดขืนการรุมกินโต๊ะจากเหล่าโยวไคได้ไม่พอ ในตอนที่ตัวเอกมาเจอเธอก็สายไปแล้วเพราะเราต้องทนเห็นโยวไคแหวกท้องเธอออกมานั่นเอง…ไอ้หมาตัวไหนในทีมสร้างมันให้ผ่านฉากนี้มาได้ฟร่ะ
ที่แย่กว่าคือน้องแกแค่ซวยจากการที่ตัวเอกสนิทกับน้องแก แล้วไอ้คนในตระกูลระยำนั่นมันเหม็นขี้หน้าตัวเอก ทั้งหมดทำไปเพราะแค่อยากให้ตัวเอกขายขี้หน้าคนอื่นแค่นั้น ส่วนพวกผู้เล่นที่ชอบสายมอนก็สนุกกับการเอาน้องแกกับยัยกอลิล่าไปเขียนหนังสือเล่มบางกันอย่างสนุกสนาน…
“เอ่อ..คือ ตุณโทโมเบะเงียบไปคิดอะไรอยู่รึเปล่าคะ ”
“..ไม่ขอรับ ข้าแค่กำลังคิดไม่ตกกับสถานการณ์ตอนนี้เท่านั้นเองขอรับ”
ชั้นละเกลียดเด็กเซ็นต์ดีอย่างเธอจริงๆ คิดถึงเรื่องไม่งามนิดหน่อยก็เหมือนจะจับสัมพัสได้ด้วย เป็นปีศาจรึยังไงกัน!..ไม่สิพวกผู้ปราบมารมันก็เป็นปีศาจกันหมดนี่หว่า
และใช่น้องแกเพิ่งเรียกชื่อชั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่จะมีคนมานั่งจำพวกข้ารับใช้กันทั้งๆที่มีหน้ากากใส่ ไม่พอแล้วยังให้เกียรติกันแบบนี้ ถ้าจะให้พูดในบ้านหลักของโอนิซึกิเนี่ยนับด้วยมือข้างเดียวยังได้เลยที่จำชื่อข้ารับใช้ได้ ซึ่งด้วยเหตุนี้แหละมั้งน้องแกถึงได้โดนหลอกให้ไปเจอเรื่องแบบนั้น…
“…”
“?”
น่ารัก…ดูน้องแกเอียงคอสงสัยในสายตาที่ชั้นแอบชำเลืองมองนั่นสิ
(โลกนี้แม่งโหดร้ายที่คนแบบนี้ต้องไปซวยอย่างนั้น…)
มีพวกผู้เล่นมากน่าหลายตาที่พยายามหารูทที่น้องแกได้เป็นนางเอกแต่อนิจจาของแบบนั้นมันไม่มี สิ่งที่ได้กลับมาคือข้อมูลว่าน้องแกมีคนรักตั้งแต่วัยเด็กอยู่ในกลุ่มลับอยู่แล้วดังนั้นตัวเอกที่มาที่หลังจึงไม่อาจไปแทรกกลางได้นั่นเอง
ส่วนเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นคนรักของน้องนะเหรอขอละไว้ในฐานที่เข้าใจละกัน…ไอ้พวกทีมงานสร้างเกมมันสนุกกับการตัดค่าสติของผู้เล่นมาก เลยปล่อยนิยายเนื้อเรื่องตัวละครของทั้งคุ่ที่เปรี๊ยวอมหวานในวัยเด็กของน้องมาเยาะเย้ยผู้เล่นด้วย
นอกเรื่องนานเกินไปละ กลับมาที่เรื่องโยวไคกันก่อนดีกว่า เพราะดูจากสถานการณ์ที่เจอมาระหว่างทาง เป็นไปได้ว่าโยวไคที่เป็นต้นเรื่องนั้นค่อนข้างฉลาดพอตัว ในหมู่โยวไคนั้นพวกที่ฉลาดจะมีความเจ้าแล่ห์เพิ่มเป็นทวีคุณ
“ดูจากการทิ้งเครื่องหมายนำทางไว้แค่ให้เราเดินวนอยู่กับที่กับทำให้เข็มทิศหมุ่นติ้วแบบนี้แทนที่จะค่อยๆให้มันขยับพิดทิศจนพาพวกเราไปติดกับดักในตอนที่ยังแยกภาพลวงตาไม่ออกก็คงเสร็จพวกโยวไคไปแล้ว จึงทำให้เบาใจได้เล็กน้อยว่าจะไม่ใช่กรณีเลวล้ายมากนักขอรับ”
“โล่งอกไปทีนะคะ”
“แต่ข้าก็ยังคิดว่าสถานการณ์ยังไม่เป็นในแง่ดีนักพวกเราจึงไม่ควรลดการป้องกันลงขอรับ ด้วยหมอกแบบนี้ยิ่งเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งกับท่านอายากะที่ถนัดการจู่โจมระยะไกลอย่างยิ่งอีกด้วย”
ข้อเสียอย่างหนึ่งของเธอก็คือชอบชะล่าใจ อาจมาจากนิสัยที่มองโลกในแง่ดีของเธอก็เป็นได้ แต่ในสายงานนี้นั้นไม่ให้โอกาศแก้ตัวกับผู้ที่ทำพลาดจึงควรระวังตัวอยู่ตลอด
“อะ ขอโทษค่ะ”
อยากตะโกนดังๆว่าน่ารักว้อยแต่ก็ไม่ใช่เวลา ดูน้องแกสิถึงจะสถานะต่างกันฟ้ากับเหวแต่น้องแกก็ยังมาคอตกกับคำเตือนจากข้ารับใช้แบบนี้เนี้ย
ถ้าเดินวนไปวนมาแบบนี้ก็เสียพลังงานเปล่า ในตอนที่ยังมีโอกาสก็ควรจะพักกันก่อนถือเป็นเรื่องปรกติ โดยใช้ค่ายอาคมป้องกันรอบที่พัก และ ใช้ชิคิงามิเฝ้าระวังภัย
“คาชิวากิเตรียมตั้งที่พัก อาซากิริคอยคุ้มกันท่านอายากะ เฮกันมากับข้า…”
แต่พอจะหันไปหาเจ้าของชื่อ ก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เวลาพักกันแล้ว นั่นก็เพราะ เจ้าเฮกันที่เก่งการต่อสู้นั้นหายไปจากกลุ่มเสียแล้ว
“ทุกคนคุ้มกันท่านอายากะ!!!”
ใช้เวลาไม่ถึงสองวินาทีข้ารับใช้ที่เหลือก็รวมตัวและล้อมรอบเพื่อป้องกันอายากะกันจากทุกท่าง
ส่วนชั้นที่โดนยัยกอลิล่าบังคับให้เรียนวิธีใช้ชิคิงามิเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ตัดกระดาษเป็นรูปสัตว์แล้วใช้เลือดเป็นสื่อในการเรียก พลันก็มีควันสีขาวระเบิดออกมาเล็กๆแล้วเหล่าชิคิงามิก็ปรากฏเป็นตัวออกมาแล้วเริ่มวิ่งออกไปคนละทิศ
“คะ คือว่ากับชิคิงามิตัวแค่นี้ไม่ได้ใช้เลือดเยอะเกินไปหน่อยเหรอคะ”
“ไม่เป็นไรขอรับเพราะไม่ได้จะเอามาใช้เพื่อสำรวจพื้นที่”
ชิคิกามิที่เรียกออกมาอยู่ในรูปร่างของกระรอก ส่วนที่หัวก็มียันต์ลงอาคมสังเกตุการณ์แปะเอาไว้เพื่อมองผ่านตาของมัน
“…อาจจะล่วงเกินเล็กน้อยแต่ได้โปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วยขอรับท่านอายากะ”
หลังพูดจบก็ดูเหมือนเธอจะเข้าใจในเรื่องที่ชั้นจะสื่อแล้วก็ตั้งท่าเตรียมยิงธนูทันที
ไม่ง่ายเลยวุ้ย มันต้องใช้สมาธิมากเลยกับไอ้การที่ต้องทั้งนำทางชิคิงามิและแชร์การมองเห็นไปด้วยพร้อมกันหลายตัวแบบนี้ ถ้าจะให้เทียบก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นเกม FPS พร้อมกันหลายจอนั่นแหละ
(อยู่นั่นไง..!!!)
แต่ควรจะบอกว่าจงใจให้เจอมากกว่า แล้วในทันใดที่พวกโยวไคเห็นหนึ่งในชิคิงามิที่แชร์การมองเห็นก็โดนงาบจนจอดับ แต่ก็เท่ากับว่ามันก็ชะตาขาดตามเช่นกัน
พอชั้นชี้ไปทางชิคิงามิที่ตายไปทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบพุ่งผ่านไปทางนั้นทันที ลูกศรที่ลงอาคมก็พุ่งเข้าไปหาทางชิคิงามิโดยตอบสนองจากยันต์ลงอาคมของชั้น แล้วหัวของโยวไคที่กินมันไปก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเนื้อกระจายออกมาเลยทีเดียว
ดูเหมือนจะเป็นโยวไคชั้นกลางที่มีรูปร่างเหมือนหมูป่า พอร่างมันล้มลงพวกโยวไคชั้นล่างก็วิ่งมาหมายจะรุมศพ แต่ทันใดนั้นฝนแสงก็พุ่งเข้าใส่พวกมันทันที
“ท่านอายากะโยวไครูปร่างลิงสามตัวกำลังมาทางด้านหน้าขอรับ..!!”
ในเวลาเดียวกันกับที่เงาทั้งสามพุ่งออกมาก็โดนธนูแสงพุ่งทะลุจนตัวท่อนบนระเบิดกันในทันที ถ้าเป็นชั้นเข้าไปปะทะนี่คงแทงไม่เข้าพวกมันแน่ๆเพราะจำได้ว่าไอ้ลิงพวกนี้ทั้งขนที่แข็งเหมือนเหล็กกับไอปีศาจที่คลุมตัวเพื่อป้องกันตัวมันนั้นค่อนข้างหนามาก
“..ทุกคนเตรียมการตั้งรับ ป้องกันท่านอายากะไว้”
ขณะที่ออกคำสั่ง แต่แหมไอ้ห่าฝนธนูแสงของน้องแกนี้ไม่ว่าจะยิงยังไงก็เข้าเป้าทันทีไม่พอเสียงก็ดังหยั่งกะระเบิด แต่พวกโยวไคชั้นต่ำที่พยายามเข้ามาจู่โจม คนที่ปล่อยฝนธนู ก็โดนฟันด้วยอาวุธของพวกข้ารับใช้ที่คอยคุ้มกันในทันที
ในเกมนั้นการจัดระดับชั้นของพวกโยวไคนั้นมีหลากหลาย แต่ยังไงก็ตามวิธีที่นิยมมากที่สุดก็คือการใช้ระดับชั้นเป็นตัวบ่งบอก โดยจะแบ่งเป็นห้าชั้นคือ ชั้นแรกเกิด ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง และ ชั้นภัยพิบัติ
ชั้นต่ำสุดที่เรียกว่า ชั้นแรกเกิดนั้นคือโยวไคที่ยังกลายสภาพไม่สมบูรณ์ พอสมบูรณ์มันก็จะเลื่อนชั้นมาเป็นชั้นต่ำ แล้วค่อยๆวิวัฒนาการไปเรื่อยๆตามกาลเวลาจนถึงชั้นสูง และหลังจากนั้นจากการที่พวกมันอาศัยอยู่ในสถานที่พิเศษที่หนาแน่นไปด้วยพลังวิญญาณอย่างจุดที่ใกล้กับชีพจรมังกร หรือจากการกินโยวไค หรือ มนุษย์ที่มังพลังวิญญาณเป็นเวลานานเหลือคณานับจนพลังมันหนาแน่นกันก็จะเกิดเป็น ชั้นภัยพิบัติ เป็น ภัยพิบัติที่มีความนึกคิดเลยก็ว่าได้
แต่ในตามความเป็นจริงนั้นมีโยวไคเพียงจำนวนน้อยที่จะกลายเป็นชั้นภัยพิบัติได้ แค่จะอยู่จนกลายเป็นชั้นสูงก็ยังไม่เยอะเลย เพราะถึงจะเป็นโยวไคพวกมันก็ไม่ได้โง่จนรู้ว่าสิ่งที่อันตรายต่อพวกมันที่สุดก็คือโยวไคด้วยกันเองและถ้าเกิดมันออกมาล่าโยวไคเพื่อจะวิวัฒนาการแล้วเรื่องไปเข้าหูมนุษย์ก็ไม่แคล้วนจะกลายเป็นฝ่ายโดนล่าแทน ดังนั้นสองในสามของโยวไคในโลกนั้นจะเป็นพวกแรกเกิดหรือไม่ก็ชั้นต่ำที่ต่อให้เป็นข้ารับใช้ก็สามารถสู้ตัวต่อตัวได้
และใช่ถ้าเป็นแค่ชั้นต่ำละนะ
“อ่ะ อ้าก!!!”
เสียงร้องพร้อมเสียงบางสิ่งโดนบดขยี้ดังขึ้น พอหันไปทางต้นเสียงก็เห็นกับภาพสยดสยองเข้าจนได้
โยวไครูปร่างหมีตัวสูงกว่าสามเมตรได้บดขยี้หัวของข้ารับใช้หนึ่งคนไปแล้ว อธิบายชัดๆคือโดนจับหัว ยกขึ้นแล้วขยี้ ทั้งเลือด ชิ้นเนื้อ กระดูก ยังคาอุ้งตีนหมีอยู่เลือด พอเจอภาพแบบนั้นกับดวงตาสีแดงเดือดจ้องมาทางนี้ ม้าของอายากะก็เริ่มแตกตื่น
“หนอยแนะไอ้ปีศาจ!”
ตัวเด่นในปฏิบัติการนี้ดึงคันธนูตอบโต้กลับในทันทีในระยะใกล้โดยใส่พลังวิญญาณที่มากเกินไปเพราะความโกรธ จนเป่าร่างซึกซ้ายของหมีตรงหน้าไปได้ในทันที และร่างอีกซึกของมันกันล้มลงแล้วเครื่องใน เลือดก็พุ่งกระจายออกมาเป็นจำนวนมาก
แต่การกระทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะเราก็ยังไม่รู้จำนวนของศัตรูแน่ชัดด้วยแล้ว การโจมตีที่ใส่พลังวิญญาณมากเกินจำเป็นแบบนี้จะส่งผลให้ความสามารถของผู้ปราบมารลดลงในระยะยาวได้ ซึ่งในกรณีนี้นั้นก็ถือว่าสถานการณ์มันแย่ลงแล้ว
“ชิ รูปขบวนเสียแล้ว..ห๊ะ!!”
ข้ารับใช้ที่เก่งด้านต่อสู้ก็ไปเป็นคนแรกแล้วยังมาเสียไปเพิ่มอีกหนึ่งคน ไม่พออายากะก็ยังใช้พลังวิญญาณมากเกินจำเป็นในการโจมตีเมื่อกี้อีก ยังไงก็แล้วแต่ธนูมันก็ไม่ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิดอยู่แล้วด้วย
“หึ้ย!!”
ชั้นใช้หอกที่เสริมแกร่งด้วยพลังวิญญาณตัดผึ้งตัวขนาดเท่าหมา และใช้ส้นเท้าที่เสริมพลังเช่นกันเตะค้างคาวที่พุ่งมาจากด้านหลังจนคอหลุด
การจะจัดการพวกโยวไคชั้นต่ำในการโจมตีครั้งเดียวด้วยอาวุธธรรมดานั้นไม่อาจทำได้ง่ายดายนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปรกติที่ต้องเสริมแกร่งมันด้วยพลังวิญญาณก่อน ในกรณีของชั้นไม่ได้คลุมทั้งร่างและอาวุธด้วยพลังวิญญาณแล้วโจมตีแต่เสริมแกร่งเฉพาะส่วนที่ใช้เท่านั้น วิธีนี้ไม่ได้คิดเองหรอกลอกมาจากตัวเอกในเกมนั่นแหละ
“ท่านอายากะข้าคิดว่าจำนวนศัตรูอาจมีมากเกินไป ตอนนี้ควรจะถอยไปตั้งหลักกันก่อน”
ชั้นที่เห็นหนูยักษ์สองตัวกำลังกระโจนเข้ามาก็ปามีดคุไนใส่ส่วนหัวจนแหลก พวกหนูพวกนี้มันมีเชื้อโรคอยู่เยอะถ้าแค่โดนข่วนหรือกัดเข้าได้เป็นเรื่องใหญ่แน่
“แต่หมอกมันหนามากเลยนะคะ”
“ชิ ไอ้หมอกเวรนี่…”
ไอ้หมอกพวกนี้น่าจะสร้างจากไอปีศาจและอาจส่งผลให้ไม่รู้ทิศทางสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นจะให้หนีไปไหนคงไม่พ้นนะสิ
‘โอ๊ะ แค่นี้ยากไปงั้นเหรอ ช่วยไม่ได้เดี๋ยวลดระดับลงนิดนึงให้ละกันนะ เพราะเจ้าไม่ควรจะจบชีวิตที่ตรงนี้นิเนอะ’
ครู่ถัดมาก็ได้ยินเสียงกระซิบผ่านหูที่ดูร่าเริง แต่แฝงความยึดติด ถ้าไม่ได้คิดไปเองเหมือนเคยได้ยินเสียงนี่มาจากไหนสักที่…
พลันก็ได้ยินเสียงดังสนั่นจนพื้นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งป่าจากระยะไกลตามต่อจากนั้นหมอกที่เคยหนาก็ค่อยๆจางลง
“อ๊ะ เสียงอะไรกันคะเนี้ย”
“หมอกมัน…จางลงแล้ว ตอนนี้ละทุกคนรีบพาท่านอายากะออก…”
เสียงเมื่อกี้ทำทุกคนตกตพลึงกันก็จริงแต่เรื่องพรรค์นั้นค่อยตกใจที่หลังก็ยังทันและแน่นอนชั้นที่ตอนนี้ที่เก่งที่สุดในหมู่ข้ารับใช้ที่เหลือก็ต้องเป็นคนนำเลยรีบออกคำสั่งให้ทุกคนถอยทัพกันก่อนโดยเร็ว
‘แง้ววว!!’
แต่ไอ้ทางที่ไปก็มีเสือ ไม่สิแมวตัวเท่าเสือกระโจนเข้าใส่ เหมือนกันจนเกือบลืมไปว่าโลกนี้พวกเสือนั้นพบได้แค่บนแผ่นดินใหญ่
“บ้าเอ้ย!”
ยังถือว่าโชคดีที่หมอกมันเริ่มจางลงเลยตั้งรับโดยใช้หอกกันได้ทัน แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่งโยวไคตรงหน้าทุ่มน้ำหนักหวังจะตะปบให้ล้มลง ชิบแล้ว..
“ยังหรอก!!”
แทงมือข้างขวาไปที่หน้าแมวตรงหน้าแล้วส่งพลังวิญญาณไปที่ปลายเล็บนิ้วชี้และนิ้วกลาง เสียบทะลุหัวผ่านทางลูกตามัน
โล่งอกได้เปราะหนึ่งก็รู้สึกได้ว่ามีโยวไคชั้นต่ำรูปร่างพังพอน ลิง กบ และอื่นๆพุ่งเข้าใส่พร้อมกันจากทางด้านหลัง
“ระวังด้านหลังค่ะ!!”
สิ้นเสียงของอายากะแล้วหันไปก็เห็นเป็นลูกธนูพุ่งทะลุหัวพวกโยวไค แต่ว่า
“อ๊ะ..”
ลูกศรที่เล็งไปที่กบตัวเท่าหมานั้นพลาดหัวมันไปนิดเดียว อาจจะเพราะรีบยิงด้วยความร้อนรนของตัวอายากะเอง
‘อ๊บ!!’
มันปล่อยลิ้นใส่อย่างรวดเร็วแต่ชั้นก็ใช้หอกเบี่ยงการโจมตีที่เล็งมาใสี่หัวได้ แต่ก็ยังตัดโดนไหล่ซ้ายอยู่ดี ถึงไอ้เสื้อที่พวกข้ารับใช้ใส่จะถักด้วยพลังวิญญาณแล้วลงอาคมป้องกัน แต่ก็เพราะเป็นของผลิตจำนวนมาก พลังมันก็เลยบางเหมือนกระดาษ
“อย่ามาแลกลิ้นใส่กันสิโว้ย..!”
จับหอกให้มั่นแล้วตัดลิ้นมันทิ้ง แต่มันก็ยังสู้ไม่ถอยปล่อยเสียงประหลาดแล้วคายน้ำสีม่วงๆออกมาจากปากใหญ่ๆของมัน .. แค่เห็นสีก็รู้แล้วว่าถ้าโดนไปซวยแน่
“อ๊บ..!?”
รีบปลดผ้าคลุมที่ใส่อยู่มาโยนเป็นโล่ไปด้านหน้าเพื่อเอามารับของเหลวตรงหน้า และก็แน่นอนไอ้ผ้าคลุมมันละลายทันทีที่สัมพัสเลย
“อย่ามาถ่มน้ำลายใส่กันด้วย…!!”
แล้วใช้หอกพุ่งเข้าไปเสียบทะลุปากมันจนตาย แต่ก็ไม่แคล้วยังรู้สึกอีกว่ามีตัวอะไรลอบเข้ามาจากด้านหลัง พอตวัดหอกสวนไปในทันทีก็สวนเข้ากับเคียวจากโยวไครูปร่างตั๊กแตนตำข้าวเฉือนตรงส่วนหน้าอกไป แต่หอกที่ตวัดมานั้นก็วาดผ่านตัวมันจนผ่าตัวมันขาดครึ่งเช่นกัน
“แฮ่ก แฮ่ก…บ้าเอ้ย”
และก็เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆดังใกล้เข้ามาจากในหมอก แต่ก็ยังไม่เห็นเงา ถ้ามีเวลาดูทางผ่านของไอ้ตั๊กแตนนี่ก็คงรู้ว่าจะมาจากทางไหนกันบ้างแต่จะเอาเวลาที่ไหนไปทำในสถานการณ์แบบนี้
“พวกเจ้าทุกคนรีบพาท่านอายากะออกไปเร็วเข้า..!”
ไม่มีทางที่ข้ารับใช้อย่างชั้นจะสะกัดฝูงโยวไคที่วิ่งเข้ามาได้หรอก ดังนั้นจึงหยิบระเบิดแสงที่อัดดินระเบิดไว้จำนวนมาก ออกมาจากกระเป๋าอุปกรณ์แล้วปาใส่พวกมัน
แล้วเมื่อระเบิดแสงทำงานพร้อมกับเสียงที่ดังยิ่งขึ้นเพราะเสริมดินระเบิดไว้เยอะ ชั้นก็รีบวิ่งออกห่างจากกลุ่มของอายากะ ไปคนละทาง ถึงระเบิดแสงนี่จะไม่ร้ายแรง แต่ไอ้เสียงที่ตามมานั้นก็ยังสามารถทำให้พวกชั้นต่ำมึนงงได้อยู่ ถึงจะไม่มีผลกับพวกชั้นสูงก็เถอะ
แต่ยังไงก็ต้องรีบออกห่างจากพวกอายากะให้ไกลที่สุด โดยที่วิ่งฝ่าหมอกสุดชีวิตโดยยังกดบาดแผลเอาไว้ แน่นอนไอ้พวกนี้มันต้องเล็งชั้นที่อยู่คนเดียวกับบาดเจ็บอยู่แน่นอน โดยที่ทั้งวิ่งโดยไม่มีเสียงและใช้พลังวิญญาณเสริมปอดตัวเอง
และเพราะอาจจะด้วยที่วิ่งสุดชีวิตไม่พอวิสัยทัศน์โดนบดบังด้วยหมอกก็เลยไม่เห็น ’ไอ้นั่น’ ที่อยู่บนพื้น
“แฮ่ก แฮ่ก .ห๊ะ … ชิบ!”
พอเท้าเหยียบไปที่รากไม้จุดหนึ่งมันก็ลื่นไปทำให้ชั้นดิ่งลงไปในถ้ำด้านล่างทันที
*
“ต้องเรียกว่าโชคดีในโชคร้าย ซะละมั้งเนี้ย…”
พึมพำกับตัวเองในถ้ำ ในระหว่างที่เปลือครึ่งถ่อนบนเพื่อจะหยุดเลือดจากแผลที่ไหล่กับตรงอก
ถ้าไม่ใช่ว่าด้านล่างของถ้ำมันเป็นแม่น้ำละก็ได้ตกลงมาตายไปแล้วแน่ๆ และเพราะตกลงไปในน้ำทั้งกลิ่นเลือด กลิ่นตัวก็โดนน้ำชำละไป พอขึ้นมาจากน้ำก็ดีดตัวขึ้นโดยไร้เสียงไปหลบอยู่ระหว่างหินก้อนใหญ่ และตัดสินใจนั่งพักมันตรงนั้น แน่นอนว่าไม่ได้ก่อกองไฟ แสงสว่างก็ต้องพึ่งเอาจากตาที่ปรับเข้าในความมืดกับแสงระยิบระยับที่รอดผ่านจากผนังถ้ำด้านบนลงมา
“โอ้ย.. ไหว้ละอย่าติดเชื้อเลยเหอะ ไอ้ยุคนี้มันยังไม่มียา ปฏิชีวนะอยู่ด้วยเนี่ย ”
วิธีรักษาแผลที่ใช้ได้ตอนนี้คือ ล้างแผล ฆ่าเชื้อ แล้วเอาผ้าพันแค่นั้น ถึงการแพทย์จะพัฒนาขึ้นเพราะต้องตีกับโยวไคเป็นประจำมันก็น่าจะก้าวหน้ากว่าในโลกจริงอยู่บ้างแน่นอน แต่ก็แหงละมันไม่น่าจะมีใครอยากเอายาล้ำหน้ามารักษาข้ารับใช้ที่เป็นของใช้แล้วทิ้งหรอก
“ก็ยังไม่อยากเชื่อว่ายังรอดมาได้จนถึงตอนนี้เลยวุ้ย”
บ่นพลางมองลงไปที่ร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ถึงจะพอจำเรื่องในชาติก่อนได้แต่มันก็ใม่ใช่ว่าชาติก่อนเป็นหมอซะทีไหน เพราะขนาดมีความรู้โลกนี้ค่อนข้างละเอียดจากการที่ติดไอ้เกมนี้จนงอมแงม แต่ก็ยังเจอเรื่องเสี่ยงตายได้หลายต่อหลายครั้งนี่ยังคิดว่าถ้าเป็นข้ารับใช้ธรรมดาที่โดนห้ามการเข้าถึงข้อมูลจากไอ้ตระกูลระยำนี่ละก็ป่านนี้น่าจะตายไปนานแล้ว
“เหมือนว่าหมอกมันจะค่อยๆจางลงแล้วรึเปล่าน่ะ..”
หมอกที่เป็นผลงานของโยวไคแน่ๆนั้นที่ค่อยๆจางลงอาจจะไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นตอนกลางคืน แต่สาเหตุหลักก็ต้องเป็นเพราะไอ้เสียงนั่นแน่ๆ ส่วนไอ้ที่ทำให้มันจางลงก็น่าจะจากเจ้าของเสียงกระซิบนั่นชัวร์ และพอมีเวลามานั่งคิดแบบนี้ผนวกกับความรู้จากในเกมก็ไม่อยากจะนึกถึงเจ้าของผลงานเลยทีเดียว
“…ยังไงก็ต้องพักเอาแรงก่อน”
เอาชุดคลุมสีดำกลับมาสวนทับผ้าขาวที่ฉีกจากเสื้อซับในนั้นตอนนี้กลายเป็นผ้าผันแผลที่ชุ่มเลือดไปแล้วก็เหอะ จากนั้นก็หยิบหอกไว้ในมือ เอาหลังพิงก้อนหิน แล้วใช้เกลือโรยไว้โดยรอบเพื่อเป็นเขตอาคมแบบง่ายๆแล้วจึงหลับตาลง
*
ตีสาม เป็นช่วงเวลาที่เหล่าโยวไคจะดุร้ายมากที่สุดของวัน หมอกนั่นก็ปรากฏขึ้น
หมอกพิษจากไอปีศาจก็กระจายผ่านเขตอาคม กัดเซาะเกลือที่ใช้ขับไล่ปีศาจที่ตัวข้ารับใช้ได้โปรยไว้ก่อนหน้านี้
และพอมันสัมพัสเจอตัวเขา หมอกนั่นก็ค่อยๆรวมตัวกันในจุดๆเดียวกลายเป็นเงารูปร่างมนุษย์
‘….’
เงานั้นจ้องใบหน้ายามหลับของตัวข้ารับใช้อยู่ประมาณไม่กี่วิแล้วค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา
“…เจ้าต้องการอะไร ไอ้สัตว์ประหลาด”
ชั้นพูดถามพร้อมต่อปลายหอกไปที่คอของเงาตรงหน้า ก็พอจะเดาได้จากนิสัยของเงาตรงหน้านี่ว่าจะมาหาตอนกำลังหลับแน่ๆก็เถอะ แต่ไม่นึกว่าจะมาจริง
‘แหม ไม่โหดร้ายกับผู้มีบุญคุณกันเกินไปหน่อยเหรอ นี่ข้าก็อุตส่าห์เอายาที่ทำเองมาให้ด้วยแท้ๆ’
เงาตรงหน้าที่แพร่ไอปีศาจออกมานั้นพูดด้วยน้ำเสียงทะมัดทะแมงอย่างเป็นมิตร แต่ปากคำของโยวไคประเภทตรงหน้านั้นไม่ควรเชื่อถือเป็นที่สุดโดยเฉพาะตัวตรงหน้า ถ้าเป็นคนที่มันไม่เห็นอยู่ในสายตามันก็ไม่ทำอะไรหรอก แต่ถ้าเป็นมือปราบมารที่มีฝีมือก็จะโดนมันล่าและกลืนกิน
และยิ่งชั้นที่รู้จักเนื้อเรื่องของโยวไคตรงหน้าเป็นอย่างดีจากความรู้ของเกมนั้นก็ยิ่งระแวงอย่างหนักว่ามันจะมาไม้ไหน เพราะไอ้ชั้นมันไม่น่าจะมีรสชาติถูกปากมันเป็นแน่
“ถ้าไม่มีธุระก็ช่วยรบกวนไสหัวไปด้วย ถ้าหิวข้าก็มีให้ได้แค่นิ้วกลางนี่ถึงจะไม่ถูกปากเจ้าแน่ๆก็เถอะ”
“แหมปากคอเราะร้าย ข้าไม่กินเจ้าหรอกดังนั้นมาญาติดีกันไว้เถอะน่านะ”
ไอปีศาจค่อนๆรวมตัวกับเงาตรงหน้าจนรูปร่างชัดเจนเป็นตัวเป็นตันยิ่งขึ้น
ปรากฏเป็นสาวสวยเรือนผมสีน้ำเงิน ดวงตาสีเดียวกัน สวมชุดเป็นนักพรต แต่สีเสื้อเป็นสีน้ำเงินเช่นกัน บนหัวสวมหมวกไม้ไผ่เอาไว้เพื่อปกปิดเเผ่าพันธุ์ตัวเอง ตัวสูงเท่ากับผู้ชายร่างแต่ร่างผอมบาง มีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบพอดี ถ้าเอาตามภาพนิ่งในเกมนั้นตัวเธอไม่ได้เป็นสายสะบึมอยู่ในระดับกลางๆ แต่ก็ยังเป็นสาวสวย และสิ่งของที่เด่นชัดที่สุดที่เธอถือมาก็คือสมอเรือเนี่ยแหละ
“ถามจริงไม่ใช่เนื้อมนุษย์นี่ของโปรดเจ้าตั้งแต่อดีตหรอกเรอะเลยเสนอหน้ามานะ”
ญาติดีกับหอกชั้นก่อนละกันนะ เพราะถ้าคนที่รู้จักอดีตโยวไคตรงหน้าก็น่าจะทำเหมือนกันทุกคน นี่ยังไม่นับนิสัยแปลกๆของมันอีกนะ ถึงจะมีท่าทีเป็นมิตรจนพวกคนเล่นเกมครั้งแรกจะวางเพราะเป็นหนึ่งในนางเอกก็เถอะแต่แน่นอนว่าสุดปลายทางที่ก็คือไปลงเอยที่กระเพาะนาง
“เอาน่าที่หิวนะทางเจ้ามากกว่ามั้ง มากินข้าวปั้นกับข้าไหมละไม่ใช่ข้าวเปลือกแบบที่พวกข้ารับใช้กินกันแต่เป็นข้าวขาวเลยนา”
ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มโยวไคร่างผู้หญิงตรงหน้าก็นั่งลงข้างหน้าหยั่งกะเพื่อนแล้วถอดหมอกไม้ไผ่ออก และที่บนหัวนั่นก็ปรากฏเป็นเขาที่ดูน่าสะพรึ่งหนึ่งคู่งอกออกมาจากหัว
“ดูสิมีทั้งรสบ๊วย สาหร่าย หรือปลาก็มีอร่อยนะเออ โอ๊ะหรือว่าเจ้ากระหายน้ำข้าก็เตรียมไว้ให้ตรงนี้แล้วด้วยนา”
ถามจริงจะให้เชื่อใจกินของจากไอ้โยวไคที่ทั้งเจ้าแล่ห์ เห็นแก่ตัว สติแตก ตรงหน้าเนี่ยนะ
เพื่อยังไม่ได้บอกไอ้ตัวตรงหน้านี่คือ โยวไคชั้นภัยพิบัติ ที่เรียกว่า อาโอโกะยักษ์ฟ้าหัวแดง ชื่อเสียงเรียงนามของเธอนั้นเป็นที่โจษจันอย่างยิ่งในเมืองหลวงถึงขนาดที่พระจักรพรรดิออกคำสั่งให้จับตายเลยไม่พอ วีรกรรมของเธอก็เล่นเอาเหล่าผู้เล่นนับเป็นตัวละครที่สร้างแผลใจได้อีกหนึ่งเลยทีเดียว
***
กว่าจะเสร็จ…ตอนนั่งอ่านก็เพลินๆแต่พอมาแปลนี่คุยกันคนละคำ แต่อธิบายเนื้อเรื่องกันเป็นพารากราฟ lol
บอกเพื่อไว้ฉากเล่าเนื้อเรื่องในเกมเท่านั้นนะครับที่มันออกไปทางเรตหน่อยๆ นี่ก็แปลให้มันไม่เรตมากแล้วละ ฮา