ในช่วงพักกลางวัน ผมนั่งลงบนบันไดฉุกเฉินตามที่ตกลงกันไว้
ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีแบบนี้ในโรงเรียนเราด้วย ผมมองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจเล็กๆน้อย
นี่คือสถาณที่ที่ไม่ค่อยจะมีคนสักเท่าไร และในเวลาเดียวกันเป็นการยากมากมีคนผ่านมาทางนี้ ตลอดระยะเวลา4เดือนที่ได้มาเรียนที่นี่ พอดีเลยผมสำเร็จภารกิจในการตะเวนดื่มน้ำก็อกแล้ว ที่นี้เหมาะกับการที่ผมปรีกตัวมาหลบคนได้
เอาหล่ะผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ยานามิจะมาเพราะงั้นมากินข้าวเที่ยงเลยดีกว่า
“มาอยู่นี่เอง นุคุมิสึคุง”
ผมได้ยินเสียงยานามิลงบันไดลงมา ผมเลยเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และต้นขาสีขาวก็เข้ามาบังสายตาของผม ผมเลยหันหน้าหนีในทันที
“เอ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจมองน่ะ!”
ยานามิไม่ได้สนใจในจุดนั้นเลยแม้แต่น้อย เธอนั่งลงข้างๆผม
“ช่วยฉันหน่อยสิ”
นั่นคือประโยคแรกที่ยานามิได้พูดขึ้นหลังจากนั่งลง
“คาเรนจังบอกว่าเธออยากให้พวกเรา3คนไปร้องคาราโอเกะหลังเลิกเรียน”
…อ่า ร้องคาราโอเกะ กิจกรรมที่สามารถที่ร้องเพลงจีบกันได้โดยพวกคนทั่วไป แต่เธออยากให้ผมไปช่วยเนี่ยน่ะ แบบนั้นมันโคตรจะอันตรายเลย
“แล้วทำไมไม่ลองไปดูล่ะ?”
หลัังจากที่ยานามิได้ยินตำตอบที่สมเหตุสมผลของผม เธอก็เอามือกุมขมับด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง
“นี่!กำลังจะบอกว่าให้ฉันไปนั่งฟัง2คนนั้นร้องเพลงจีบกันหรอ? นุคุมิซึคุงอยากให้ฉันตายขนาดนั้นเลยเหรอ!?”
ทำไมผมต้องไปแคร์เรื่องอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ?
“ทางนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะทางนี้เองก็ไม่เคยไปคาราโอเกะมาก่อนเหมือนกัน”
“อาา”
กลุ่มเมฆก่อตัวขึ้นตามสีหน้าของยานามิ
“ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่าเธอยังไม่เคยไปคาราโอเกะมาก่อน …ฉันขอโทษจริงๆ จะให้ฉันทำอะไรเป็นการขอโทษดี…?”
เดี่ยวสิเดี่ยวสิ ทำไมต้องขอโทษกันขนาดนั้นด้วย เฮ้หยุดได้แล้วทางนี้จะน้ำตาไหลแล้วน่ะ
“แล้วเรื่องเงินที่เธอยืมไปก่อนหน้านี้”
“ถึงแม้ว่า2คนนั้นจะบอกว่ายังไงพวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนแต่ก่อน”
อะไร? ยานามิเปิดฝากล่องข้าวของเธอ จะกินข้าวกันที่นี้เลยหรอ?
“ไม่เป็นไรหรอ อย่ากดดันตัวเองมากไปเลย แล้วเรื่องเงินที่ยืมไปก่อนหน้านี้…”
“ฉันได้รับข้อความมาน่ะ ว่าพวกเขาเริ่มไปเดทกันตอนกลางดึกในวันเดียวกับที่ฉันขอยืมเงินนาย
เธอใช้ตะเกียบแทงปลาทาโร่ ไปเรื่อยๆ
“สองคนนั้นทำอะไรกันก่อนที่จะมีส่งขอความมาหาฉัน”
“ อย่าคิดมากน่า พวกเค้าก็แค่ได้รับส่งข้อความช้าเฉยๆเอง”
“ในคืนนั้น ฉันได้รับข้อความจากพี่สาวของโซสึเกะด้วย เธอบอกว่าเธอติดต่อโซสึเกะไม่ได้เลยถามฉันว่า ฉันได้อยู่กับเขาไหม?ด้วย”
“เอ่ออ”
ช่วยผมด้วย..
ผมทำได้กระเดือกขนมปังแกงกระหรี่ในมือผมไม่ลง
“ตอนนั้นทั้ง2คนคงไม่ได้กำลังทำเรื่องอะไรแปลกๆกันอยู่ใช่ไหม? เลยทำให้ไม่ว่างที่จะตอบกลับคนอื่นๆ”
ปลาทาโร่ถูกแทงครั้งแล้วครั้งเล่า จนแตกเป็นชิ้นๆ
“ผมคิดว่าโทรศัพท์น่าจะแบตหมด ผมเองก็เคยเจอสถาณการที่แบตโทรศัพท์หมดมาเหมือนกัน”
“อืมม บางที่ฉันต้องเชื่อใจพวกเขาบ้าง…แม้ว่าจะไม่รู้ว่าควรเชื่อใจเรื่องไหนก็ตาม”
ผมยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
และในที่สุดยานามิก็เงยหน้าขึ้น
“ขอโทษน่ะ ฉันพูดไม่หยุดเลย”
“เอ่อไม่เป็นไร …ถ้ายังต้องการพูดอีกผมก็พร้อมจะรับฟังน่ะ”
“ขอบใจน่ะ นุคุมิซึคุง มันยากที่จะบอกเพื่อนหรือคนรู้จักเกีี่ยวกับเรื่องนี้ได้น่ะ มันเลยยังหนักอกหนักใจฉันอยู่ ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้วล่ะ”
ตลอดที่ผ่านมานี้ผมก็ไม่นับเป็นคนรู้จักเลยหรอ?
“ช่วงพักเที่ยงใกล้จบแล้วน่ะพวกเรามากินข้าวกันเถอะ”
หัวข้อที่พวกเราพูดคุยกันมันก็แค่เรื่องของคู่รักนอกนั้นก็แค่เป็นการกินข้าวกลางวันกันทั่วไป พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากผมแนะนำเธอไปยานามิแสดงรอยยิ้มอันอ่อนล้าให้กับผมก็แค่นั้น
“ใช่… เรามากินข้าวกันเถอะ”
พวกเรากินอาหารกันอย่างเงียบๆ
ผมกินขนมปังแกงกระหรี่เสร็จแล้ว เลยหันไปแอบมองยานามิเงียบๆ ว่าแต่ทำไมผมถึงได้มากินข้าวเที่ยงกับผู้หญิงได้ล่ะ?”
ผมพนันได้เลยว่าการปฎิเสธคำบอกรักคนอื่นหรืออะไรแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกับพวกเรียวจู
ด้วยความน่ารักของยานามิผมเดาได้เลยว่าเธอก็ปฎิเสธคนอื่นไปเยอะเหมือนกันและมันก็ถึงคราวของเธอที่เป็นฝ่ายถูกทิ้ง
นี่คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกันในชีวิตของเธอ แล้วอาจจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคตนับไม่ถ้วน ไม่เหมือนกับของๆผม
“นี่ ยานามิซัง”
ผมอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น แม้แต่ผมยังตกใจกับการกระทำของตัวเอง ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรออกไปดี
“ยานามิซังน่ะเป็นที่นิยมในผู้ชายจะตาย ผมคิดว่าเป็นที่นิยมมากกว่าฮิเมมิยะซังแน่นอน”
ยานามิมองไปที่ผมด้วยความไม่เชื่อสายตา มันคงจะเป็นแบบนี้สิน่ะ คนในทีวีก็ทำหน้าตาแบบนี้เหมือนกันเวลามีคนเรียกชื่อของพวกเค้าสิน่ะ
“เมื่อกี้ ปลอบใจฉัน เหรอ”
“ขอโทษที่พูดอะไรแปลกๆไปน่ะ ลืมๆมันไปเถอะ”
นี้ผมทำอะไรลงไป ? ผมไม่ควรออกมาจากฉากหลังเลย
ขณะนั้นผมก็ยินเสียงหัวเราะเบาๆในเวลาที่ผมกำลังจมอยู่กับความอับอายทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะไปมอง ผมเขินเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของยานามิ
“ขอบคุณน่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจนุคุมิซึคุงผิดไป”
เธอเอาปลาทาโร่ใส่เข้าปากไปหลังจากพูดแบบนั้น
…นี้ต้องเข้าใจผิดกันแบบไหนล่ะเนี้ย
“ใกล้ถึงเวลาคืนเงินแล้วน่ะ นี่ใบเสร็จ”
“ขอบใจที่ช่วยฉันตอนนั้นน่ะ-”
อยู่ๆร่างกายของยานามิก็แข็งค้างไป
“เดี่ยวน่ะ!?”
“ทำไม ราคามันแพงจังล่ะ?”
“ยานามิซังหลังจากนั้นคุณก็สั่งเครปเมลอน อันที่มีท็อปปิงไอศกรีมด้วยใช่ไหม”
“ใช่แล้ว”
“มันยังยังมีอุด้งหมูสลัดชาบูอีกอันรวมอยู่ด้วยน่ะ”
“ถึงจะกินอาหารที่มีชื่อว่าสลัดมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่อ้วนน่ะ”
ผมไม่ชอบใจกับการที่คุณวางใจกับทุกเมนูที่มีคำว่าสลัดเลยรู้ไหม?
เอาหล่ะดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับเรื่องนี้แล้ว ในที่สุดผมก็จะได้เงินคืนเสียที
หลังจากนั้นยานามิก็มองระหว่างมือของผมกับใบเสร็จรับเงิน เธอก็พยักหน้าราวกับว่าเธอตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“สมมุติน่ะ สมมุติถ้านุคุมมิสึคุงไม่รังเกลียดกันล่ะก็ ฉันขอตอบแทนเป็นอย่างอื่นได้ไหม”
“อย่างอิื่นนี่ยังไงหรอ”
แล้วมันคือแบบไหนกันล่ะ
ใบหน้าของยานามิค่อยๆแดงขึ้น ไก่ตุ๋นบนตะเกียบเธอก็หล่นลงมาเช่นกัน
“ฉันก็ไม่มีประสบการณ์เท่าไร แล้วก็ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะให้อะไรนายเป็นการตอบแทนดี ที่นึกได้มันก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้น… แถมโซสึเกะก็ชอบมากตอนฉันทำอะไรแบบนี้ให้เขาด้วย”
“เดี่ยวๆ?”
ยานามิกำลังพูดสื่อถึงเรื่องอะไร ยานามิดูเขินอาย ในขณะที่เธอจ้องมองไปยังไก่เหนียวๆ ลื่นๆบนตะเกียบของเธอ เดี่ยวน่ะ ยานามิก้มหัวลงด้วยความลำบากใจพร้อมกับเขี่ยไก่ตุ๋นของเธอไปมา
เอ๊ะ ? เอ๊ะ ? เอ๊ะ ? อย่าบอกน่ะว่า…เรื่องอย่างว่า!? มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?
ผมส่ายหัวอย่างรุนแรง
“ไม่ๆๆ ตอนนี้เรายังอยู่ในโรงเรียน”
“ถึงฉันจะทำอาหารไม่เก่งมากนัก แต่ข้าวกล่องฉันยังพอทำได้น่ะ”
“เอ๊ะ ข้าวกล่อง”
“ใช่ มีอะไรแปลกๆหรอ”
ยานามิที่ไร้เดียงสา เธอเอียงหัวด้วยความสับสน
“ไม่ๆไม่มีอะไร ข้าวกล่องสิน่ะข้าวกล่อง”
…ให้ตายสิ ผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเลิกสนใจเรื่องนั้นแล้วหัันไปมองราคาบนใบเสร็จ
“อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าข้าวกล่องมื้อเดียวมันคงไม่พอ”
แต่มันคุ้มค่าน่ะ ถ้าผมสามารถประหยัดค่าอาหารกลางวันลงได้?
“อืม ฉันเสนอให้นายกำหนดราคาอาหารของฉันได้จนกว่านายจะพอใจเลยแค่นี่เรื่องเงินที่ยืมไปก็หมดห่วงแล้ว”
ในช่วงเวลานี้ได้มีผู้หญิงจะทำข้าวกล่องทำมือให้ผมด้วย คิดไม่ออกเลยว่าผมจะมาพบเจอเรื่องอะไรแบบนี่ แต่ว่าถ้าไม่ได้ยุ่งกับเธอตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ผมก็ยังคงมีเงินค่าอาหารกลางวันสบายๆอยู่ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้นิ ผมคิดว่าเธอไม่ควรพูดว่าแค่นี่เรื่องเงินก็หมดห่วงสิ
แล้วผมจะเอาอย่างไงกับข้อตกลงดีล่ะเนี่ย… ชักจะสัมผัสได้ถึงปัญหาน่ะเนี่ย
“คือว่าผมคิดว่า..”
“งั้น ฉันพรุ่งนี้จะรอนายที่นี้ตรงจุดนี้น่ะ”
ยานามิแสดงรอยยิ้มโล่งใจ มองดูเธอมีความสุขกับข้าวกล่องของเธอแล้วผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไงดี
“…ครับๆ จะตั้งตารอเลย”
.
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นช่วงพักกลางวันก็จบลง ผมนั่งลงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
ผมหมดแรง ทำไมการทวงเงินมันถึงเหนื่อยขนาดนี้?
…แถมเธอยังไม่ได้คืนเงินผมเลยด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุบางอย่าง ทำให้ยานามิไม่สามารถจ่ายเงินได้ เลยกลายเป็นว่ายานามิเธอจะตอบแทนผมด้วยข้าวกล่องทำมือของเธอแทน ในอีกความหมายหนึ่ง ผมก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารของเธอในวันต่อๆมาได้ใช่ไหม?
พล็อตมันเดินเร็วไปไหนเนี้ย หัวของผมเริ่มตามไม่ทัน
ตอนนี้ก็กลางเดือน กรกฎาแล้ว ผมควรปล่อยหัวให้ว่างๆไปตลอดเทอมที่เหลือ ผมจึงจินตนาการว่าตัวเองกำลังลบตัวตนของตัวเองออกไป…
…เอาหล่ะ วันนี้ผมจะไม่คุยกับใครอีก เพราะตอนนี้ผมกำลังกางอาณาเขตมุเกก เอาไว้แล-
“นี่ ใช่นุคุมิสึคุงใช่ไหม?”
แล้วมันก็ถูกทำลายอย่างง่ายดาย เด็กผู้หญิงที่ดูมืดมนเดินทักเข้ามาหาผม
“ฉะ ฉันปีหนึ่งจากชมรมวรรณกรรม”
เธอไอกระแอก2ครั้งหลังจากพูดประโยคนั้นออกมา
อะไรกัน คนๆนี้ ถ้าเป็นผมจะไม่ทำแบบนั้นแน่ถ้าผมเป็นเธอ
“เธอเป็นเป็นใครแล้วมี เรื่องอะไรหรอ?”
“อ่า อาฉันโคมาริ! จากชมรมวรรณกรรม! โคมาริ ชิกะ!”
เธอคนนี้เรียกตัวเองว่าโคมาริ และกำลังมองผมด้วยตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่บีบกระโปงชุดฤดูร้อนที่ยาวของเธอเล็กน้อย
“ฉันมีเรื่องที่จะบอกเกี่ยวกับชมรม!”
“กับผมหรอแล้วชมรมวรรณกรรมเกี่ยวยังไงกับผมหรอ?”
“ไม่ใช่ว่านุคุมิสึคุงอยู่ในชมรมวรรณกรรมเหรอ?”
“เอะ?”
“เอะ?”
พวกเราเงียบกันทั้งคู่
เดียวน่ะ ลองคิดๆดู ผมก็เคยไปชมรมวรรณกรรมครั้งหนึ่ง
ในช่วงสัปดาห์แรก คนในชมรมวรรณกรรมให้ผมเขียนชื่อด้วยอย่าบอกน่ะว่านั้นคือใบสมัครน่ะ
“อ่า เพราะแบบนี้นี่เอง”
โคมาริ ชิกะ พิมหน้าจอโทรศัพท์อย่างบ้าคลั่งหลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งใจ หลังพิมเสร็จ เธอก็วางมันลงตรงหน้าผม
<พวกเราได้รับคำเตือนมาจากสภานักเรียนว่ามีสมาชิกที่ไม่ได้มาทำกิจกรรมชมรม ผลสรุปแล้วเลยทำให้มีคนในชมรมเรานั้นน้อยเกินไป>
สมาชิกที่ไม่ได้ทำกิจกรรมชมรมที่พูดถึงคงหมายถึงผม นิ้วของโคมาริเริ่มเลื่อนพิมโทรศัพท์อย่างรวดเร็วอีกครั้ง
<เพราะอย่างงั้นแล้ว ช่วยมาชมรมหลังเลิกเรียนด้วย>
“ได้ๆ ผมจะไป”
ผมจำได้แล้ว นอกจากประธานแล้ว ทุกคนในชมรมวรรณกรรมยังเป็นเด็กผู้หญิงอีกด้วยนั้นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ไปห้องชมรมเสียทีเพราะผมคิดไม่ออกเลยว่าผมจะอยู่ที่นั้นไหวได้
ถึงผมจะตกลงไปแล้วแต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ยังคงยืนยัน ผมไม่อยากไปห้องชมรมวรรณกรรมจริงๆแต่ทำไงได้ผมมองโคมาริที่เดินออกจากห้องไป
…ท้ายที่สุดแล้วนั้นคือตัวแทนของคนในชมรมสิน่ะ
*
อยากกลับบ้านแล้วอ่า
หลังเลิกเรียน ผมมาถึงอาคารเก่าฝั่งตะวันตก ที่ไม่ค่อยจะมีคนมาสักเท่าไร
“…นี่คือห้องชมรมใช่ไหม”
ผมมองไปยังประตูห้องชมรมด้วยความรู้สึกขัดแย้ง บอกตามตรงผมไม่อยากไปแจมกับพวกเค้าเลย แต่แล้วผมก็ได้แต่ยอมแพ้หลังจากได้ฟังมาว่ามีคนไม่พอในชมรม ให้เข้าใจดีเลยความลำบากของคนส่วนน้อยนั้นรู้สึกอย่างไร
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ผมก็ตัดสินใจแล้วบิดลูกบิดประตู
“เอะมันล็อคอยู่”
ประตูมันล็อคอยู่หลังจากที่ผมมาที่นี้ งั้นก็หมายความว่าผมก็สามารถกลับบ้านได้เลยน่ะสิ
ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเตรียมออกเดินทางกลับบ้าน แต่ในตอนนั้นหน้าจอโทรศัพท์ก็บังการมองเห็นของผม
<ออกไป ฉันจะเปิดประตู>
โคมาริ ชิกะ ยืนอยู่ตรงนั้นนเธอผลักผมออกและเปิดประตู เดียวสิ แทนที่จะพิมมาแบบนั้นน่าจะพูดกันสักคำไม่ง่ายกว่าเหรอ
ผมเดินตามเธอเข้าห้องไป โคมารินั้งลงบนเก้าอี้และไม่สนใจผมที่เดินเข้ามาและเริ่มที่จะอ่านนิยายของเธอ
ผมเลือกนั่งบนเก้าอี้พับห่างจากโคมาริ เล็กน้อย ผมมองสำรวจห้องชมรมวรรณกรรม มีหนังสือเต็มชั้นวางหนังสือที่สูงถึงเพดานบนผนัง อ่ามีหนังสือเต็มเลย
ผมไม่ทันได้สังเกตุพวกนี้ เพราะมัวแต่กังวลมากเกินไป นอกจากหนังสือปกแข็งเก่าๆแล้วยังมีหนังสือที่มีสีสันซีดอีกด้วย ไลท์โนเวลก็มีเยอะด้วยเช่นเดียวกัน
“นี่ โคมาริซัง หนังสือที่อยู่ตรงนี่”
“อ่ะ”
โคมาริรีบดึงโทรศัพท์ของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว
ผมเริ่มจะรู้สึกจะแย่กับเธอแล้วสิ
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ผมไม่รบกวนแล้ว”
บรรยากาศที่นี่ตึงเคลียด ผมเบื่อมากเลยสุ่มเอานิยายของ ดาไซ โอซามุมาอ่านจากชั้นหนังสือ
เล่มนี้มันดังมากขนาดผมยังเคยอ่านมันแบบผ่านๆ ลองคิดๆดูดาไซค่อนค่างเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ใช่ไหมล่ะ มุก โยนแม่งลงแม่น้ำ
ผมเปิิดหนังสือด้วยความเบื่อหน่าย
…โอ้ มีภาพประกอบด้วย ฉากนี้คืออะไร?
ผมยังไม่แน่ใจ ไหนดูสิ “ได้เวลาลงโทษที่แสนจะหอมหวานกันแล้วน่ะ” “แท่งไม้ของทาคุยะแทงพุ่งทะยานเข้าไปยังรูดอกไม้ของฮารุตะ-”
เดียวน่ะ นี่ใช่งานเขียนของดาไซ โอซามุหรอ?
หนังสืิิอถูกขโมยไปก่อนที่ผมจะถอดปกออก โคมาริถือหนังสือไว้ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ
“ม ไม่ เด็กผู้ชายเห็นสิ่งนี้ไม่ได้”
“ มันไม่ใช่หนังสือของดาไซใช่ไหม”
“ใช่ เดียวสิ ไม่”
อะไรกัน? พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง
“โอ้ พวกเธอสนิทกันดีสิน่ะ!”
ผู้หญิงที่สวมแว่นตาและผมยาวของเธอถูกมัดเป็นสองมัดเดินเข้ามา เธอคนนั้นมีความสวยแบบผู้ใหญ่เล็กน้อย
“ไอหย่า ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิดน่ะเนีย”
แว่นตาซังลูบหัวของโคมาริเบาๆพร้อมกับยิ้มไปด้วย
“นุคุมิสึคุงสิน่ะ? ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
ท่าทางอันอ่อนโยนของเธอทำให้ผมยิ้มตอบ เยี่ยม ในที่สุดก็มีคนธรรมดาโผล่มาเสียที
“ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่มาร่วมกิจกรรมชมรมน่ะครับ”
“การที่เธอมาที่นีี้ มันช่วยได้มากเลยล่ะ คงไม่ลืมใช่ไหม? ฉันเป็นรองประธาณชมรมอยู่ปี3ชื่อ ซึกิโนกิ โคโตะ”
“โอ้ ครับ”
ผมโกหกผมจำเธอไม่ได้
รุ่นพี่ซึกิโนกิมองดูนิยายในมือของโคมาริแล้วพยักหน้า
“เอ่อ ฉันลืมพูดไปน่ะ ผู้ชายไม่สามารถอ่านหนังสือของดาไซ และ มิชิมะบนชั้นหนังสือได้น่ะ”
“มันเขียนโดย ดาไซและยูกิโอะ มิชิมะจริงๆใช่ไหมครับ”
หลังจากผมพูดออกไป แว่นตาของรุ่นพี่สึกิโนกิก็กระพริบอย่างน่าขนลุก
“…ไม่ดาไซต้องอยู่ข้างหน้าสิ ตำแหน่งที่ถูกต้องคือ โอซามะ ดาไซ และยูกิโอะ มิชิมะอย่าเปลี่ยนตำแหน่งพวกเค้าเรื่องนี้สำคัญมากน่ะ”
ดวงตาของรุ่นพี่น่ากลัว หลังจากที่ผมพยักหน้าขึ้นลงในขณะที่กำลังตัวสั่น รุ่นพี่ก็กลับมายิ้มตามปกติอีกครั้ง
“ฉันดีใจน่ะที่เข้าใจ เอาหล่ะนั่งก่อน เอาชาหน่อยไหม”
เฮ้ เกิดอะไรขึ้นกับชมรมวรรณกรรม ไม่มีใครปกติในนี่บ้างเลยหรอ
ผมตกที่นั่งลำบากเมื่อจ้องมองไปที่พวงกุญแจบนกระเป๋านักเรียนหลังจากนั่งลง โคมาริตบไหล่ของผม ผมหันไปเจอหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ
<รุ่นพี่น่ะผิดแล้ว มิขิมะต้องอยู่ข้างหน้า และดาไซต้องอยู่ข้างหลัง>
ใครสนกัน? อย่าลากผมเข้าเขตแดนนั้นสิ
“นุคุมิสึคุง ปกติอ่านเรื่องอะไรหรอ”
รุ่นพี่ซึกิโนกิยื่นชาให้ผมแก้วหนึ่งหลังจากที่เธอถาม
“ก็ส่วนใหญ่เป็นไลท์โนเวลน่ะครับ”
“อ้อ เข้าใจแล้วล่ะ ที่นี่เรามีไลท์โนเวลเยอะเลยล่ะเธอยืมมันได้ตามต้องการเลยน่ะ”
นั่นเยี่ยมมาก ถึงผมจะขี้เกียจที่จะตัดสินใจว่าโพไหนผิดแต่ ก็ยังดีที่ผมก็ไม่จำเป็นที่จะซื้อหนังสือหลายเล่มแล้วล่ะถ้าผมมาที่นี้
“ลองมาคิดๆดูแล้วสมาชิกชมรมคนอื่นๆล่ะ ไปไหนกันหมดหรอครับ”
“ อย่างแรก พวกเรามีประทานชมรม เค้าเป็นเด็กปี3ที่แนะนำคุณตอนเดือนเมษาไง……”
ผมยังจำได้ เค้านั้นเป็นคนที่อ่อนโยนคนหนึ่ง สูง และ หล่อ
…เดี่ยวน่ะทำไมรุ่นพี่สึกิโนกิ ถึงดื่มชาต่อล่ะ?ไม่อธิบายต่อหรอ
“วันที่อากาศร้อนแบบนี้ มาดื่มใบชา ร้อนๆกันดีกว่า”
“แล้วคนอื่นๆล่ะครับ”
“มันมีแค่นั้นเหละ”
เธอกระแทกถ้วยลงบนโต๊ะหลังจากพูดอย่างนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าของเธอดูไม่ดี
“ชมรมของเรานั้นได้รับการเพ่งเล็งมาจากสภานักเรียนเมื่อเร็วๆนี้ เพราะงั้นเธอควรมาพักผ่อนที่ชมรมวรรณกรรม สักพัก มีชาฟรีด้วยน่ะ”
ผมดูไลท์โนเวลบนชั้นหนังสือ มันก็ไม่เลวน่ะ
“ได้ครับ”
รุ่นพี่สิกิโนกิยิ้มและลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ฉันจะไปแล้ว โคมาริ ฝากอธิบายเรื่องชมรมต่อทีน่ะ”
“เอะ”
จู่ๆโคมาริ ก็ส่งเสียงแปลกๆ หลังจากที่เธอกำลังเปิดหน้าหนังสือ
“ชินทาโร่ลืมไปว่าวันนี่้้เป็นเวรของเค้าน่ะเลยยังอยู่ที่ห้องเรียน ฉันต้องไปช่วยเค้าสักหน่อย”
มีแฟนแล้วสิน่ะ? มองจากทางไหนก็รู้ ทุกๆคนมักจะจมอยู่กับช่วงเวลาอันหอมหวานในช่วงม.ปลาย
“ว่ากันว่า ในตอนมอต้นเรื่องรักๆใคร่ๆเราสามารถเลือกที่จะปล่อยผ่านมันได้ แต่มันคือวิชาสำคัญเมื่อขึ้นม.ปลาย” ผมคิดว่ามีคนเคยพูดอะไรแบบนั้นมาก่อน อย่างไงก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผมล้มเหลวในวิชานี้
“อีกอย่างหนึ่ง เธอไม่ควรแตะต้องหนังสือของดาไซและมิชิมะบนชั้นวางโดยเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งสำคัญขอพูดย้ำอีกครั้งน่ะ”
รุ่นพี่สึคิโนกิ โบกมือแล้วเดินจากไป
หลังจากผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก โคมาริก็ผลักโทรศัพท์ของเธอไปที่หน้าของผม
<มิชิมะอยู่ข้างหน้าและดาไซอยู่ข้างหลัง อย่ายุ่งน่ะ!>
ผมคิดว่าเรามีผู้หญิงที่ล้มเหลวในวิชาหลักเหมือนกันตรงนี้
“ผมเข้าใจแล้ว พอใจยัง? ดังนั้นช่วยบอกเกีี่ยวกับสถาณการณ์ชมรมตอนนี่ได้ไหม”
“E-Ehh”
โคมาริสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“มันช่วยไม่ได้นิ? ก็รองประธานเค้าไปพบกับแฟนของเธอนิ”
<ค เค้าไม่ใช่แฟนของเธอ ชินทาโร่เค้าเป็นประธานชมรม! ชินทาโร่ ทามากิ! พวกเค้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน>
ทำไมล่ะอยู่ๆก็ดันโกรธขึ้นมาถึงขนาดนั้น?
โคมาริอยากจะพูดอย่างอื่น แต่เธอก็ได้แต่ครางเงียบๆ ขณะที่เธอกดพิมโทรศัพท์ของเธอ
“แบตเตอรี่หมด”
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มค้นหากระเป๋านักเรียนอย่างเมามัน นั้นกระเป๋าของผมน่ะ ใจเย็นลงก่อน
ก็อก ก็อก มีคนเคาะประตูห้อง ใครมาปรากฎตัวในช่วงที่วุ่นวายแบบนี้กัน
“ขอโทษน่ะ ฉันชื่อชิกินะจากสภานักเรียน พวกเธอว่างกันอยู่ใช่ไหม?”
“นิดหน่อยน่ะ”
สายตาของผมจับจ้องไปยังคนที่เดินเข้ามา
ผมสีขาวสลวยของเธอประกับด้วยกิฟดอกไม้ที่สวยงาม ที่คาดผมอยู่บนข้อมือของเธอนิ้วของเธอถูกตบแต่งด้วยสีสันอันสดใส เธอสวมชุดเครื่องแบบหลวมๆตัวเล็กน้อยกับกระโปรงสั่นๆ
การแต่งหน้าของเธอดูเป็นธรรมชาติมากตั้งแต่แรกเห็น แต่คนตาของเธอนั้นเยอะมากๆ แต่ถึงอย่างงั้น รูม่าณตาสีขาวของเธอกับทำให้มันดูน่ากลัว
นั้นมีสาวเกลใช่ไหม? มนุษย์ที่ไม่มีโอกาศที่ผมจะยุ่งเกี่ยวด้วยปรากฎออกมา สาวเกลชิกิยะคนนี้มองไปรอบๆห้องชมรมก่อนที่จะเดินเข้ามาหาผม
ผมกลืนน้ำลาย
แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่า ธุระของเธอนั้นคืออะไร แต่เธอก็ยังเป็นสาวเกลอยู่ดี เพราะงั้นผมเดาได้เลยว่าเธอจะต้องด่าว่าผมแน่ๆ ผมแทบจะควบคุมอารมของตัวเองเอาไว้ไม่ถูก
“เธอคือ นุคุมิสึคุงจากชมรมวรรณกรรมใช่ไหม”
เดียวก่อนน่ะทำไมเธอถึงพูดแบบภาษษาสุภาพล่ะ ใช่เกลแน่หรอ?
“อืม..ใช่เองผมนุคุมิซึ”
อารมณ์ของผมก็เย็นลงเช่นกัน ไม่ใช่เพราะผมกำลังผิดหวังหรอกน่ะ okay?
“โทษทีน่ะ..ฉันจำเป็นต้องสำรวจ…กิจกรรมของชมรมวรรณ..กรรมน่ะ…ปกติชมรมวรรณกรรมมักจะทำอะไรหรอ?…..”
ผมไม่รู้ว่าชิกิยะซังเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า เธอพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง เธอยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?
“ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องกิจกรรมชมรมสักเท่าไรน่ะครับ”
“เอ๊ะ…เธอ..เป็นสมาชิกชมรมวรรณ…กรรมจริงเหรอ…?”
รูม่านตาสีขาวของเธอกำลังมองดูผมตั้งแต่บนลงล่างเอาแล้วไง ผมจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ชมรมถูกยุบแล้ว
ผมขอความช่วยเหลือไปยังโคมาริ ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอยังกลัวการปรากฎตัวของสาวเกลอยู่หรือเปล่า? เธอจับโทรศัพท์ที่แบตหมดแล้วของเธอเอาไว้แน่นขณะทืี่ร่างกายของเธอก็สั่นอยู่ทีมุมห้อง อุหวาา ยัยนี้ไร้ประโยชน์ไปแล้ว
“เอ่อ คือเรื่องชมรมวรรณกรรมน่ะครับเกี่ยวข้องกับการอ่านหนังสือต่างๆ..”
“มันแค่…อ่านหนังสือเอง…หรอ?”
ชิกิยะซังเอียงหัวสงสัย เอ๊ะแค่นั้นยังไม่พอเหรอ?
“งั้น…ก็..ไม่มีกิจกรรม..ชมรมใช่ไหม?”
ร่างกายของชิกิยะซังค่อยๆโยกเยกไปมาขณะที่เธอเดินเข้ามาหาฉัน ผมไม่ถูกกับคนๆนี้จริง เธอทำให้ผมกลัว เธอเป็นซอมบี้อย่างงั้นเหรอ?
“บางเวลา พวกเราก็เขียนอะไรบางอย่างด้วยน่ะครับ!”
“เขียนหรอ?…งั้น..ก็ไม่ได้…อ่าน.อย่างเดียว?”
ชิกิยะซังมองขึ้นไปบนเพดานสักพัก หลังจากนั้นเธอก็เขียนอะไรบางอย่างลงไปในสมุดบันทึก โดยที่ยังไม่ได้มองไปที่มัน
“เข้าใจแล้ว…ขอบใจ”
เธอปิดสมุด หันหลังกลับ แล้วเดินออกจากห้องไป
เธอทำให้ผมรู้สึกสยองจริงๆ
ผมหันกลับไป และโคมาริก็จิ้มหน้าจอโทรศัพท์ที่แบตหมดแล้วของเธอราวกับว่าเธอถูกมันควบคุม ทางด้านนี้ก็สยองไม่แพ้กัน
ผมหยิบสายชาร์จจากพื้นที่เต็มไปด้วยของมากมายก่อนจะยื่นให้โคมาริ
“อ่ะ นี่ผมให้ยืมน่ะ”
โคมาริ ขโมยสายชาร์จไปจากผม ผมสังเกตเธอขณะที่เธอกำลังเสียบสายชาร์จเข้ากับโทรศัพท์ของเธอด้วยมือที่สั่นเทา
ผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งน่ะ