ตอนที่ 349 คมในฝัก ลู่เฉิงเฟิง
ไม่ว่าอย่างไรจี้หยวนก็เป็นอาจารย์ของเจ้าภูเขาลู่ ศิษย์ผู้นี้ของตนเองในใจคิดอะไรอยู่ จะมากจะน้อยล้วนเดาได้แล้ว กอปรกับเรื่องบางเรื่องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ดังนั้นความจริงไม่ต้องทำเรื่องประเภทตามอยู่ไกลๆ โดยสิ้นเชิง ไปคอยยังสถานที่ซึ่งเหมาะสมก่อนก้าวหนึ่งเลยก็ได้
ถึงระดับขั้นของจี้หยวนในตอนนี้ เรื่องที่เกี่ยวพันกับตนเองไม่นับว่าน้อยพรรค์นี้ บางครั้งเขามีความคิดหนึ่ง คำนวณบางอย่างในใจได้ จากนั้นจะปรากฏชื่อสถานที่หนึ่ง และรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง
อำเภออวี้ชาง ตระกูลลู่แห่งหอเมฆาอยู่ที่นี่
หอเมฆาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ตำแหน่งในยุทธภพตกลงพันจั้ง แต่ชื่อเสียงของพี่น้องตระกูลลู่ที่ท้องถิ่นอำเภออวี้ชางกลับน่าจดจำขึ้นทุกวัน ขอเพียงเป็นคนอำเภออวี้ชาง ก็ไม่มีใครไม่มีรู้จักลู่เฉิงเฟิงและลู่เฉิงอวิ๋น
สองคนใช้กำลังกายตนเองค้ำยันพื้นฐานของหอเมฆาจนมั่นคง หลายปีมานี้คนในหอเมฆาจิตใจสงบนิ่งอีกครั้ง ไม่ว่าเรียนวิชายุทธ์หรือทำกิจการใดๆ ล้วนยืดหยัดตามหลักการ
แต่เมื่อเทียบกับลู่เฉิงอวิ๋นแล้ว ชื่อเสียงของลู่เฉิงเฟิงไม่ได้ขจรขจายออกไปสักเท่าไหร่ ยุทธภพต่างคิดว่าลู่เฉิงเฟิงตกต่ำไปนานแล้ว สูญเสียวรยุทธ์ ไร้ซึ่งลมปราณ
นอกโกดังหอเมฆาในวันนี้มีรถม้าสองคันจอดอยู่ คนสี่ห้าคนเข้าออกโกดังอย่างต่อเนื่อง ขนสุราดี ผ้าผืนงาม และข้าวของต่างๆ จำนวนหนึ่งขึ้นรถ ยิ่งมีอัญมณีขนาดใหญ่คุณภาพดีถูกขนขึ้นรถด้วย
“เอาล่ะ ใช้ได้แล้ว!”
หลังจากลู่เฉิงเฟิงนับจำนวนด้วยตนเองแล้ว คนข้างๆ ถึงหยุดทำงาน ลงกลอนประตูโกดังอีกครั้ง
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ลู่เฉิงเฟิงโบกมือครั้งหนึ่ง จากนั้นขึ้นรถพร้อมกับคนในตระกูล บังคับรถม้าค่อยๆ ออกเดินทาง
ทันทีที่ถึงนอกจวน ลู่เฉิงอวิ๋นที่รออยู่ตรงนั้นแล้วเห็นรถม้าออกมา พลันเร่งฝีเท้าตามไปเพื่อส่งห่อผ้าให้ลู่เฉิงเฟิง
“เสื้อผ้าที่สั่งคนไปปรับแก้ ถึงที่หมายแล้วต้องเปลี่ยนใส่ อย่าใส่เสื้อผ้าเก่าขาด จำไว้ว่าเจ้าไปทำอะไร”
“เสื้อผ้าเป็นเพียงของนอกกาย ล้วนเป็นคนในยุทธภพ เทียบกันที่วรยุทธ์ไม่ใช่เสื้อผ้า หากเพียงจำเสื้อผ้าได้แต่จำคนไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องฝึกวิชายุทธ์แล้ว ไปร้านเย็บปักถักร้อยดีกว่า”
“เจ้าบ้าไปแล้ว ฟังจากน้ำเสียงเจ้าเหมือนไปหาศัตรูอย่างไรอย่างนั้น ประมุขหอเมฆาในอดีตให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกที่สุด เหตุใดตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ ระวังหน่อยเถอะ! เจ้าเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าเมื่อไปเยี่ยมตระกูลโจว ส่วนงานชุมนุมใหญ่นั่น เพื่อหอเมฆาแล้ว เจ้าต้องทำให้คนตกตะลึง!”
ลู่เฉิงอวิ๋นทำเป็นส่งเสียงโมโหถึงพอจะทำให้ลู่เฉิงเฟิงฝืนพยักหน้าได้ จากนั้นปล่อยห่อผ้านั้นไป
“ท่านพี่รออยู่ที่บ้านก็พอ เรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นข้าจัดการเอง”
ลู่เฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นแล้วแค่นหัวเราะ
“ฮ่าๆ เก่งจริงเจ้ามีลูกให้ได้สักคนเป็นอย่างไร ไสหัวไปได้แล้ว!”
ลู่เฉิงเฟิงหน้าง้ำ ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับพี่ชาย เพียงสะบัดแส้ม้าบังคับรถจากไปอย่างช้าๆ
เดิมทีอำเภออวี้ชางไม่นับว่าคึกคักเท่าไหร่ กอปรกับตอนนี้เพิ่งฟ้าสางได้ไม่นาน มีคนเดินอยู่ในเมืองไม่มาก รถม้าจึงตรงไปนอกกำแพงเมืองได้โดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง
ลู่เฉิงเฟิงคุมบังเหียนบังคับรถม้าไปพลาง สองตาเปิดกึ่งหนึ่งปรับกำลังภายในไปพลาง ปราณแท้ที่โคจรภายในกายเต็มเปี่ยม ไม่หยุดฝึกวิชายุทธ์เลยแม้แต่ก้าวเดียว
ผลพุทราที่จี้หยวนมอบให้ตอนนั้นไม่ใช่ของธรรมดาจริงๆ หลายปีนี้พี่ใหญ่เขาลู่เฉิงอวิ๋นยุ่งกับกิจธุระของหอเมฆาทั้งวัน ไม่มีเวลาฝึกวิชายุทธ์สักเท่าไหร่ ทว่าวรยุทธ์กลับไม่เพียงไม่ด้อยลง ยังจะก้าวหน้าเป็นครั้งคราวด้วยซ้ำไป แม้แต่ตัวลู่เฉิงอวิ๋นเองก็ประหลาดใจมาก ทว่าเข้าใจได้รางๆ ว่าเกี่ยวข้องกับผลไม้อัศจรรย์ที่น้องชายตนเองมอบให้ในปีนั้น
วรยุทธ์ของลู่เฉิงเฟิงรุดหน้าต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เขาพึ่งพิงคือความพยายามของตนเอง อีกทั้งเชื่อมั่นว่าตนเองจะก้าวหน้า ปุ่มด้านเต็มมือคือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด วิชายุทธ์ของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าลู่เฉิงอวิ๋นแล้ว
ด้านหลังหอเมฆามีป่าแห่งหนึ่ง ในนั้นมีต้นไม้หลายสิบต้นถูกจู่โจมจนกลายเป็นซาก ตอไม้มากมายถูกถอนออกจากพื้นดิน นั่นล้วนเป็นร่องรองการฝึกวรยุทธ์อย่างหนักของลู่เฉิงเฟิง
ทุกคนในยุทธภพต่างกล่าวว่าหอเมฆาตกต่ำแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหลายปีนี้สองพี่น้องตระกูลลู่เข้มงวดกับตัวเองเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคและลบล้างคำหยามเกียรติ จุดรวมสายตาไกล จัดการหอเมฆาในทิศทางที่เหมาะสมห่างไกลจากสายตาผู้คน ขณะเดียวกันพัฒนาวรยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หอเมฆายิ่งปัจจัยไม่มั่นคงหลายอย่างตั้งแต่ต้นด้วย คนที่เหลือล้วนเป็นคนที่ภักดีไม่เปลี่ยนใจ ร่วมพาหอเมฆาก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ตอนนี้รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ลู่เฉิงเฟิงบังคับรถพร้อมกับฝึกวรยุทธ์ ดูแล้วเหมือนใกล้หลับ แต่ศิษย์หอเมฆาข้างๆ กลับไม่คิดจะช่วยเหลือเลยสักนิด ด้วยรู้ลึกๆ ว่าลู่เฉิงเฟิงไม่มีทางปล่อยให้รถเอียงกะเท่เร่
“พวกเจ้าบอกว่าครั้งนี้คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นั้นยอมแต่งให้อาจารย์รองของพวกเราแล้วหรือ”
“หึ นั่นเป็นโชคดีของพวกเขาตระกูลโจวแล้ว มีอะไรต้องไม่ยอมด้วย!”
“พูดยาก ครั้งก่อนผู้นำหอเมฆาไปด้วยตนเอง แม้ตระกูลโจวยังคงทำตามมารยาท ทว่าไม่ได้ตอบตกลงในทันที”
“พูดเช่นนั้นไม่ได้ ครั้งก่อนนางได้พบอาจารย์รองเมื่อไหร่…อีกอย่างอาจารย์รองก็อายุใกล้สี่สิบแล้ว คุณหนูตระกูลโจวเพิ่งอายุยี่สิบกว่าปีเอง…”
“เฮ้อ อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ถึงเวลาแล้วอาจารย์รองสร้างความตื่นตกใจในงานชุมนุมใหญ่อะไรนั่น นางจะยังมองไม่เห็นความดีของอาจารย์รองอีกหรือ”
บนรถม้าคันข้างหลัง ศิษย์หอเมฆาสามคนสนทนากันโดยไม่กลัวลู่เฉิงเฟิงได้ยิน ทุกคนรู้จักนิสัยของนายใหญ่รองตนเองดี ถึงได้ยินก็ไม่เป็นไร
ตระกูลโจวอยู่ไกลถึงจังหวัดตู้หมิง ระยะทางไม่นับว่าใกล้มาก ห่างกันหลายร้อยลี้ ทางนั้นมักช่วยดูแลอุตสาหกรรมหยกของหอเมฆาที่จังหวัดตู้หมิง นับว่าเป็นสหายเก่าของตระกูลลู่
ลู่เฉิงเฟิงลุ่มหลงในการฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งต้องช่วยพี่ชายคุ้มครองหอเมฆาจึงไม่คิดเรื่องความรัก ทว่าพี่ชายเป็นเหมือนบิดา เห็นลู่เฉิงเฟิงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ ลู่เฉิงอวิ๋นมีแต่ร้อนอกร้อนใจ คิดอยากให้ลู่เฉิงเฟิงแต่งงานมาโดยตลอด
ตอนนี้ลู่เฉิงเฟิงไปเข้าร่วมการชุมนุมยุทธภพที่จังหวัดตู้หมิงเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าไปดูตัวก็เป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน
รถม้าสองคันตามกันไป ผ่านอำเภอและจังหวัดต่างๆ ไปหลายวันแล้ว ร่นระยะทางสู่จังหวัดตู้หมิงลงเรื่อยๆ
วันนี้ท้องฟ้าครึ้มไม่เห็นแสงอาทิตย์ บนรถม้าที่ผ่านถนนขนาดเล็ก ลู่เฉิงเฟิงพลันลืมตาขึ้น มองเห็นบุรุษในเสื้อสีเขียวนั่งอยู่บนก้อนหินข้างทาง
แม้ลู่เฉิงเฟิงดูเหมือนงีบหลับ แต่ความจริงแล้วรับรู้ความเคลื่อนไหวรอบข้างว่องไวเป็นอย่างยิ่ง เขามองเห็นที่ไกลตั้งแต่หลายลมหายใจก่อน ชัดเจนว่าไม่มีใครตรงนั้น ทว่าพริบตาเดียวกลับมีคนนั่งพักผ่อนโผล่ออกมา แปลกเกินไปแล้วจริงๆ
รถม้าสองคันเคลื่อนตัวค่อนข้างช้า ลู่เฉิงเฟิงยังคงมีท่าทางเหมือนเมื่อครู่นี้ แต่ความจริงแล้วตั้งสติเต็มที่ จ้องมองบุรุษข้างทางตลอดเวลา
ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมองเห็นลายเมฆสีขาวตรงแขนเสื้อสีเขียวของอีกฝ่าย จากนั้นมองปิ่นสีขาวทำมุมโค้งซึ่งประดับอยู่บนศีรษะ
ในที่สุดรถม้าก็ผ่านคนผู้นั้นไป ลู่เฉิงเฟิงดูคล้ายกับไม่มีความเคลื่อนไหว กระนั้นหางตาจ้องมองคนผู้นั้นไม่วางตา อีกฝ่ายนั่งอยู่บนก้อนหินอย่างสง่างาม มองลู่เฉิงเฟิงที่อยู่บนรถม้า
เพียงมองครั้งเดียวก็ทำให้ลู่เฉิงเฟิงเกิดความรู้สึกตกอยู่ในวิกฤติเล็กๆ แล้ว ความรู้สึกนี้มาอย่างน่าประหลาด ไม่ต่างกับความรู้สึกเวลาเดินอยู่ริมผา แต่เมื่อตั้งใจมองคนผู้นั้นอีกครั้ง กลับไม่มีความรู้สึกพรรค์นั้นแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างเมื่อครู่นี้เป็นเขาที่คิดไปเอง
ลู่เฉิงเฟิงลืมตาแล้วมุ่นคิ้ว เมื่อครู่คิดไปเองจริงหรือ
ขณะกำลังพิจารณา เขาพลันได้ยินเสียงแหวกอากาศดังมา
สวบ…
ลู่เฉิงเฟิงยื่นมือคว้าลูกดอกที่พุ่งมาเอาไว้ พร้อมกันนั้นผลักคนข้างกายออก ก่อนจะพลิกกายใช้กำลังภายในหลบไปด้านข้าง
ปักๆ…
นอกจากลูกดอกในมือลู่เฉิงเฟิงแล้ว มีลูกดอกอีกสองดอกเพิ่งปักโดนเขาและคนอื่นๆ บนรถ
แม้บอกว่าเป็นลูกดอก แต่ความจริงเป็นเพียงแท่งเหล็กธรรมดาสามแท่ง
“ใครกัน”
หลังจากตวาดออกไปเสียงหนึ่ง ลู่เฉิงเฟิงหรี่ตาลง เท้าย่ำลงกับพื้นพุ่งไปยังต้นไม้ด้านบน โคจรพลังฝ่ามือแล้วฟาดที่ลำต้นไม้อย่างแรง
“ฮ่า…”
ปัก…
ขี้เลื่อยถูกโยนลงมาจากด้านหลังต้นไม้ อีกคนหนึ่งลอยหวือออกไป ต้นไม้ทั้งต้นยังคงสั่นไหว ใบไม้ร่วงลงมาทีละใบ
ลู่เฉิงเฟิงจู่โจมแล้วไม่หยุดท่าร่างทว่าตามต่อไป เข้าไปในป่ากลับไม่เห็นคนที่ตกลงจากต้นไม้เมื่อครู่ ราวกับหายไปกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น
“ลู่เฉิงเฟิง ยอบรับชะตากรรมเสีย!”
เสียงคลุมเครือสายหนึ่งดังมาจากข้างบน มีคนถือดาบแหวกอากาศตกลงมา ตอนที่ลู่เฉิงเฟิงตอบสนองกลับมา คมดาบมาถึงตรงหน้าแล้ว ไม่ส่งเสียงดังเลยแม้สักนิด
แก๊ง…
ตึง…
ฝ่ามือแรกปะทะข้างดาบ สัมผัสที่ได้รับเย็นเฉียบเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ามือที่สองแทบประทับหน้าอกผู้มาเยือนในเวลาเดียวกัน แลกฝ่ามือกับอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง
อีกฝ่ายตัวเบาอย่างกับนกนางแอ่น จบจากฝ่ามือนี้แล้วเหาะออกไปไกลหนึ่งจั้งก่อนร่อนลงเบาๆ เงาร่างเลือนรางย้ายมาถึงตรงหน้าลู่เฉิงเฟิงอีกครั้ง ฝ่ามือเหมือนดาบจู่โจมมาอย่างต่อเนื่อง
ปักๆๆ…
ตึง…
สองคนประมือกันต่อเนื่อง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ออกกระบวนท่าแล้วยี่สิบกว่า ความเร็วของพวกเขานั้นคนนอกมองแล้วแทบพร่าเลือน
หลังจากยี่สิบกว่ากระบวนท่าและแลกฝ่ามือกันอีกครั้ง ผู้มาเยือนเหาะห่างออกไปสิบกว่าก้าว ยืนมองลู่เฉิงเฟิงอยู่ข้างๆ ฝ่ายหลังสังเกตอีกฝ่ายอย่างตั้งใจในที่สุด
สองคนหน้าตาธรรมดา รูปร่างธรรมดา ทว่าดวงตากลับดุร้าย
ลู่เฉิงเฟิงก้มหน้ามองสองฝ่ามือตนเอง ชั้นน้ำแข็งสีขาวก่อตัวกันแล้ว ต้องใช้กำลังภายในอยู่หลายรอบถึงละลายมันไปได้
“ท่านใช้วรยุทธ์นอกรีตใด มีความแค้นอะไรกับข้า”
ชายผู้นั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นแสยะยิ้มให้ลู่เฉิงเฟิง
“เจ้าหนุ่ม วรยุทธ์เจ้าไม่เลวเลย”
“ไม่เท่าไหร่ๆ!”
ลู่เฉิงเฟิงหรี่ตา ตอบกลับเสียงทุ้ม เขาชำเลืองมองรถม้า ทางนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ท่าทางผู้จู่โจมมีเพียงคนเดียวจริงๆ
ทว่าสายตาชำเลืองไปทางนั้นแล้ว บุรุษตรงหน้ากลับเริ่มเลือนราง จากนั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วหายไปหลังต้นไม้ไม่เห็น ลู่เฉิงเฟิงตามไปกลับไม่พบอะไรแล้ว เสาะหากลางป่าอยู่นานก็ไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด
น่าจนใจนัก สุดท้ายก็ทำได้เพียงช่างมัน เขาขึ้นรถออกเดินทางอีกครั้ง แต่กลับเพิ่มระดับความสำคัญให้กับงานชุมนุมยุทธภพครั้งนี้มากขึ้น
อีกด้านหนึ่ง ตำแหน่งที่เจ้าภูเขาลู่นั่งอยู่มีไอหมอกรางๆ ปรากฏ บุรุษผู้นั้นเมื่อครู่นี้โผล่มาที่นี่ ประสานมือคารวะเจ้าภูเขาลู่
“เจ้าภูเขา ลู่เฉิงเฟิงผู้นั้นวรยุทธ์ไม่เลว ไม่มีทางใช่คนพิการตามที่ได้ยินมา”
“อืม เป็นเช่นนั้นดีแล้ว”
เจ้าภูเขาลู่ตอบรับเสียงหนึ่ง มองชายผู้นี้ก่อนกล่าว
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าปล่อยผีตนอื่นไป ทว่าไม่ปล่อยผีซางเจ้าเพียงลำพัง”
“เจ้าภูเขาลู่ย่อมมีเหตุผล”
เขาไม่กล้าบันดาลโทสะใส่คนตรงหน้าอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆ เจ้าอย่าเกลียดแค้นไป เจ้าตายที่อื่นก็ควรอถูกส่งไปที่คุกศาลมืด ลู่เฉิงเฟิงเมื่อครู่นี้เจ้าคิดลงมือให้ถึงตายอยู่หลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้มีวรยุทธ์ติดกาย ได้รับปราณหยางคุ้มครอง เจ้าก็คงลงมือไปแล้ว”
เจ้าภูเขาลู่หรี่ตา
“ข้าทั้งทดสอบเขา และทดสอบเจ้าด้วยเช่นกัน เขาไม่เลว แต่เจ้ากลับใช้ไม่ได้ อยู่กับข้าอย่างว่าง่ายเถอะ”
พูดจบแล้วเจ้าภูเขาลู่ก็อ้าปากกลืนผีซางลงไป