ตอนที่ 350 ข้าก็คู่ควรหรือ
จังหวัดตู้หมิงเป็นเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งของรัฐจี ตั้งแต่มาอยู่ดินแดนของจู่เยวี่ย จี้หยวนสะเทือนใจเล็กๆ เมื่อเห็นเมืองที่ทรงพลังและมั่นคงอย่างต้าเจิน
ความจริงแล้วสำหรับสายตาของคนคนหนึ่ง ต้าเจินมีปัญหากองใหญ่เช่นกัน แต่บนโลกนี้ไม่มีที่ใดสมบูรณ์แบบโดยสิ้นเชิง ต้าเจินโดดเด่นมากกว่าพื้นที่ข้างเคียงมากแล้ว
ขณะเดินอยู่บนถนนของจังหวัดตู้หมิง จี้หยวนเหมือนกับนักท่องเที่ยวทั่วไป เพียงเดินไปมาอยู่ในเมือง สุดท้ายเลือกมุมหนึ่งที่เหมาะสม ถือโอกาสตอนที่ไม่มีคนสังเกตเห็น ควักโต๊ะและเก้าอี้ทรงกลมสองตัวออกมาจากแขนเสื้อแล้วนั่งลงตรงนั้น
ต่างจากเจ้าภูเขาลู่ที่ทดสอบลู่เฉิงเฟิงระหว่างเดินทางในตอนนี้ จี้หยวนก็มีแผนการของตนเองเช่นกัน
ยุทธภพทั้งรัฐจีมีสองแห่งที่รวมกลุ่มจอมยุทธ์ไว้มากที่สุด หนึ่งคือจังหวัดติ้งหยวน สองคือจังหวัดตู้หมิง แม้จังหวัดตู้หมิงมีสำนักเขาแสงคล้อย แต่เทียบกันแล้วทั้งยุทธภพมิสู้สองแห่งนี้ จังหวัดตู้หมิงยิ่งยอดเยี่ยมกว่า
งานชุมนุมยุทธภพที่จัดขึ้นครั้งนี้ ความจริงแล้วไม่ใช่งานชุมนุมเล็กๆ ทั่วไป และเป็นงานชุมนุมยุทธภพประจำรัฐจี แม้แต่เจ้าสำนักและเจ้าสำนักสามของสำนักเขาแสงคล้อยก็จะมาเยือน ด้วยตั้งใจเพิ่ใตำแหน่งในยุทธภพของรัฐจี สถานะของการชุมนุมใหญ่จึงเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับ จอมยุทธ์รอบรัฐมาเข้าร่วมด้วยไม่น้อย กฎระเบียบย่อมไม่น้อยเช่นกัน แม้แต่ศาลาว่าการจังหวัดตู้หมิงก็ตื่นตัวแล้ว
จี้หยวนพลันจัดวางโต๊ะที่มุมนี้ แน่นอนไม่ใช่เพื่อตากแดด หนึ่งเพื่อขายงานฝีมือหาเงิน สองเพื่อรอใครบางคน
บนโต๊ะไม่อาจมีทุกสิ่งทุกอย่าง กระนั้นจี้หยวนนำพู่กัน แท่นฝนหมึก กระดาษ และสี่สิ่งสำคัญในห้องหนังสือออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากวางพู่กันไว้บนแท่นแล้วก็เริ่มฝนหมึกด้วยตนเอง
วันนี้ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่เป็นเพราะยังเช้าตรู่ จี้หยวนรู้ว่าผ่านไปอีกไม่นานแสงอาทิตย์จะส่องผ่านเมฆดำ ถึงตอนนั้นแล้วย่อมมีอากาศดี
ระหว่างจี้หยวนกำลังฝนหมึก แสงจากท้องฟ้าทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชั้นเมฆเหนือศีรษะเริ่มมีเค้าลางกระจายตัว คนเดินถนนข้างๆ เพิ่มมากขึ้นแล้วเช่นกัน
มุมถนนตรงนี้เป็นสถานที่ที่พ่อค้าตัวเล็กๆ ชื่นชอบอย่างชัดเจน ไม่นานเท่าไหร่ก็มีคนขายของขายผักหาบแร่มาจัดร้านปูเสื่อแล้ว อีกทั้งมีคนมองจี้หยวนเป็นครั้งคราว
ที่แปลกมากก็คือเมื่อแสงอาทิตย์กลุ่มแรกของวันทะลุผ่านการบดบังของชั้นเมฆ อันดับแรกส่องลงบนโต๊ะของจี้หยวน ทำให้มีความรู้สึกว่าตรงนี้ส่องสว่างเป็นพิเศษ
แต่คนที่มองเห็นฉากนี้มีแต่พ่อค้ารอบข้างจำนวนหนึ่ง และหลังจากนั้นอย่างมากสิบกว่าลมหายใจ แสงอาทิตย์ที่ยิ่งมายิ่งมากขึ้นส่องลงมา อากาศแจ่มใสขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“คุณชาย ท่านกำลังจะทำอะไรหรือ”
ในที่สุดก็มีชาวบ้านขายของถามด้วยความสงสัยในที่สุด
จี้หยวนมองเขา อีกฝ่ายผิวคล้ำมีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า มองดูชราอย่างชัดเจน แต่ความจริงอาจอายุไม่เกินสามหรือสี่สิบปี
“ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เจ้าทำหรอก ข้าก็เพียงขายพู่กันกับหมึกเท่านั้น”
“อ๋อ”
ชายหนุ่มพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว ขายตัวอักษรกระมัง ไม่ว่าจะปีไหนบัณฑิตยากจนเช่นนี้มีเยอะที่สุด แม้ในฤดูกาลนี้มีให้เห็นน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย
จี้หยวนมองกลุ่มคนที่มากขึ้นโดยรอบ คิดแล้วก็หยิบพู่กันขนหมาป่ามา จุ่มน้ำหมึกแล้วเขียนตัวอักษรสองสามตนลงบนกระดาษสีขาวสองแผ่น
เขียนจดหมายถึงครอบครัวแทน ขายอักษรและขอทำนายชะตา
กระดาษสองแผ่นวางอยู่ที่มุมโต๊ะ แม้มองดูไม่เตะตาเท่าไหร่ แต่ตัวอักษรกลับงดงามยิ่งนัก
หลังจากเขียนตัวอักษรเสร็จ จี้หยวนวางเก้าอี้สองตัวข้างใต้โต๊ะไว้ฝั่งตรงข้าม ใช้สำหรับเป็นที่นั่งของลูกค้า
น่าเสียดายที่แม้รูปลักษณ์จี้หยวนไม่เลว แต่จากการจัดวางบนโต๊ะและเสื้อผ้าของเขาไม่เหมือนผู้ทำนายชะตาโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ไม่มีการตั้งป้าย วางกระดาษสองแผ่นไว้ง่ายๆ ไม่เพียงพออย่างชัดเจน ดังนั้นคนเดินไปมาไม่น้อย ทว่าคนที่นั่งลงกลับไม่มาก
กระนั้นจี้หยวนไม่ได้ทำมาหากินจริงๆ เขาทำไปเพื่อคนคนหนึ่ง เมื่อมีคนสามคนเดินจากที่ไกลมาที่นี่ จี้หยวนถึงลืมตาขึ้น
ถึงสามคนเดินผ่านข้างโต๊ะไป แต่สายตาของผู้นำกลุ่มชำเลืองมองกระดาษขาวบนโต๊ะแล้ว จี้หยวนรู้ว่าพวกเขาจะกลับมา
เป็นไปตามคาด สามคนเดินไปได้เจ็ดแปดก้าวแล้วหยุดฝีเท้า จากนั้นย้อนกลับมา
พวกเขาแต่งกายค่อนข้างหรูหรา บนกวานที่เรือนผมของผู้นำกลุ่มประดับไว้ด้วยหยกขาว รูปร่างสูงใหญ่และออกไปทางท้วม เมื่อพาสองคนข้างหลังเดินมาถึงหน้าโต๊ะแล้ว เขามองตัวอักษรก่อนมองจี้หยวนด้วยรอยยิ้ม
“ตัวอักษรไม่เลว คุณชายทำนายดวงชะตาเป็นด้วยหรือ”
บุรุษผู้พูดอายุประมาณสี่หรือห้าสิบปี แม้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย แต่บนข้อนิ้วมีปุ่มด้าน สีผิวตรงขากรรไกรค่อนข้างเข้ม ด้วยระดับความรู้วิชายุทธ์ของจี้หยวน ย่อมรู้ว่านี่เป็นผลจากการใช้อาวุธมานานปี อย่างไรเสียคนแบบนี้ก็ไม่น่าเหวี่ยงจอบทำงานเกษตร
ได้ยินอีกฝ่ายถามความ จี้หยวนมองพวกเขาแล้วยิ้ม
“พอเป็นอยู่บ้าง ทุกท่านอยากซื้อตัวอักษรหรือทำนายดวงชะตาเล่า”
ตอนนี้จี้หยวนตั้งใจใช้วิชาพรางตากับดวงตา ดังนั้นถึงสบตากันแบบนี้ก็ไม่มีทางเผยดวงตาสีเทาให้เห็น ทว่าแววตานิ่งเฉยนั่งยังคงแก้ไขไม่ได้
ชายผู้นำกลุ่มมุ่นคิ้วพิจารณาจี้หยวน
“คุณชาย ท่านกับข้าเคยพบกันที่ไหน เหตุใดคุณชายหน้าคุ้นเช่นนี้”
‘หลันหนิงเค่อ แน่นอนว่าพวกเราเคยพบกัน’
จี้หยวนที่คิดในใจเช่นนั้นหรี่ตาทำเป็นครุ่นคิด จากนั้นส่ายหน้า
“จำไม่ได้ อาจเคยพบกันจริงกระมัง ทุกท่านอยากซื้อตัวอักษรหรือทำนายชะตา”
จี้หยวนถามอีกรอบหนึ่ง
“ตกลง ข้าไม่อยากทำนายชะตา ท่านเขียนตัวอักษรให้ข้าสองคำ ต้องเขียนตัวใหญ่มาก และข้าพูดให้ท่านเขียน”
จี้หยวนพยักหน้า หยิบม้วนกระดาษมาจากข้างๆ จากนั้นหยิบพู่กันแต้มหมึกแล้วเตรียมเขียนคำ
“เชิญพูด”
“ท่านเขียนว่า ปล่อยปราณเป็นจอมยุทธ์ มังกรในหมู่คน”
จี้หยวนตวัดพู่กันเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่รวดเดียว บนนั้นลงนามไว้ว่าท่านหยวน ไม่ใช่ท่านจี้เหมือนปกติ
“ไม่เลวๆ ตัวอักษรนี้ของคุณชายงดงามมาก เท่าไหร่หรือ”
จี้หยวนคิดก่อนตอบ
“เก้าตำลึงเงิน”
คนข้างๆ ฟังแล้วอึ้งงันทันที
“เก้าตำลึง? มิสู้เจ้ามาแย่งเอาเป็นอย่างไร! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นนักเขียนมีชื่อรึ!”
จี้หยวนส่ายหน้าพลางอธิบาย
“พูดเช่นนั้นไม่ได้ นักเขียนมีชื่อก็อาจมีคุณค่าไม่เท่าตัวอักษรของข้า และซื้อตัวอักษรของข้าไปแล้ว ข้าขอบอกท่านเลยว่าอาจจะรอดพ้นเคราะห์ใหญ่ไปก็เป็นได้!”
บุรุษที่ขอให้เขียนตัวอักษรก่อนหน้านี้แค่นหัวเราะ ตัวอักษรของผู้ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามผู้นี้งดงามมากจริงๆ แต่เก้าตำลึงไม่ต่างอะไรกับการง้างปากสิงโต ไปขอนักเขียนชื่อดังของจังหวัดชุนฮุ่ยเขียนให้ก็แค่ไม่กี่สิบตำลึง ส่วนเคราะห์ใหญ่ที่ว่า แน่นอนว่าเป็นเพียงลมปาก
“พวกเราไป”
เขาเก็บม้วนอักษร พูดแล้วก็จากไปทันที
“นี่ทุกท่าน กระดาษชั้นดีนี้ เงินร้อยเหวินถึงซื้อได้สักฉื่อหนึ่งนะ”
จี้หยวนลุกขึ้นร้องเรียก ท่ามกลางสามคนข้างหน้ามีเพียงคนเดียวที่หันกลับมามองจี้หยวน สายตานั้นดุดันเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังคงหยิบเศษเงินสองก้อนจากกระเป๋าเงินออกมาโยนลงบนโต๊ะ จากนั้นจากไปพร้อมกับสหายโดยไม่หันกลับมาอีก
“เยี่ยม ขาดทุนแล้ว…”
จี้หยวนถอนใจแล้วนั่งลงที่เดิม
ชายเจ้าของร้านที่พูดก่อนหน้านี้ส่งเสียงจิ๊ๆ
“ข้าว่านะคุณชาย คนพวกนั้นดูดุร้ายอยู่เหมือนกัน ท่านกล้าฟันราคาขนาดนี้ได้อย่างไร เก้าตำลึงเงินเพียงพอให้พวกข้าใช้กินข้าวได้หนึ่งหรือสองปีเชียวนะ เศษเงินสองก้อนบนโต๊ะคาดว่ามีมูลค่าสองร้อยเหวินแล้ว ท่านเขียนตัวอักษรสองสามตัว ถือว่าได้กำไรแล้วนะ”
จี้หยวนหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง คำพูดประชดประชันแบบนี้แสดงออกว่ามองแต่ตัวเงิน แต่ไม่ได้มองต้นทุนของคนอื่น
“พี่ชายท่านนี้ นี่คือไม้จากรัฐจิน ส่วนนี่คือกระดาษจันทน์สามชั้นที่ผ่านกระบวนการผลิตหลายสิบขั้นตอน มีขายแค่ในเมืองหลวงเท่านั้น ต้นทุนของหนึ่งฉื่อเท่ากับหนึ่งร้อยเหวินแล้ว อีกทั้งนี่เป็นราคาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่เขานำไปนั้นสามฉื่อเต็มๆ แถมยังนำกรอบไปด้วย ข้าไม่ได้คิดค่าตัวอักษรก็ขาดทุนแล้ว”
นี่เป็นเพราะว่าจี้หยวนมาจากจวนฉู่ในเมืองหลวง และด้วยมิตรภาพที่อยู่ที่นั่น เขาจึงออกบัญชาแผ่นหนึ่งเป็นการตอบแทน
คนข้างๆ ได้ฟังแล้วตกใจมาก
“กระดาษแผ่นเดียวแพงขนาดนี้เลยหรือ ไอ้หยา คุณชายท่านนี้ขาดทุนตายแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
จี้หยวนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นเริ่มเก็บข้าวของบนโต๊ะ
“คุณชายจะไปแล้วหรือ”
เจ้าของร้านข้างๆ ถามด้วยความสงสัย
“เพิ่งขายได้ก็จะไปแล้วหรือ”
“ไม่อยู่แล้ว ยิ่งขายได้หลายแผ่นข้าก็ยิ่งขาดทุน”
บุรุษที่อยู่ข้างๆ ดีใจที่เห็นผู้อื่นโชคร้ายอยู่บ้าง เขาลอบยิ้มพลางเก็บของบนแผงของตนเอง ขณะคิดพูดอีก เงยหน้าขึ้นกลับพบว่าจี้หยวนหายไปแล้ว
ไม่ใช่แค่คนหายไป แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้เหล่านั้นก็หายไปด้วย
เขาลุกขึ้นมองไปทั้งหัวถนนและท้ายถนนล้วนไม่เห็นเงาคน ไม่เพียงไม่เห็นเงาร่างของจี้หยวน สามคนที่จากไปก่อนหน้านี้รีบร้อนกลับมาแล้ว ท่าทางดุร้ายเอาเรื่อง ชายเจ้าของแผงจึงรีบนั่งลงทำเป็นว่ามองไม่เห็นอะไร
บุรุษสามคนกลับมายังตำแหน่งที่จี้หยวนตั้งโต๊ะเมื่อครู่นี้ มองซ้ายมองขวากลับไม่เห็นใคร
“ท่านสาม คนขายตัวอักษรหายไปแล้ว!”
“แปลก เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้เลย”
ชายผู้นำกลุ่มมุ่นคิ้วมองไปรอบๆ ก่อนจะมองไปยังชาวนาที่ขายของอยู่ด้านข้าง
“นี่ คนที่อยู่ข้างๆ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปที่ไหนแล้ว”
“มะ ไม่ได้สังเกต เมื่อครู่ข้ายังอยากคุยกับคุณชายอยู่เลย แค่เหม่อครู่เดียวคนก็หายไปแล้ว อย่างกับมีเวทมนตร์แน่ะ!”
ชาวนาพูดตามจริง
สามคนนั้นมองทางซ้ายและขวา คนตรงกลางยิ่งกางม้วนอักษรก่อนหน้านี้ออกดู ตัวอักษรดั้งเดิมบนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ปล่อยปราณเป็นจอมยุทธ์ เป็นเพียงความคิด มังกรในหมู่คน ข้าก็คู่ควร
ตัวอักษรยังคงเป็นตัวอักษรดี แต่เพิ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ ความหมายนี้ทำให้ยากจะยอมรับได้ มิน่าเล่าทั้งสามคนถึงได้รีบกลับมาด้วยความโมโหเป็นอย่างยิ่ง
ชาวนาไม่รู้หนังสือ แต่ก็มองออกว่าตัวอักษรนี้มากเป็นพิเศษ เดิมทีควรได้กำไร แต่ดูจากท่าทางโกรธเกรี้ยวของคนเหล่านี้แล้ว คาดว่าสิ่งที่เขียนคงไม่ใช่คำพูดดีๆ สักเท่าไหร่
ผู้มาเยือนค้นหาอยู่รอบหนึ่งแล้วไม่พบคนที่ต้องการเจอ สุดท้ายกระฟัดกระเฟียดเดินจากไป
ชาวนาที่ตั้งแผงข้างๆ ลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง กลับพบว่ามีความอัศจรรย์บางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น