ตอนที่ 351
คนอย่างจี้หยวนนับว่ามีความยุติธรรมระดับหนึ่ง
เก้าจอมยุทธ์น้อยเมื่อปีนั้น เขาเคยเจอตู้เหิง ลู่เฉิงเฟิง เยี่ยนเฟย ทั้งเคยเจอลั่วหนิงซวง หลันหนิงเค่อก็เป็นหนึ่งในเก้าจอมยุทธ์น้อยด้วย ไปเจอก่อนถือเป็นเรื่องสมควร
จี้หยวนจึงสร้างสถานการณ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ ไปเจอหลันหนิงเค่อล่วงหน้า อย่างน้อยก็มีความสัมพันธ์เมื่อปีนั้นอยู่ หากการเจอครั้งนี้ทำให้จี้หยวนถูกชะตากับเขา ไม่แน่ว่าอาจทำอะไรบ้าง เขาไม่มีทางสอดมือสั่งเจ้าภูเขาลู่ว่าควรทำอะไร แต่สำหรับหลันหนิงเค่ออาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว
เอาเถอะ ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ จี้หยวนเจอหลันหนิงเค่อแล้ว ทั้งยังรังเกียจเขามาก ต้องดูวาสนาของคนผู้นี้แล้ว
ขณะเดียวกันหลังจากจี้หยวนจากไป หลันหนิงเค่อพาผู้ติดตามจากไปอย่างอัดอั้นอยู่บ้าง
เดิมได้รับอักษรดีแผ่นหนึ่ง อารมณ์ถือว่าพอใช้ได้ ตอนนี้ผลคือระหว่างตัวอักษรมีวาจาเหน็บแนมเพิ่มมาสองประโยค เขาทำท่ารังเกียจเหมือนกินแมลงวันตัวหนึ่งเข้าไป
สิ่งสำคัญคือตัวอักษรนี้งามจริงๆ ตอนนี้หากทิ้งไป เขายังอาวรณ์อยู่บ้าง ผลดีมีหยิบมือ
“ท่านหลัน ความจริงพวกเราแยกส่วนอักษรนี้ได้ ท่านลองดูบรรทัดนี้ แม้แยกออกมาแล้วช่องว่างกระดาษเล็กลงบ้าง แต่ความหมายแฝงกลับดี”
คนด้านข้างคลายหน้ากระดาษ ใช้มือทาบลองแบ่งสัดส่วน ลากเส้นกลางอากาศ
“อืม ทำตามนั้นแล้วกัน”
หลันหนิงเค่อกล่าวอย่างเย็นชา สายตายังกวาดมองรอบทิศ คนด้านข้างกล่าวอย่างเคียดแค้น
“หากข้าเจอบัณฑิตนั่นอีก ต้องหักเอ็นกระดูกเขาสักหน่อย!”
“ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่จังหวัดตู้หมิง แต่เปลี่ยนเป็นอยู่จังหวัดติ้งหยวน…”
“แต่ตัวอักษรนี้พวกเราเห็นคนผู้นั้นเขียนกับตา เหตุใดถึงมีตัวอักษรเพิ่มมาเล่า”
พวกเขาสงสัยไม่เข้าใจ รู้สึกแปลกอยู่บ้าง วันนี้หมดความสนใจเดินเล่นในเมืองชั่วคราว เตรียมตัวกลับโรงเตี๊ยมแล้ว
บนถนนรถม้าสองคันเพิ่งขับเคลื่อนเข้ามาจากประตูเมือง ด้วยหลบเลี่ยงคนสัญจรจึงมุ่งหน้าไปในเมืองอย่างเชื่องช้า ผู้คุมบังเหียนรถคันหน้าสุดคือลู่เฉิงเฟิง
เขาซึ่งเดิมดูเหมือนไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นพวกเขาสามคนเดินอยู่ข้างทางแล้วคึกคักขึ้นมา
คล้ายรู้สึกถึงสายตาเด่นชัด หลันหนิงเค่อหันหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง เห็นรถม้าสองคันขับเคลื่อนมา รวมถึงผู้คุมรถม้าคนหนึ่ง
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คุมบังเหียนนั่นเป็นใคร รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง”
หลันหนิงเค่อถามสองคนที่อยู่ด้านข้าง ทั้งสองคนมองแล้วส่ายหัว
“ไม่เคยเจอขอรับ”
หลันหนิงเค่อขมวดคิ้วกล่าวพึมพำ
“วันนี้แปลกจริง”
ไม่เจอลู่เฉิงเฟิงมาหลายปี หลันหนิงเค่อแทบลืมลักษณะของลู่เฉิงเฟิงหมดแล้ว
แต่เห็นชัดว่าลู่เฉิงเฟิงบนรถม้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาหรี่ตาทอดมองชายร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์สวมชุดหรูคนนั้น เมื่อรถม้าเข้าไปใกล้ เขากระชับบังเหียนบังคับรถม้าให้หยุด
หลันหนิงเค่อหยุดเท้าเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายสบตากันในระยะห่างหนึ่งจั้งครู่หนึ่ง
ลู่เฉิงเฟิงกล่าวเสียงเบาอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง
“หลันหนิงเค่อ ไม่เจอกันหลายปี สบายดีหรือไม่”
หลันหนิงเค่อตกตะลึง คนผู้นี้ไม่เพียงคุ้นหน้า แต่ยังรู้จักตนด้วย
“ท่านเป็นใคร”
ลู่เฉิงเฟิงอึ้งงันเล็กน้อย เขานึกภาพหลายสถานการณ์ สิ่งเดียวที่คิดไม่ถึงคือหลันหนิงเค่อถึงขั้นไม่รู้จักตนแล้ว
เขาพลันนึกถึงตนยามถือสุราไปเรือนสันติเพื่อเยี่ยมท่านจี้เมื่อปีนั้น ตอนนั้นเขาเคยทอดถอนใจกับจี้หยวนว่าตนเกือบลืมชื่อพวกพ้องหมดแล้ว แต่ความจริงเมื่อเห็นหลันหนิงเค่อ ความทรงจำทุกอย่างผุดขึ้นในใจ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้จักตนแล้ว
“หึๆ หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ…”
ลู่เฉิงเฟิงพลันหัวเราะเหมือนคนบ้า ทำให้หลันหนิงเค่อกับผู้ติดตามไม่พอใจสุดขีด คนด้านข้างกล่าวเสียงกรุ่นโกรธ
“เจ้าหัวเราะอะไร”
“ไม่มีอะไรๆๆ ข้าไม่ได้หัวเราะพวกเจ้า แต่เป็นตัวข้าเอง ฮ่าๆๆๆ… รู้ว่าตนไม่ได้เหลือทนขนาดนั้น ถือเป็นเรื่องควรค่าแก่การยินดี”
ลู่เฉิงเฟิงหยุดหัวเราะ กุมหมัดประสานมือไปทางหลันหนิงเค่อ
“ข้าน้อยลู่เฉิงเฟิง คารวะจอมยุทธ์หลัน งานชุมนุมยุทธภพครั้งนี้ หากมีโอกาสค่อยขอชมวิชาจากจอมยุทธ์”
ลู่เฉิงเฟิงพูดจบแล้วไม่กล่าวมากความอีก
หลันหนิงเค่อขมวดคิ้วมองรถม้าห่างออกไปตรงจุดเดิม ความคิดหมุนวนครู่หนึ่งก่อนเข้าใจกระจ่างทันที
“เป็นเขา?”
“ท่านหลัน ท่านรู้จักลู่เฉิงเฟิงคนนี้หรือ”
หลันหนิงเค่อพยักหน้ากล่าวกับคนด้านข้าง
“คนผู้นี้มาจากหอเมฆาแห่งรัฐจี ตอนนั้นหอเมฆายังมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ตอนหนุ่มข้าเคยออกเดินทางร่วมกับเขา เพียงแต่นานเข้ากลับจำไม่ได้ทันที”
หลันหนิงเค่อยังอยากกล่าวอีกสองสามประโยค แต่พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาหันมองไปด้านข้าง ตรงประตูเมืองซึ่งรถม้าเคลื่อนมาเมื่อครู่ สิ่งที่เห็นมีแค่ฝูงชนสัญจรไปมา ทำเอาเขารู้สึกหวาดหวั่นชั่วพริบตา
เกิดเรื่องแปลกอย่างต่อเนื่อง หลันหนิงเค่อไม่มีอารมณ์เดินเล่นแล้ว เขาพาคนกลับโรงเตี๊ยมไปทั้งอย่างนั้น
ไม่นานเวลาล่วงเลยถึงพลบค่ำ ความคึกคักตอนกลางวันเริ่มซาลง ร้านปิดประชาชนกลับบ้าน หลันหนิงเค่อซึ่งพักผ่อนในโรงเตี๊ยมมานานจำต้องเตรียมตัวออกมาข้างนอกอีกครั้ง
ต่อให้วันนี้กลับมาแล้วไม่เป็นสุขอยู่บ้าง ไม่อยากออกข้างนอกนัก แต่มื้อเย็นเขานัดคนไว้เมื่อเช้า อีกฝ่ายถือเป็นคนรู้จักทั้งเป็นผู้เจนจัดบนยุทธภพ ไม่ควรผิดนัด
ก๊อกๆๆ…
“ท่านหลัน พวกเราควรไปหอเมตตาแล้วขอรับ”
นอกประตูห้องมีผู้ติดตามมาเคาะประตูเตือน หลันหนิงเค่อกล่าวตอบรับ
“รู้แล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งทั้งสามคนเดินลงมา ก้าวออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปหอเมตตา
ตอนนี้ตะวันคล้อยลับเขาตะวันตกแล้ว แม้ว่าบนถนนยังไม่มืด แต่สีสันโดยรอบกลับสลัวราง คนสัญจรไม่มากนัก
ทางหอเมตตาแขวนโคมไฟไว้หลายดวง เดินมาแล้วได้ยินเสียงอึกทึกครึกครื้นแต่ไกล เห็นได้ชัดว่ากิจการดีมาก
ช่วงนี้มีงานชุมนุมยุทธภพของจังหวัดตู้หมิง หอสุราเลื่องชื่ออย่างหอเมตตาย่อมมีจอมยุทธ์ไม่น้อย
เมื่อมาถึงประตูเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาทักทายพวกหลันหนิงเค่ออย่างกระตือรือร้น
“ลูกค้า จองที่นั่งไว้หรือไม่ วันนี้แขกมากเกินไป หากไม่ได้จองที่นั่งไว้อาจต้องรอหน่อยขอรับ”
“เจียงเหมิ่ง จอมยุทธ์เจียงนัดพวกข้ามา”
เมื่อได้ยินคนข้างกายกล่าวเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อร์ดวงตาวาววาบรีบกล่าว
“อ้อๆ ถ้าเช่นนั้นคงเป็นจอมยุทธ์หลัน เชิญเข้ามา เชิญตามข้าไปข้างบน ห้องส่วนตัวริมหน้าต่างชั้นสอง จอมยุทธ์เจียงมาถึงแล้ว!”
เสี่ยวเอ้อร์พาทั้งสามคนขึ้นไปอย่างกระตือรือร้น บนชั้นสองเจ้าภูเขาลู่นั่งใกล้ปากทางบันได ครองโต๊ะตัวหนึ่งคนเดียว เมื่อเห็นหลันหนิงเค่อขึ้นมา เขาแสยะปากคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ในสายตาเจ้าภูเขาลู่บนตัวหลันหนิงเค่อมีปราณชั่วร้ายพันรอบ ทั้งมีปราณแค้นไม่สลาย ความจริงถือว่าไม่เป็นไร เดิมจอมยุทธ์มีปราณชั่วร้ายมาก การเข่นฆ่าเป็นเรื่องเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่บนตัวหลันหนิงเค่อไม่มีปราณน่าเกรงขามยากอธิบาย
เมื่อเห็นพวกหลันหนิงเค่อนั่งลงริมหน้าต่าง เจ้าภูเขาลู่คีบเนื้ออบเครื่องปรุงรสสีแดงขึ้นมาคำหนึ่ง หรี่ตามองไปทางหน้าต่าง
บนโต๊ะนั้นรวมพวกหลันหนิงเค่อแล้วมีทั้งหมดห้าคน นั่งล้อมโต๊ะสำหรับแปดคนนั่งตัวหนึ่ง
“จอมยุทธ์เจียงวางใจเถอะ ข้าคนแซ่หลันต้องชิงอันดับต้นบนงานชุมนุมยุทธภพมาได้ แน่นอนว่าย่อมช่วยเหลือท่าน!”
ชายแซ่เจียงกล้ามเป็นมัด หน้าตาอหังการ แต่คำพูดและการกระทำขัดกับภายนอกอยู่บ้าง เขายิ้มระรื่นพลางรินสุราให้หลันหนิงเค่อ
“จอมยุทธ์หลันพูดเช่นนี้ ข้าคนแซ่เจียงค่อยมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหน่อย ครั้งนี้ยุทธภพรัฐจีเตรียมบิดเกลียวเป็นเชือกเส้นเดียว ใครฉวยโอกาสมาได้ก่อน ผลประโยชน์ย่อมมหาศาล หากข้าคนแซ่เจียงติดอันดับต้นๆ แน่นอนว่าไม่มีทางลืมจอมยุทธ์หลัน!”
“หึๆ หมัดพยัคฆ์ของจอมยุทธ์เจียงทั่วรัฐจีไม่มีใครเทียบเทียม กวาดสายตามองทั่วต้าเจินมีคนต่อกรด้วยน้อยนัก ทั้งเก่งกล้าสามารถ ถ้าท่านไม่ติดอันดับต้นๆ ตามเหตุผลคงพูดยาก!”
ความจริงเรื่องแบบเดียวกันพบเห็นได้ทั่วไป คนแบบเจียงเหมิ่งไม่ได้มีคนเดียว ใครก็รู้ว่าชุมนุมยุทธภพครั้งนี้สำคัญ การหาหัวคะแนนถือว่าเห็นบ่อยจนชินตา แต่ทำเพียงแค่นี้ยังไม่พอ สุดท้ายยังต้องลงมือแสดงความสามารถแท้จริง
“ฮ่าๆๆๆ… หลันหนิงเค่อ! เจียงเหมิ่ง! คนชั่วอย่างพวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ดังคาด!”
เสียงตวาดเดือดดาลดังมาจากปากทางบันไดกะทันหัน หลังจากนั้นชายสวมชุดรัดรูปสีน้ำเงินสี่คนรีบเดินมาข้างบน แต่ละคนต่างถืออาวุธ
“หืม? พวกเจ้าเป็นใคร”
หลันหนิงเค่อหรี่ตาเอ่ยถาม ในใจคิดว่าวันนี้ไม่เป็นสุขมาตลอด เกรงว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้แล้ว
เจียงเหมิ่งที่อยู่ด้านข้างแค่นหัวเราะต่อเนื่อง ไม่ว่าใครถูกด่าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ย่อมไม่มีทางชอบใจ
“ฮ่าๆๆๆ… เจ้าหมาถ่อยสองตัว ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนหน้าด้านไร้ยางอายอย่างพวกเจ้าต้องมาร่วมงานชุมนุมยุทธภพแน่ ข้าคือฝานทง ตอนนั้นพวกเจ้าสองคนทำให้ข้าบ้านแตกสาแหรกขาด วันนี้เป็นวันตายของพวกเจ้า”
“โธ่เอ๋ย ลูกค้า ภายในหอสุราต่อยตีกันไม่ได้ พวกเรา…”
“เจ้าถอยไป ถ้าทำข้าวของเสียหายพวกเราย่อมจ่ายชดเชย!”
ผู้กล่าวผลักหลงจู๊โรงเตี๊ยมซึ่งเข้ามาโน้มน้าวออกไป
ชิ้ง… ชิ้ง… ชิ้ง… ชิ้ง…
ทั้งสี่คนต่างชักดาบออกมา จ่อไปทางกลุ่มคนตรงหน้าต่าง
เจ้าภูเขาลู่กินอาหารดื่มสุราลำพัง ไม่ได้ลุกขึ้น แต่โคจรพลังปราณยกระดับหูตา ฟังเสียงของคนอื่นในโรงเตี๊ยม
“พวกเจ้าดูสิ ชายร่างท้วมตรงนั้นก็คือมือแส้เหล็กหลันหนิงเค่อ คนนั่งตรงข้ามคือพยัคฆ์ร้ายริมฝั่งเจียงเหมิ่ง สองคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ตอนนั้นตระกูลฝานแห่งจังหวัดติ้งหยวนถูกบีบจนบ้านแตกสาแหรกขาด พวกเขาสองคนมีส่วนอย่างมาก”
“ชู่ว… ระวังคำพูดด้วย!”
“หึ ศัตรูมาหาถึงที่ ไม่ให้ข้าพูดหรือ อีกอย่างที่นี่คือจังหวัดตู้หมิง ช่วงงานชุมนุมยุทธภพ แม้แต่เจ้าสำนักลั่วยังอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ให้อันธพาลแห่งยุทธภพเช่นนี้ติดอันดับต้นๆ ข้ากลัวพวกเขาไปทำไม ปีนั้นตระกูลฝานเจอเคราะห์ใหญ่ต่อเนื่อง สูญเสียเทียบเจตกระบี่ก่อน ภายหลังยังถูกยกพวกบีบบังคับเรื่องการค้นคว้าหลายปี หลังจากนั้นยังมีพวกซ้ำเติมต่อเนื่อง ทำให้จอมยุทธ์อย่างพวกเราดูถูก!”
เจ้าภูเขาลู่เหลือบมองโต๊ะที่คุยกัน เป็นชายหน้าตาธรรมดาสามคน พูดเรื่องคุณธรรมกันเครียดขมึง แต่กลับกดเสียงต่ำ เห็นชัดว่ากลัวสร้างปัญหา
“รับความตายซะ!”
“ฆ่า!”
ฝานทงกับพวกพ้องตวาดเดือดดาล เหวี่ยงดาบพุ่งเข้าหาพวกหลันหนิงเค่อกับเจียงเหมิ่ง เมื่อเห็นท่าร่างของพวกเขา หลันหนิงเค่อวางใจลงกว่าครึ่ง ไม่ใช่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งอะไร
“โฮก…”
เจียงเหมิ่งคำรามเหมือนสัตว์ร้าย เบี่ยงร่างมาถึงหน้าโต๊ะ สองมือเหยียดเป็นกรงเล็บ ค้อมตัวลงต่ำพุ่งเข้าฝูงชนก่อนตะปบกรงเล็บอย่างดุดัน
ตึง… ปึง… ฉัวะ… พรวด…
ตึง…
คนผู้หนึ่งอาศัยกรงเล็บจากสองมือเปล่า ต้านอาวุธสี่เล่มอย่างแข็งกร้าว ต่อสู้จนแสงโลหิตสาดทั่วทิศ
แม้ว่าสี่คนนี้ทักษะไม่เลว แต่เทียบกับคู่ต่อสู้แล้วด้อยกว่ามาก ต่อให้หลันหนิงเค่อไม่ลงมือ พวกเขาต้านได้ไม่ถึงสิบกว่ากระบวนท่า ไม่ถูกซัดกระเด็นก็ถูกกรงเล็บคบกริบทำร้ายสาหัสล้มลงกับพื้น
ลูกค้าธรรมดาโดยรอบตกใจจนหนีออกไปนานแล้ว ส่วนจอมยุทธ์แม้ไม่ถึงขั้นหนี แต่กลับไม่มีใครลงมือ
ปึง…
ฝานทงถูกฝ่ามือซัดตรงหน้าอก ลอยคว้างไปชนเสาด้านข้างก่อนตกลงมา กระอักเลือดเจือฟองอากาศออกมาดังพรูด
เขาเงยหน้ามองเจียงเหมิ่งซึ่งเข้ามาใกล้ ก่อนเผยรอยยิ้มอนาถ
“ฮะ เฮือก… ขะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเจ้า แต่ข้าอยากบีบเจ้าให้ลงมือ บีบเจ้าให้ใช้วิชา ข้าเตรียม…”
“หึ เจ้าคิดว่าวิธีการใช้พิษแค่นี้ข้าคนแซ่เจียงไม่สังเกตเห็นหรือ พวกเราแค่แสร้งดื่มสุราเท่านั้น”
ยามเจียงเหมิ่งกล่าวหลันหนิงเค่อหยิบชามกระเบื้องออกมาจากแขนเสื้อ ภายในเต็มไปด้วยสุราพิษที่เดิมควรดื่มแล้ว
“หึๆๆ…”
ฝานทงยังคงหัวเราะ
“เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร ชื่อเสียงพวกเจ้าเหม็นโฉ่แล้ว งานชุมนุมยุทธภพครั้งนี้มีคนมาไม่น้อย ไม่นานเรื่องวันนี้ทุกคนจะรับรู้กันทั่ว อยากเป็นผู้ทรงอิทธิพลบนยุทธภพ? อยากฉวยโอกาสทอง? ฝันไปเถอะ ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
ฝานทงรู้ตัวว่าพรสวรรค์วิชายุทธ์มีจำกัด กอปรกับคิดว่าใช้พิษอาจไม่ได้ผล เขารังเกียจสองคนนี้ รังเกียจจนอยากให้พวกเขาไม่อาจยืนหยัดในงานชุมนุมยุทธภพ ส่วนอนาคตของตระกูลฝาน ขอมอบให้คนที่มีความหวังยิ่งกว่า
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
คราวนี้เจียงเหมิ่งโกรธจริงแล้ว ใช้กรงเล็บพยัคฆ์ซัดใส่หน้าผากฝานทงฉับพลัน
ฟุ่บ…
มีเสียงทลายอากาศดังมา เจียงเหมิ่งยังซัดไม่โดนฝานทง เขาเบี่ยงหลบตามปฏิกิริยาตอบสนอง
ปึก…
เห็นแค่ตะเกียบข้างหนึ่งพุ่งลงพื้นระหว่างเจียงเหมิ่งกับฝานทง ปักเข้าแผ่นไม้หลายชุ่น ปลายตะเกียบยังสั่นไหวเล็กน้อย
“ใคร ใครกล้าเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่น”
เจียงเหมิ่งตวาดเดือดดาลพลางมองด้านข้าง เขามองไปตรงปากทางบันได กวาดมองคนบนโต๊ะพวกนั้น หลายคนต่างหลบสายตา มีเพียงคนเดียวซึ่งไม่ขยับ
“น่าสนใจ ฝีมืออย่างเจ้าควรค่าแก่การเรียกว่าหมัดพยัคฆ์ด้วยหรือ”
เสียงเจือความขบขันอย่างชัดเจนดังมา ชายชุดเขียวท่าทางเหมือนบัณฑิตคนนั้นลุกขึ้นจากที่นั่ง