เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 361 สี่แขนค้ำฟ้าวิชาอัศจรรย์ไร้ขอบเขต

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 361 สี่แขนค้ำฟ้าวิชาอัศจรรย์ไร้ขอบเขต

ทางเรือนหลักรูปปั้นวิทยาราชประทับนั่งสว่างราวทองคำทั้งองค์ ท่ามกลางเสียงดังเปรี๊ยะต่อเนื่อง รูปปั้นลุกขึ้นมาจากแท่นธรรมทีละน้อย

ฝุ่นควันกำยานและผงหินบนตัวร่วงลงมาไม่หยุด เงาร่างสูงขึ้นเรื่อยๆ แทบถึงโคมหลากสีบนโถงใหญ่

อาจเป็นเพราะจ้าวหลงคืนพลังวิทยาราช สะเทือนถึงวิทยาราชประทับนั่งแห่งสำนักพุทธที่ไม่ทราบว่าร่างอยู่ที่ไหน ตอนนี้ร่างจำแลงวิทยาราชจึงมาเยือนรูปปั้นองค์นี้

ตึง… ตึง… ตึง… ตึง…

เสียงฝีเท้าหนักแน่นของรูปปั้นวิทยาราชดังขึ้นต่อเนื่อง เดินออกไปนอกเรือน ค้อมตัวข้ามธรณีประตูช้าๆ

จีวรส่วนหนึ่งบนตัวที่เดิมแข็งกระด้างเหมือนรูปปั้น ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มทีละน้อย คล้ายอาภรณ์มหึมาที่แท้จริง ยิ่งก้าวเดินความเป็นรูปปั้นของร่างจำแลงวิทยาราชยิ่งน้อยลง กลับกลายเป็นว่ายิ่งเหมือนโพธิสัตว์ร่างทอง

ตอนนี้ร่างโพธิสัตว์สูงเกินสองจั้ง แม้ว่าเทียบกับร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่แล้วเล็กกว่ามาก แต่ถือเป็นสิ่งมหึมาเช่นกัน สิ่งสำคัญกว่าคือด้านหลังมีวงแสงธรรมส่องประกาย รายรอบด้วยเสียงธรรมและอักษรคัมภีร์ กลิ่นอายเคร่งขรึมมีสง่าพลังธรรมยิ่งใหญ่ไพศาล

เจ้าภูเขาลู่ทรงตัว หางตาเหลือบเห็นจ้าวหลงยังสลายพลังวิทยาราชบนตัวเหมือนไม่รับรู้อะไร เขายิ้มหยันก่อนหันมองโพธิสัตว์ที่กำลังเข้ามาใกล้

“ร่างจำแลงวิทยาราชแห่งสำนักพุทธหรือ”

โพธิสัตว์ร่างทองก้าวข้ามกำแพงเรือน ยืนอยู่ตรงลาน สายตากวาดมองจ้าวหลงก่อนมองเจ้าภูเขาลู่เช่นกัน

“สาธุ พลังธรรมวิทยาราชเลิศล้ำ บำเพ็ญเพียรไร้ขอบเขต!”

โพธิสัตว์พนมมือช้าๆ ครู่ต่อมาเขาไม่พูดเกินความจำเป็น มือขวาพลันโจมตี ฝ่ามือมหึมาสีทองรวมพลังภูผาสยบมาร ในสายตาเจ้าภูเขาลู่ราวกับภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งกำราบลงมา มีความรู้สึกว่าไม่อาจหนีพ้น

“โฮก…”

เจ้าภูเขาลู่คำรามเสียงกร้าว เพลิงปีศาจพลันก่อตัว คล้ายเพลิงไร้สิ้นสุดลุกโชนทันที ครองพื้นที่ลานอารามเกือบครึ่ง บนกรงเล็บคมกริบยิ่งพันรอบด้วยวายุดำและปราณปีศาจไร้ขอบเขต

ฟุ่บ…

แสงกรงเล็บมหึมาหอบสายลมคลั่งตั้งรับ

ตูม โครม…

บนทางราบเกิดเสียงอสนีบาต ร่างจำแลงวิทยาราชถอยหลังก้าวหนึ่ง เท้าทั้งสี่ของเจ้าภูเขาลู่ตะปบพื้นถอยกรูดไม่หยุด ลานอารามวิทยาราชถูกครูดเป็นรอยแยกฝังลึกหลายสายตลอดทาง

เสียงท่องสัจธรรมแห่งโพธิสัตว์ดังก้อง

“โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม…”

ยามสิ้นเสียงทุกตัวอักษรมีแสงทองไร้สิ้นสุดวาววาม วงแสงมากมายไหวเคลื่อนเป็นระลอก กวาดทั่วอารามวิทยาราชและยอดเขาน้อย ขณะเดียวกันทุกครั้งยามเสียงสัจธรรมดังขึ้นจะมีฝ่ามือมหึมาสีทองกำราบเจ้าภูเขาลู่จนไร้ช่องโหว่

ตูม… ตูม… ตูม… ตูม… ตูม… ตูม…

หลังจากผ่านการโจมตีหกครั้ง ร่างปีศาจมหึมาของเจ้าภูเขาลู่ลอยคว้างออกจากยอดเขาซึ่งอารามวิทยาราชตั้งอยู่ กระแทกไหล่เขาซึ่งห่างออกไปหลายร้อยจั้งเต็มแรง

บนตัวภูเขามีต้นไม้หักโค่น มีหินผาพังทลาย เกิดเสียงดังอึกทึกสนั่นหู โดยรอบยิ่งมีฝุ่นควันฟุ้งตลบ

‘แค่ร่างจำแลงวิทยาราช ร้ายกาจเช่นนี้เชียวหรือ’

เจ้าภูเขาลู่ตื่นตระหนก การโจมตีเมื่อครู่ทำให้เขาบาดเจ็บเล็กน้อย รู้สึกปวดกระดูกรางๆ ด้วยพลังปราณตอนนี้ของเขา ปัญหาเล็กน้อยย่อมไม่มีผลอะไร อย่างมากแค่เจ็บชั่วคราว ไม่มีทางปวดต่อเนื่อง ดังนั้นการปะทะซึ่งหน้าอาจตึงมืออยู่บ้าง

แต่ใช่ว่าโพธิสัตว์องค์นี้ไม่ทุกข์ร้อนเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก อย่างน้อยจีวรตรงหน้าอกก็มีรอยกรงเล็บหลายสาย เผยผิวสีทองด้านในออกมา ทั้งผิวยังไม่นับว่าสมบูรณ์ แม้ว่าแยกจากกันเพียงผิวเผิน แต่ยังเผยเนื้อดินด้านในรูปปั้นออกมา

สิ่งนี้ทำให้เจ้าภูเขาลู่เข้าใจ ถึงแม้ตอนนี้โพธิสัตว์ร่างทองดูเหมือนคน แต่ไม่ใช่พระวิทยาราชแท้จริงมาเยือนด้วยตัวเอง เนื้อแท้ยังเป็นรูปปั้นดิน สามารถซัดทลายได้

ปราณปีศาจตรงไหล่เขาลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ เพลิงปีศาจไร้ขอบเขตย้อมท้องฟ้ากว่าครึ่งอีกครั้ง กลายเป็นมายาสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง คล้ายสัตว์ปีศาจขนาดมหึมาหาใดเปรียบหมอบอยู่บนยอดเขาหลายลูกตรงหน้า

“พระวิทยาราชประทับนั่ง จ้าวหลงทำสัญญากับข้านานแล้ว วันนี้ข้ากับเขามีกฎกรรมต่อกัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ทั้งการถ่ายทอดพลังวิทยาราชแก่เขา ภิกษุชั้นสูงแห่งอารามวิทยาราชเคยถามความสมัครใจของจ้าวหลงหรือไม่ พระวิทยาราชประทับนั่งอย่างท่านเคยถามความสมัครใจของเขาหรือไม่”

เจ้าภูเขาลู่คำรามก้องทั่วเขาน้อย หางเสียงดังกระหึ่มจนพวกคนตัดฟืนกลางเขาห่างไกลคิดว่าเป็นเสียงฝนอสนีตั้งเค้า

วงแสงโพธิสัตว์ส่องประกาย สายตามองข้ามมายาเพลิงปีศาจเหนือยอดเขาทุกลูก กวาดมองไหล่เขาที่อยู่ห่างไกล จ้องมองร่างปีศาจตั้งต้น

หกฝ่ามือเมื่อครู่เหมือนมีแค่สองฝ่ามือแรกที่สัมผัสถึงแรงกระแทก สี่ฝ่ามือหลังล้วนซัดโดนเพลิงปีศาจกับสายลมคลั่ง วิชาคุมวาโยของปีศาจตนนี้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ทั้งยังสำแดงวิชาอัศจรรย์นานัปการ

กอปรกับร่างเสือหน้าคนจอนตรงใบหูยาว แม้ว่าไม่ใช่เทพแต่กลับมีความน่าเกรงขาม คล้ายเข้าใจหลักธรรมและเปี่ยมความองอาจทะยานฟ้า หางด้านหลังวาดกวาดจนเกิดภาพมายา ทั้งเหมือนว่ามีหางเพิ่มขึ้นมามาก

สัตว์ประหลาดที่เดิมไม่เคยเห็นมาก่อน หากบำเพ็ญเพียรจนมีหลายหางจริง เกรงว่าอนาคตคงเป็นพญาปีศาจแห่งยุค ทยอยผลาญพลังไม่ได้ผล จำเป็นต้องใช้วิชาอสนีกำราบ

“พระธรรมไร้ขอบเขต พระธรรมไร้สิ้นสุด…”

เสียงธรรมกึกก้องดังขึ้น โพธิสัตว์หลับตา วงแสงธรรมมากมายบนฟ้าครอบลงมาเบื้องล่าง แสงทองบนร่างโพธิสัตว์ส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ แสงหลากสีมากมายปรากฏบนท้องฟ้า แต่งแต้มเมฆบนฟ้าเป็นสีรุ้ง เมฆลมหลายชั้นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย กลายเป็นลักษณ์วิทยาราช

“ปณิธาณว่างเปล่า วิทยาราชประทับนั่ง เรียกรูปจำลองมา ไม่จดจำพระธรรมใด สิ่งนั้นนามสมาธิ แก่นแท้คือความว่างเปล่า เมื่อนั้นย่อมเห็นธรรม…”

เสียงธรรมนี้ไม่ได้ดังขึ้นทีละน้อยอย่างเนิบช้า แต่คล้ายมีเสียงธรรมมากมายคลอตามเสียง ภายในเวลาอันสั้นอักษรธรรมไร้ขอบเขตพลันปรากฏ

ท่ามกลางเสียงธรรมเมฆหลากสีเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังทิ้งตัวลงมาช้าๆ สุดท้ายเมื่อรวมตัวใกล้อารามวิทยาราชค่อยกลายเป็นสีทอง ถึงขั้นรวมตัวไปทางโพธิสัตว์ร่างทอง

ร่างจำลองวิทยาราชแต่เดิมสูงใหญ่อีกครั้ง แต่เวลานี้ร่างธรรมกลับนั่งขัดสมาธิช้าๆ ขณะเดียวกันแสงธรรมพลันเจิดจ้า

แรงกดดันของเจ้าภูเขาลู่เพิ่มขึ้นมาก รู้สึกว่าร่างจำลองวิทยาราชตรงหน้าอานุภาพเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกเมื่อครู่คือคู่ต่อสู้ร้ายกาจและตึงมือ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คงรู้สึกว่ายากล่วงเกินและต้านทานอยู่บ้างแล้ว

‘วิทยาราชประทับนั่งองค์นี้คิดสังหารข้าหรือ!?’

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา วิทยาราชประทับนั่งลืมตาตวาดลั่น

“ปีศาจอย่างเจ้า อนาคตย่อมก่อหายนะบนโลกจนสรรพชีวิตจมสู่ความทุกข์ ปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้! ยอมให้ข้าโปรดสัตว์อย่างเจ้าเถอะ ภู…!”

เมื่อกล่าวคำว่า ‘ภู’ ออกจากปาก โพธิสัตว์ไม่ขยับสักนิด แต่เจ้าภูเขาลู่พลันรู้สึกว่าเท้าทั้งสี่มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นมาก มีแนวโน้มว่าจะถูกกำราบอย่างยิ่ง

ร่างปีศาจสั่นสะเทือนครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ถูกกำราบติดพื้นดังโพธิสัตว์ปรารถนา มายาสีทองรูปภูเขายักษ์บนตัวปรากฏ แค่ทำให้ร่างปีศาจสั่นเทาแต่กลับไม่อาจสยบลง

เจ้าภูเขาลู่รวบรวมแรงจากกล้ามเนื้อทั้งตัว หยัดร่างพลางเงยหน้าขึ้น

“แค่ร่างจำแลงวิทยาราช เจ้าคิดว่าพระธรรมไร้ขอบเขตจริงหรือ”

ยามตวาดเดือดดาลร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่เกิดแรงปะทุ ยันภูเขาเหนือศีรษะกระโจนออกไปทันที

โพธิสัตว์เอ่ยปากอีกครั้ง “ผา!”

เมื่อสิ้นเสียงคำว่า ‘ผา’ มายาภูเขาคล้ายคงอยู่จริง แรงกดดันราวปกคลุมฟ้าดินกระหน่ำลงมา มายาเพลิงปีศาจบนยอดเขาหลายลูกแหลกละเอียด เจ้าภูเขาลู่ถูกกำราบกลางอากาศกลับไปอีกครั้ง

อย่ามองว่าโพธิสัตว์ท่าทางเหมือนผ่อนคลาย แต่ความจริงสำแดงวิชาแข็งแกร่งที่สุดซึ่งร่างจำแลงนี้สามารถใช้ได้แล้ว เมื่อกล่าวสัจธรรมครบคำว่า ‘ภูผาสยบมาร’ พลังวิทยาราชของร่างจำแลงองค์นี้จะหมดสิ้น แม้ปีศาจตนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน วิทยาราชประทับนั่งก็มีความมั่นใจว่าสามารถกำราบมันได้ อย่างน้อยก็ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสและกำราบไว้ใต้เขาน้อย จากนั้นเหล่าภิกษุแห่งอารามวิทยาราชย่อมสังหารมันได้

“โฮก… โฮก…”

เจ้าภูเขาลู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เรื่องยากจะรับที่สุดก็คือพลังปีศาจถูกกำราบโดยยังไม่ทันได้ใช้ ไม่อาจใช้พลังเต็มกำลัง หากเป็นแบบนี้ต่อไปคงอัดอั้นเกินไปแล้ว

ยามคิดจะทุ่มสุดตัว

ฟุ่บ… ฟุ่บ…

แสงสีเหลืองเรืองรองสองสายวาบผ่านข้างกายเจ้าภูเขาลู่

จอมพลังเกราะทองสองตนปรากฏตัว เงาร่างผุดขึ้นมาจากพื้นดินและขยายต่อเนื่อง ตัวใหญ่กว่าจอมพลังเกราะทองซึ่งจี้หยวนใช้ตามปกติไม่น้อย ชั่วพริบตายามเงาร่างเพิ่มสูงถึงสามจั้ง จอมพลังทั้งสองยกแขนค้ำฟ้า

ปึง… ปึง…

เขาน้อยทั้งลูกสั่นสะเทือน สองแขนและสองขาของจอมพลังเกราะทองสองตนถูกกำราบจนโค้งงอ แต่ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ผ้าเหลืองบนตัวสะบัดโบก กอปรกกับเจ้าภูเขาลู่กระตุ้นพลังลุกขึ้นมาอีกครั้ง จอมพลังเกราะทองเหยียดขายืดแขนทั้งสองตามมาช้าๆ

เพียงพริบตาแรงกดดันบนตัวเจ้าภูเขาลู่พลันถดถอย พลังปีศาจทั้งตัวพวยพุ่งออกมา สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือในใจรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างเด่นชัด

ต่อให้เป็นครั้งแรกที่เจอจอมพลังผ้าเหลือง แต่ขุนพลเทพผู้เป็นเหมือนสัญลักษณ์เช่นนี้ เจ้าภูเขาลู่ซึ่งฟังหูอวิ๋นเล่ามาหลายครั้งมีหรือจะจำไม่ได้

‘จอมพลังเกราะทองคือขุนพลเทพคุ้มกันที่อาจารย์สร้างขึ้น อาจารย์อยู่ใกล้ๆ!’

บนลานอารามวิทยาราช นัยน์ตาวิทยาราชประทับนั่งฉายแสงพิสุทธิ์ จ้องเจ้าภูเขาลู่กับจอมพลังเกราะทองร่างมหึมาสองตนข้างกายเขาที่อยู่ห่างไกลเขม็ง จากนั้นค่อยเงยหน้ามองเล็กน้อย เห็นว่ามีผู้สวมชุดขาวเหยียบเมฆสบตาตนอยู่

ไม่มีการเอ่ยวาจาใดๆ ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เสียงธรรมแห่งโพธิสัตว์ดังขึ้นอีกครั้ง

“สยบ!”

แสงธรรมแผ่พุ่งจากภูเขามหึมาเสมือนจริง กำราบไปทางเจ้าภูเขาลู่กับจอมพลังเกราะทองสองตน สันเขาตรงนั้นแตกร้าวอย่างต่อเนื่อง ยอดเขาทั้งลูกกำลังทรุดถล่มถึงขั้นพังทลาย

“มาร!”

ยามสิ้นเสียงสัจธรรมสุดท้าย ภูเขาแสงธรรมเผยสีสันแห่งภูผาธารา คล้ายเปลี่ยนจากภาพมายาเป็นเหมือนคงอยู่จริง

ทว่าชั่วพริบตาเดียวกัน

ชิ้ง…

เสียงกระบี่ครวญเฉียบคมดังกังวานกลบเสียงคัมภีร์และเสียงกัมปนาททุกอย่างภายในชั่วขณะ แสงเงินเจิดจ้ากลบเพลิงปีศาจและแสงธรรมทั้งหมดยามวาบผ่าน

กระบี่เครือเขียวฟาดฟันเกือบเต็มกำลัง แสงกระบี่ตัดผ่านยอดเขาชั่วพริบตา

กึก แควก…

ภูผาสยบมารเกิดรอยแยกละเอียดสายหนึ่งจากล่างขึ้นบน ทั้งยังแผ่ขยายไม่หยุด แสงธรรมต่อเนื่องบนนั้นถูกตัดขาด

บนตัวจอมพลังเกราะทองสองตนมีแสงเหลืองวาบผ่าน

“ฮ่า…” “ฮ่า…”

ท่ามกลางเสียงคำรามดุดันกังวาน จอมพลังต่างดันภูเขาครึ่งหนึ่งขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแขนขวาราวเลือนรางหายไป ก่อนปรากฏเป็นหมัดปะทะใต้ภูเขาอีกครั้ง

ตูม… ตูม…

เดิมภูผาสยบมารถูกกระบี่เซียนฟันแกนเทพไปแล้ว ตอนนี้ยังถูกจอมพลังสองตนซัดทลาย

วู้ม… วู้ม…

เสี้ยวแสงธรรมไร้สิ้นสุดกลายเป็นแรงปะทะ เกิดลมคลั่งรุนแรงม้วนพัดโดยรอบ ต้นไม้ในป่าส่ายสั่นหินทรายปลิวว่อน เหล่าภิกษุตรงอารามวิทยาราชต่างกดตัวต่ำ บ้างหันหลังบ้างบดบังใบหน้า ขวางลมทรายโหมกระหน่ำ

ฝ่ามือโพธิสัตว์ดีดออกจากกันยามยอดเขาถูกโจมตีแหลกละเอียด ร่างกายโอนเอนเล็กน้อย

จี้หยวนเหยียบเมฆโรยตัวลงมา ยืนบนลานอารามวิทยาราช มองร่างจำแลงวิทยาราชมหึมาที่อยู่ห่างไปไม่ถึงสิบจั้ง เมื่อมองผ่านตาทิพย์ รูปปั้นโพธิสัตว์นี้ยืนหยัดไม่อยู่แล้ว

ถึงอย่างไรเมื่อครู่เขาก็รอร่างจำแลงวิทยาราชทุ่มเทพลังธรรมทั้งหมดกับภูเขาใหญ่ลูกนั้น การกำจัดมันย่อมดีกว่าลงมือกับโพธิสัตว์โดยตรง

“พระวิทยาราช ท่านอย่าสนใจเรื่องนี้ดีกว่ากระมัง”

โพธิสัตว์มองคุณชายชุดขาวตัวเล็กจ้อยตรงหน้า ท่าทางเขาเหมือนคนธรรมดา ภายนอกกลับเห็นว่าถึงแม้ฝุ่นทรายโดนตัวแต่กลับผุดผ่อง กลิ่นอายอัศจรรย์หมุนเวียนปลอดโปร่ง

“ท่านก็เป็นผู้ฝึกมรรคอัศจรรย์ ปีศาจเช่นนี้เหยียบเข้าอารามพุทธคิดกินเหล่าภิกษุของข้า ท่านไม่ช่วยเหลือก็ช่างเถอะ เหตุใดถึงช่วยเขาเล่า”

จี้หยวนส่ายศีรษะพลางกล่าว

“ท่านมีความคิดของท่าน ข้ามีหลักการของข้า แม้แต่ภิกษุเจวี๋ยหมิงยังมีทางเลือกของตน เจ้าภูเขาลู่ล่วงเกินบ้างจริงๆ ข้าขอโทษพระวิทยาราชแทนเขา แต่ข้าขอยืนยันคำพูดเดิม เรื่องนี้พระวิทยาราชอย่าสนใจเลย”

เสียงจี้หยวนเว้นช่วงไป จากนั้นค่อยกล่าวต่อ

“พระวิทยาราชเป็นผู้บรรลุธรรมสูงสุดแห่งสำนักพุทธ เรื่องวันนี้ถูกหรือผิดย่อมรู้แน่ชัด ไม่ต้องให้ข้าคนแซ่จี้พูดมากอีก พระธรรมไร้ขอบเขต พระธรรมไร้สิ้นสุด แต่สุดท้ายร่างจำแลงวิทยาราชย่อมไม่อาจแบกรับพลังไร้ขอบเขตนี้ ร่างจำแลงคงซ่านสลายกระมัง”

โพธิสัตว์เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพนมมืออีกครั้ง ยามพนมมือยังก้มหน้าลงมองจี้หยวน

“ท่านมีวิชาอัศจรรย์ไร้ขอบเขต ท่านอยู่ที่นี่ หวังว่าจะคุ้มครองเหล่าภิกษุแห่งอารามวิทยาราชให้ปลอดภัย”

คราวนี้จี้หยวนจึงเผยรอยยิ้ม ประสานมือคารวะตอบวิทยาราชประทับนั่ง

“พระวิทยาราชวางใจเถอะ ต่อให้ข้าไม่อยู่ ภิกษุอารามวิทยาราชก็ปลอดภัย”

โพธิสัตว์มองปีศาจร่างเสือหน้าคนเผยสีหน้ายินดี ที่แท้ปีศาจตนนี้ถูกชี้แนะสั่งสอนมาแล้ว

“สาธุ…”

ยามสิ้นเสียงกว้างใหญ่ไพศาล ร่างจำแลงโพธิสัตว์วิทยาราชประทับนั่งยืนหยัดไม่อยู่อีก เริ่มสิ้นประกายแสงจากเบื้องล่าง กลายเป็นรูปปั้นใหม่อีกครั้ง เริ่มพังทลายทีละน้อย

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท