เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 368 ข้าคนแซ่หนิวหนังตากระตุก

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 368 ข้าคนแซ่หนิวหนังตากระตุก

แผนการหนีออกจากศาลมืดของเจ้าภูเขาลู่นั้นง่ายมาก ด้วยเดิมเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ไม่นานก็จะถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด รออีกหน่อยย่อมถึงเทศกาลผี ประตูนรกของศาลมืดจังหวัดเหลาหยางย่อมเปิดออก

วันนี้หากมีคนเซ่นไหว้ผีบางตน ผีตนนี้สามารถไปรับยันต์หยินเข้าร่างวิญญาณ จากนั้นค่อยออกจากประตูนรกไปรับของเซ่นไหว้ใกล้ๆ ทั้งได้เจอครอบครัวด้วย

ก่อนจะแฝงตัวเข้าศาลมืด เจ้าภูเขาลู่จ่ายเงินจ้างคนมากมายไว้ก่อนแล้ว บอกให้พวกเขาเซ่นไหว้หลันหนิงเค่อหลังจากฟ้ามืดในวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด ด้วยให้เงินมากพอ การจัดของเซ่นไหว้ย่อมใหญ่โตอยู่บ้าง

เมื่อถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด คนที่จ้างวานก่อนหน้านี้ตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ภายในบ้านหรือตรอกซอยเล็กดังคาด

เมื่อเป็นเช่นนี้หลันหนิงเค่อจึงแฝงตัวออกจากประตูนรกอย่างไร้อันตราย ส่วนยันต์หยินแผ่นนั้น อีกไม่นานย่อมถูกเจ้าภูเขาลู่กลืนกินไป แม้ว่าหลังจากศาลมืดรู้ตัวแล้วอาจมาหาแทบจะทันที แต่เจ้าภูเขาลู่ซึ่งเก็บตัวผีชางและซ่อนกลิ่นอายแล้ว ยมทูตดำทั่วไปมีหรือจะหาเจอ

วันหนึ่งช่วงปลายเดือนเจ็ด อากาศร้อนอบอ้าวจนเกินทน แต่ผู้นำตระกูลต่งแห่งจังหวัดเหลาหยางกลับพาฮูหยินและบุตรชายคนรองออกจากเมืองมาพร้อมกัน มาถึงหน้าหลุมศพบุตรชายคนโตของตน

คนรับใช้นำพวกของเซ่นไหว้ภายในกล่องอาหารกับตะกร้าออกมาทีละอย่าง ตั้งวางหน้าหลุมศพของต่งปี้เฉิงเรียบร้อย ฮูหยินต่งผมสีดอกเลาจัดวางกระดาษเงินแท่งและกระดาษเงินนานัปการกับสาวใช้ด้วยตัวเอง

รอเมื่อเตรียมการพอประมาณแล้ว คนรับใช้จุดเทียนบนเชิงเทียน ทั้งเผากระดาษเงินแท่งและเหรียญกระดาษ

ฮูหยินต่งมองสามีของตนด้วยดวงตาแดงเรื่อ พยักหน้าไปทางผู้เฒ่าต่งเล็กน้อย

ผู้เฒ่าต่งซึ่งผมสีเงินทั้งศีรษะทำหน้าเคร่งขรึม หยิบใบประกาศซึ่งพับทบเล็กน้อยแผ่นหนึ่งออกมาจากอกแล้วเปิดออก ริมฝีปากสั่นเทาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก

“ลูกเอ๋ย เฉ่าซั่งเฟยนั่นตายแล้ว เช้าวันนี้มีคนรับเงินรางวัลสองพันตำลึงจากตระกูลต่งของเราไปแล้ว พ่อไปเจอโจรถ่อยนั่นด้วยตัวเอง ทั้งขอให้ผู้ชันสูตรของทางการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังเชิญผู้เสียหายบางส่วนมายังจังหวัดของพวกเรา ล้วนยืนยันว่าเป็นเฉ่าซั่งเฟย เจ้าล่วงรู้จากยมโลก ย่อมเป็นสุขคติแล้ว!”

ผู้เฒ่าต่งพูดเรื่องพวกนี้ด้วยเสียงแหบพร่าจบ เขาวางประกาศในมือลงกองไฟเผากระดาษเงินลุกโชน

“ท่านพี่ เฉ่าซั่งเฟยนั่นถูกคนตัดมือตัดเท้ากลายเป็นคนสุกร ตอนถูกส่งมาจังหวัดเหลาหยางของพวกเรายังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกทำให้ตกใจแทบเสียสติ ต่อให้เป็นเช่นนั้น ตอนถามเรื่องบางอย่างกับเขาถือว่ายังตอบสนอง ยืนยันว่าเป็นเฉ่าซั่งเฟยโดยไม่ต้องสงสัย ตามสืบมาตั้งนานล้วนสืบข่าวเขาไม่ได้ ที่แท้ก็ปิดบังชื่อแซ่เปิดกิจการหอนางโลม สันดานเดิมแก้ไม่หาย วิธีการยังต่ำทราม…”

ต่งปี้เหิงกำหมัดแน่นก่อนกล่าวด้วยเสียงเคียดแค้น

“เขาถึงกับอยู่จังหวัดข้างเคียงมาตลอด แต่สุดท้ายครั้งนี้เขาก็ถูกลงโทษตามสมควร กลายเป็นคนสุกรถูกตัดหัวลงไห ไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านพี่ควรเห็นจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ…”

ต่งปี้เหิงหัวเราะพลางคลายหมัดซึ่งกำแน่น ถือเป็นสัญญาณว่าคลายปมในใจ

เรื่องวันนี้ทำให้สองผู้เฒ่ากับบุตรชายคนรองของตระกูลต่งนึกถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายขึ้นมาอีกครั้ง แต่การตายของเฉ่าซั่งเฟยทำให้ผู้คนยินดี ตอนนี้ต่อให้คู่สามีภรรยาตระกูลต่งอ้างว้างอยู่บ้าง แต่ยังค่อนข้างยินดี

แน่นอนว่าความปวดใจของสองผู้เฒ่ามาจากการตายเมื่อปีนั้นของต่งปี้เฉิง แต่เป็นห่วงบุตรชายคนรองของตนเช่นกัน ตอนนี้ต่งปี้เหิงบุตรคนรองเป็นผู้ใหญ่นานแล้ว ตั้งแต่เด็กเขาชอบวนอยู่รอบตัวต่งปี้เฉิงมาก บอกให้เขาพาออกไปเที่ยวเล่น

การตายของพี่ชายไม่เพียงทำให้สองผู้เฒ่าตระกูลต่งยากจะรับ แต่ยังคอยกระตุ้นต่งปี้เหิงอยู่ลึกๆ ตั้งแต่นั้นมาเขาบากบั่นฝึกยุทธ์ทุกวัน แม้ไม่เคยพูดอะไรเป็นพิเศษ แต่สองผู้เฒ่าตระกูลต่งห่วงว่าต่งปี้เหิงจะหาวิธีตามตัวเฉ่าซั่งเฟยเพื่อแก้แค้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ตระกูลต่งแบกรับความเจ็บปวดครั้งที่สองไม่ไหวจริงๆ

โชคดีว่าสวรรค์มีตา ในที่สุดเฉ่าซั่งเฟยก็ตายแล้ว

แต่สองผู้เฒ่าตระกูลต่งกับต่งปี้เหิงอาจคิดไม่ถึง ก่อนที่พวกเขาจะเซ่นไหว้ต่งปี้เฉิง เขารู้ข่าวการตายของเฉ่าซั่งเฟยแล้ว

ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ต่งปี้เฉิงเป็นยมทูตดำตัวสำรองแล้ว ด้วยเกี่ยวข้องกับจี้หยวน ศาลมืดพาเขาออกมาจากเมืองผีทันที

ผลคือเฉ่าซั่งเฟยตายถูกพาไปศาลมืด ทั้งพบกับต่งปี้เฉิงโดยตรง คู่แค้นทางคับแคบจริงๆ…

ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่อยู่ระหว่าทางมุ่งหน้าไปแดนเหนือของต้าเจินนานแล้ว

แม้ว่าการสังหารเฉ่าซั่งเฟยเป็นข้อเรียกร้องจากหลันหนิงเค่อ แต่เจ้าภูเขาลู่ยินดีมากเช่นกัน อีกอย่างยังมีค่าตอบแทนสองพันตำลึงเงินด้วย นี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ชาวบ้านทั่วไปกินใช้สองสามชาติก็ยังไม่หมด

แต่สำหรับคนที่เดิมไม่ขาดเงินทองอย่างเจ้าภูเขาลู่ สองพันตำลึงเป็นแค่การเพิ่มบุปผาบนผ้าดิ้น หากมอบให้จี้หยวน คาดว่าด้วยจิตใจตอนนี้ของเขาคนแซ่จี้คงเบิกบานไปช่วงหนึ่ง

เมืองลั่วชิ่งอันเจริญรุ่งเรืองทางตะวันตกเฉียงเหนือแห่งอาณาจักรจู่เยวี่ย ถือเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรจู่เยวี่ย ความรุ่งเรืองเทียบเท่าเมืองหลวงของอาณาจักรจู่เยวี่ย มีสมญาว่าตะวันตกลั่วชิ่งตะวันออกเยวี่ยจง

ตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์ที่กำเนิดจากอาณาจักรจู่เยวี่ย มักตั้งเมืองลั่วชิ่งเป็นเมืองหลวงรองหรือเมืองหลวงหลายครั้ง

ตอนนี้เยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เล็กหลังหนึ่งนอกเมืองลั่วชิ่งซึ่งเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้

คฤหาสน์นี้ไม่ใหญ่ มีเรือนสี่ห้าหลัง สวนเปิดโล่งข้างนอกปลูกผักผลไม้นานัปการ ทั้งมีไม้ผลอย่างเถาองุ่น ต้นพุทรา นอกจากไม้ผลซึ่งมีอยู่เดิมแล้ว ผักผลไม้ล้วนหว่านเมล็ดพันธุ์ปล่อยให้โตตามมีตามเกิด แม้แต่หญ้ายังไม่ถอน ถ้ามีค่อยเก็บ ไม่มีให้เก็บค่อยซื้อ

คฤหาสน์อยู่ใกล้เมืองลั่วชิ่งมาก ระยะห่างแค่นี้ชาวบ้านทั่วไปเดินประมาณครึ่งชั่วยามก็สามารถไปถึงเมืองลั่วชิงได้ สำหรับเยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลายปีนี้ทั้งสองคนท่องไปหลายแห่งทั่วอาณาจักรจู่เยวี่ย สถานที่ซึ่งอาศัยอยู่นานที่สุดคือลั่วชิ่ง ไม่เพียงแต่อยู่สบาย สิ่งสำคัญคือหนิวป้าเทียนรั้งตัวเยี่ยนเฟยไม่ยอมไปจากที่นี่

ยึดตามคำพูดของหนิวป้าเทียนคือติดใจหญิงหอนางโลมในเมืองแล้ว

ส่วนเยี่ยนเฟยนอกจากฝึกยุทธ์ตลอดแล้ว เขายังรบกวนหนิวป้าเทียนพาเขาไปหาภูตผีหรือปีศาจไม่เข้าขั้นบางส่วนมาฝึกมือเป็นครั้งคราว ลำพังการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างยอดฝีมือบนยุทธภพ ไม่อาจเติมเต็มเยี่ยนเฟยได้แล้ว

ตาเปล่าคนธรรมดาหาของพวกนี้ยาก ถึงอย่างไรหนิวป้าเทียนก็เป็นปีศาจพลังปราณแกร่งกล้า ยามหาย่อมไม่ลำบาก

ส่วนเหตุใดหนิวป้าเทียนถึงคลุกคลีอยู่กับจอมยุทธ์อย่างเยี่ยนเฟยตลอด ด้านหนึ่งคือนับเป็นพี่น้องกันมานานจริงๆ ความสัมพันธ์ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะตอนนั้นตัดสินใจช่วยเยี่ยนเฟยขวางเคราะห์ แน่นอนว่าย่อมตามมาตลอด

ถึงอย่างไรต่อให้เยี่ยนเฟยเข้าสู่ระดับพรสวรรค์แล้ว อายุขัยจอมยุทธ์ธรรมดาย่อมมีแค่หลักสิบปี ปีศาจเสือแซ่ลู่นั่นคงมาก่อนเขาตายกระมัง สำหรับหนิวป้าเทียนเวลาแค่หลักสิบปีเขาย่อมรอได้ อีกอย่างคือเที่ยวเล่นกับเยี่ยนเฟยแล้วสนุกมาก

เช้าตรู่วันนี้ หนิวป้าเทียนหาวพลางลุกขึ้นจากเตียง

“หะ… หาว… หลับสบายจริง…”

เจ้าวัวหยัดร่างขึ้น ถูหน้าหูกระดิก ได้ยินเสียงเสื้อโบกไหวกับเสียงแหวกอากาศเฉียบคมของกระบี่ยาวจากกลางลาน เขารู้ว่าเยี่ยนเฟยลุกขึ้นมาฝึกยุทธ์นานแล้ว

แต่เวลานี้หนังตาข้างขวาพลันกระตุก เจ้าวัวกะพริบตาแรงๆ แต่ยังไม่หยุด เมื่อถูหน้าอีกครั้งจึงสงบลง

เขาบิดตัวเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นจากเตียง หาวพลางเดินไปตรงโต๊ะหินหน้าเรือน ตรงนั้นเยี่ยนเฟยชงชาไว้ให้แล้ว

หนิวป้าเทียนพลิกถ้วยชาใบหนึ่ง ยกกาน้ำชาขึ้นมาริน ไม่สนใจว่าร้อนหรือไม่ เขากรอกลงไปพร้อมใบชา ดื่มไปหลายถ้วยค่อยหยุด จากนั้นจึงลูบแก้มขวากับคิ้วตาอีกครั้ง

เมื่อเยี่ยนเฟยฝึกวิชาครบกระบวนท่า เขาเช็ดเหงื่อเดินมาทางหนิวป้าเทียน

“พี่หนิว ท่านตื่นแล้วหรือ”

หนิวป้าเทียนขมวดคิ้วลูบหน้าข้างขวา ปากยังพึมพำไม่หยุด รอเมื่อเยี่ยนเฟยนั่งลงรินชาดื่มค่อยมองเขาพลางกล่าว

“น้องเยี่ยน ข้าคนแซ่หนิวคิดว่าช่วงนี้อาจมีเรื่องร้ายอะไรตกใส่กบาลข้าหรือไม่ หนังตาข้างนี้กระตุกตลอดไม่ยอมหยุด เจ้าว่าข้าควรหลบหนีชั่วคราวหรือไม่ หลีกเลี่ยงการทำให้เจ้าเดือดร้อน”

คำพูดนี้ของหนิวป้าเทียนพูดอย่างมีเหตุผลมาก ต่อให้สภาวะจิตถดถอยแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นผู้ฝึกปราณ สัญชาตญาณย่อมเหนือกว่าคนทั่วไปนัก หนังตากระตุกโดยไม่มีเหตุผลถือเป็นเรื่องผิดปกติมาก

เยี่ยนเฟยส่ายศีรษะเล็กน้อย

“ไม่ต้องหรอกพี่หนิว ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดว่าจะช่วยข้าขวางปีศาจเสือ หากท่านลำบาก ข้าคนแซ่เยี่ยนต้องหลบหรือ มีหลักการเช่นนี้ด้วยหรือ แม้ว่าข้าคนแซ่เยี่ยนเป็นคนธรรมดาซึ่งมีวิชายุทธ์เล็กน้อย แต่ง่ายต่อการถูกคนละเลยด้วยเหตุนี้ ไม่แน่ว่าอาจช่วยอะไรได้ เรื่องหนังตากระตุกใช่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร…”

เยี่ยนเฟยพูดถึงตรงนี้ก่อนเห็นรอยประทับสีแดงที่ยังไม่ได้ล้างตรงหางตาหนิวป้าเทียน

“บางทีอาจเป็นเพราะพี่หนิวหักโหมเกินไป ร่างกายอ่อนแออยู่บ้าง หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนเรื่องทรัพย์สิน”

หนิวป้าเทียนอึ้งงันเล็กน้อย ล้วงถุงผ้าไหมใบหนึ่งออกมาจากอก เขย่าแล้วได้ยินเพียงเสียงเหรียญทองแดงประปราย ถุงเงินนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของเยี่ยนเฟย

“เอ่อ… แหะๆๆ น้องเยี่ยนพูดจามีเหตุผล ทรัพย์สินเป็นของนอกกาย ไม่นานย่อมนำกลับมาได้ พวกเราไปฆ่าพวกไม่แหกตามองหน่อยก็มีอีก!”

หนิวป้าเทียนหัวเราะอักอ่วน วางถุงเงินของเยี่ยนเฟยลงบนโต๊ะ ส่วนของเขาไม่เหลือนานแล้ว

“จริงสิ น้องเยี่ยน วันนี้กินอะไร แพะย่างที่เจ้าปรุงครั้งก่อนไม่เลวนัก วันนี้พวกเรากินอีกดีหรือไม่ ครานี้ย่างมากหน่อย!”

สำหรับเจ้าวัวบนโลกมนุษย์นอกจากการฝึกปราณอย่างไม่ตกหล่นแล้ว จำเป็นต้องเพิ่มเรื่องการ ‘กินดื่มเที่ยวเล่น’ แบบนี้ถึงเรียกว่านานาสีสัน

“หึๆ พี่หนิว แพะอ้วนตัวนี้ราคาหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ…”

“เอาเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้พูดๆ”

เจ้าวัวตัดบทพูดของเยี่ยนเฟย ยามคิดจะคุยเรื่องอื่น เขาพลันหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง มองซ้ายมองขวารอบคฤหาสน์ กระดิกหูยื่นจมูกดม

“พี่หนิว เป็นอะไรไป”

“น้องเยี่ยน มีคนกำลังมา ไม่ ผู้มาเยือนไม่ใช่คน แม้ว่าเลือนรางมาก แต่กลิ่นอายเร่าร้อนเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงมี หนีไม่พ้นจมูกของข้าคนแซ่หนิว แค่ไม่รู้ว่ามาหาเจ้าหรือมาหาข้า!”

หนิวป้าเทียนยิ้มหยันพลางกล่าวประโยคหนึ่ง ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว เยี่ยนเฟยก็ลุกตามจิตใต้สำนึก มองตามสายตาเจ้าวัวไปยังที่ห่างไกล

ท่ามกลางความรางเลือนตรงสุดทางเดินนอกคฤหาสน์ปรากฏเงาคนสายหนึ่ง กำลังเดินมาทางนี้อย่างเนิบช้าทีละน้อย ไม่เกินครึ่งเค่อก็เข้าใกล้แปลงผักนอกคฤหาสน์แล้ว

“พี่หนิว รู้จักหรือ”

เจ้าวัวส่ายหัวเล็กน้อย

“ไม่รู้จัก แต่อาจชำนาญการแปลงกายเหมือนผู้หญิงหน้าเหม็นนั่น ไม่แน่ว่าอาจเป็นหนึ่งในศัตรู หรืออาจเป็นคนผู้นั้นของเจ้ามาเยือน”

ทั้งสองคนไม่เคลื่อนไหวอะไร มองเจ้าภูเขาลู่เดินมายืนนิ่งตรงนอกรั้ว ไม่ข้ามรั้วมา แต่ยืนถามอยู่ตรงนั้น

“ท่านทั้งสอง มือกระบี่บินเยี่ยนเฟยอยู่ที่นี่หรือไม่”

เยี่ยนเฟยหรี่ตามองเจ้าภูเขาลู่

“ข้าอยู่ที่นี่จริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้าคือเยี่ยนเฟย ท่านเป็นใคร”

คนที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วค้อมตัวคารวะอย่างสุขุมลุ่มลึกพลางยิ้มกล่าว

“ข้าน้อยเจ้าภูเขาลู่ ผ่านมาเกือบยี่สิบปี มาเยี่ยมตามสัญญาโดยเฉพาะ”

“เยี่ยม เจ้าก็คือปีศาจเสือนั่นหรือ”

ไม่รอให้เยี่ยนเฟยกล่าว หนิวป้าเทียนเอ่ยปากแล้ว ปราณปีศาจบนตัวยิ่งพลุ่งพล่านเปี่ยมพลัง

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท