ตอนที่ 220 มังกรจู๋หลง (2)
ค่ายกลแสงทองส่งเสียงดังกังวานก่อนจะกดทับลงมา
กระดองเต่าที่เดิมทีลอยหยุดอยู่บนฟ้าจวนหนิงอี้ถูกหลิงสวินกำไว้ในมือ เขาเงยหน้ามองเฉาหลันที่พิงปากประตูตรอกอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะบิดเอวยกสะโพกเดินหน้าหนึ่งก้าว ใต้เท้าแตกเป็นใยแมงมุม เศษหินลอยขึ้น
กระดองเต่าโบราณนั้นลอยออกไปจากมือบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่า
มังกรจู๋หลงจากแดนอุดรยังคงอยู่ในท่าทีไม่ยี่หระ เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง ลายสีทองไหลเวียนตรงฝ่ามือ แผ่กลิ่นอายร้อนระอุออกมา
แสงสว่างบนฟ้าไหลมารวมกัน!
กระดองเต่านั้นขยายใหญ่ขึ้นตามสายลม เหมือนกับภูเขาเล็ก
หนึ่งคนกับภูเขาหนึ่งลูกพลันชนกัน
เกิดเสียงโลหะกระทบ หนักหน่วงแสบหู
ผ้าปิดหน้างอบแดงเพลิงพลันถูกพัดลอยขึ้น เผยดวงตาเย็นชาของเฉาหลัน
ค่ายกลวิชาลับเขาศิลาเต่าที่เปล่งแสงทองระยิบระยับนั้นปกคลุมเฉาหลันจากข้างบน ผนึกพลังเลือดลมทั่วทั้งตัวเขา
ภูเขาเล็กพุ่งเข้ามาชนเขา ขาสองข้างแทบจะลอยขึ้นจากพื้น ไถลไปข้างหลัง แผ่นหลัง ‘ถูกบีบ’ ให้ชนกับร่างเงาคนจำนวนมากในตรอก
ฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้น
ผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าชุดหยาบสีขาวที่กรูกันเข้ามากระเด็นลอยออกไปกลางประกายไฟร้อนแรง ถูกเฉาหลันชนเหมือนกับถูกค้อนหนักที่มีพลังสายฟ้าหมื่นชั่งฟาดใส่ กายและจิตแตกสลาย ผิวหนังในชุดหยาบเกิดเสียงแตกหักเหมือนเกราะแตก ต่างพากันกระอักเลือด ลอยขึ้นฟ้าตรอกเล็กไปเหมือนว่าวเชือกขาด
ฝ่ามือเสียดสีกับกระดองเต่า แสงเรืองรองพุ่งออกมา เฉาหลันที่ใช้ร่างกายแบกรับแรงกดดันจากกระดองเต่าไม่หยุดไม่มีพลังบำเพ็ญถาโถมออกมาเลย เขาใช้แค่กายและจิตของตนสู้กับวิชาที่เขาศิลาเต่าภูมิใจที่สุด แขนกางออกไป ฝ่ามือกดไปข้างหน้า ทั่วทั้งตัวถูกแรงปะทะหลายระลอกตอกเอาไว้ ตัวแทบจะแหงนหน้าระนาบไปกับพื้นตรอกเล็ก
ในแสงเรืองรองที่พุ่งออกจากฝ่ามือมีแสงดาราคละปนอยู่ แสงสว่างพุ่งออกไป
กายวิญญาณอมตะเขาศิลาเต่าที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าเคร่งขรึม สองมือประสานมุทราส่งแสงดาราทั้งหมดเข้าไปในกระดองเต่านั้น
ค่ายกลนั้นส่งเสียงร้องดังก่อนจะกดลงมา
เฉาหลันที่ถูกภูเขาเล็กดันให้ล้มลงเอนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ พลันยืนขึ้นได้
ก่อนจะชกหมัดอย่างไม่เกรงกลัว ชกใส่ค่ายกลแสงทองนั้น
หลิงสวินที่ประสานมุทราอยู่ไกลๆ เพ่งสายตามอง
‘บึ้ม’
พายุเพลิงร้อนแผดเผาระเบิดในตรอกเล็ก ผู้บำเพ็ญชุดหยาบขาวแห่งเขาศิลาเต่าบางคนยังลอยอยู่กลางอากาศ ขณะจะตกลงมาก็ต้านกับพลังพายุเพลิง แสงเทพพลิกกลับ แต่ละคนลอยออกไปอีก
ภาพนี้เชื่องช้าและก็ไร้เหตุผล
อึดใจเดียวก็จบลง
เวลากลับมาปกติอีกครั้ง
บุรุษหนุ่มที่ยืนนิ่งยกมุมปากขึ้น ผ้าใต้งอบถูกลมพัดลอยขึ้นและตกลงมาช้าๆ กลับมาปิดใบหน้าและกลิ่นอายพลังอีกครั้ง
เขาเดินออกมาจากควันดำ ในมือเล่นกระดองเต่าสีดำ คลื่นลมร้อนระอุวนเวียนกระดองเต่ากลางฝ่ามือ เกิดหมอกควันสีขาวขึ้น
เขาเอานิ้วลูบเปลือกกระดองกลม ดูเหมือนไม่ได้สนใจเท่าไร แต่หลังเล่นเสร็จแล้วก็อุทานเบาๆ
เฉาหลันมองผ่านผ้าปิดหน้าเก่าแก่ เอ่ยช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเจอตะพาบแก่ที่ฝึกบำเพ็ญมาพันปีในป่าเขาแดนอุดร ผู้บำเพ็ญเผ่าปีศาจพวกนั้น ฝึกบำเพ็ญพันปีเพียงเพื่อโอกาสกลายร่าง เพื่อให้ตัวเองได้กำเนิดร่างมนุษย์ ตะพาบแก่นั่นอยู่ในต้าสุยนับว่ามีอายุยืนยาวมาก แต่หากโยนในก้นทะเลพลิกผัน ก็เป็นเพียงสามัญชน ก่อนเจอคุณชายหยวนฉุน ข้าลองทุบกระดองเต่ามันแล้ว พบว่าด้วยกำลังของข้า ยังทำอะไรเต่าแก่นั่นไม่ได้ ตะพาบพันปีเต่าแก่แปดหมื่นปี เจ้านั่นเหมือนภูเขาเล็ก ตากลมตากแดน ฟ้าผ่ายังไม่เป็นไร”
หลิงสวินหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าบุรุษคนนี้จะสื่ออะไรกันแน่
“ข้าออกจากต้าสุยเดินทางไปแดนอุดรแล้วก็ขึ้นเหนือไปอีก ฝึกแค่ร่างกายเพียงเพื่อพิสูจน์กับใต้ฟ้านี้ว่าข้าเฉาหลัน เป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี” น้ำเสียงเขาราบเรียบ มือนั้นที่บีบกระดองเต่าไม่มีความอ่อนโยนอีก แต่ออกแรงขึ้นเล็กน้อย “คนเขาเชียง คนเขาลั่วเจีย จะต้องแพ้ให้กับข้า”
หลิวสวินเพ่งมอง เขาได้ยินเสียงแตกดัง ‘กึก’ เบาๆ
นี่เป็นสมบัติที่อาจารย์มอบให้เขา ไม่ถือว่ามีระดับสูงนัก แต่ในขอบเขตที่สิบ ไม่มีพลังใดทำให้มันเสียหายได้แม้แต่น้อย…จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำลาย!
ศาสตร์ที่แกร่งที่สุดของเขาศิลาเต่าคือกายจิตกับการป้องกัน
“ข้าปิดล้อมตะพาบใหญ่นั่นในแดนอุดร สู้กันตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน” น้ำเสียงเฉาหลันเปลี่ยนเป็นเฉยชา กลิ่นอายพลังรอบตัวเขาเหมือนจะเปลี่ยนไป อากาศถูกพายุเพลิงเผาจนบิดรูป ชุดคลุมทั้งตัวเขาพลิ้วไหวไปตามคลื่นลมร้อน เหมือนเงาที่จะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
“ต่อมาข้าก็พบว่า ตะพาบแก่ที่เหมือนตายไปแล้วนั่นตายแล้วจริงๆ กระบี่ทะลุกระดองเต่า วิญญาณแตกสลาย ข้าไปมาทั่วทั้งภูเขาใหญ่ เจอร่างตะพาบแก่หลายสิบร่าง กระดองเต่ายังอยู่ แต่วิญญาณดับสูญไปแล้ว” เฉาหลันมีน้ำเสียงโกรธอยู่ลับๆ “คุณชายหยวนฉุนบอกข้าว่าเคยมีคนไปป่าตะพาบโบราณนั่น…หญิงคลั่งแห่งเขาลั่วเจียไปถึงก่อนหน้าข้า ใช้ปราณกระบี่ทำลายจิตวิญญาณ สังหารยอดปีศาจที่นั่นลงทั้งหมด”
“ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำไปจึงไม่มีความหมายเลย นางแย่งป่าตะพาบโบราณนั่นไปก่อน ตอนนี้เจ้ายังจะแย่งจวนนี้ไปอีก เจ้าว่า…ข้าควรโกรธหรือไม่” ผ้าปิดหน้าแดงเพลิงของเฉาหลันเกิดเชื้อไฟสีแดงครามขึ้นตามเสียงหายใจหนักหน่วงของเขา มันวนเวียนพุ่งออกไปเหมือนมังกรแดงเพลิงคึกคัก หายใจเข้าออก บินออกไปชั่วครู่ก็สลายหายไป ไม่เหลือร่องรอย
เฉาหลันยกแขนขึ้น คลายฝ่ามือที่บีบแน่นออกช้าๆ
กระดองเต่านั้นกลายเป็นผุยผง ลอยหายไปตามสายลม
ร่างเงาเหยียดตรงหน้าหลิงสวินพลันหายวับไป ก่อนจะมีเสียงระเบิดอากาศดังขึ้นข้างหู เพียงชั่วพริบตาเดียว เฉาหลันก็มาอยู่ตรงหน้าเขา
หัวเข่าเรียบง่ายที่มีแรงปะทะมหาศาลแทงใส่ท้องของกายวิญญาณอมตะเขาศิลาเต่า หลิงสวินเอาสองมือซ้อนกันต้านการโจมตีนี้ไว้ ฝ่ามือกลับเกิดเสียงดัง ‘กรุบ’ กังวาน
หลิงสวินที่เงยหน้าขึ้นเหงื่อไหลเต็มหน้าผากคำรามเสียงดัง เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ เขาสั่นไหล่เล็กน้อย พลังเลือดลมข้างหลังเหมือนกับมหาสมุทร รวมออกมาเป็นเกราะแสงดาราสีฟ้า
เฉาหลันมีแววตาเย็นชา
เขายังคงนิ่งเฉย ไม่ใช้แสงดาราของขอบเขตที่สิบเลย เพียงแค่ใช้พลังเลือดลมและกายจิตของตนกดดันอีกฝ่าย อีกทั้งยังทำซ้ำเหมือนกับก่อนหน้านี้อีก
แทงเข่าครั้งที่สอง
ครั้งนี้เขาเพิ่มแรงขึ้นอีก ‘เล็กน้อย’ ทั้งยังปล่อยให้หลิงสวินซ้อนมือมากันต่อ ก่อนจะแทงเข่าใส่ฝ่ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่ยังกันไว้แน่นหนา
เกิดเสียงดังปัง การแทงเข่าครั้งนี้ทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าก้มตัวลง ใบหน้าซีดขาว กระอักเลือดออกมาคำใหญ่
ชุดเกราะที่คลุมรอบตัวหลิงสวินเหมือนกับหิมะที่กองบนต้นไม้พันปี ถูกทุบตีจนแตก กระจายออกไปดุจนกยูงรำแพนหาง
เฉาหลันใช้มือข้างหนึ่งกดหลังคอหลิงสวิน กดลงสบายๆ ก็กดทั้งศีรษะลงได้
พื้นดินยุบลงไป แผ่นหินครามทั้งตรอกเล็กเกิดเสียงระเบิดดังน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยที่นั่งยองบนชายคาบ้านได้ยินเสียงหนักแน่นนี้แล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไป เนื่องจากสัมพันธ์อันดีกับเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา เขาจึงทำใจดูการต่อสู้ที่รู้ผลอยู่แล้วไม่ได้ จะได้ไม่เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของกายวิญญาณอมตะเขาศิลาเต่าในใจตนเอง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาอยากรู้ว่าระหว่างหลิงสวินที่ออกมาจากหุบเขานิรันดร์กับอันดับสามรุ่นเยาว์ต้าสุย จะต่างกันเพียงใด
ดังนั้นถึงได้กลั้นใจตั้งสมาธิ
เดิมทีเขาคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ อย่างน้อยสองฝ่ายต้องสู้กับสิบกระบวนท่า ราวเกือบครึ่งก้านธูป
แต่ไม่นึกเลยว่าเฉาหลันจะพูดไปสู้ไป ใช้เวลาไปทั้งหมดแค่ยี่สิบลมหายใจ
คำพูดในนั้นก็กินเวลาไปสิบห้าลมหายใจแล้ว
กระทั่งยังมากกว่านี้อีกหน่อย
การออกมือที่แท้จริงเรียบง่ายที่สุด แทงเข่าสองครั้ง กดฝ่ามือครั้งเดียว บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าแดนบูรพาที่เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือเมืองหลวงก็ลงไปนอนกับพื้น ดวงตาเหม่อลอย ลมหายใจอ่อนแรง
เฉาหลันเอามือกระชากเส้นผมอีกฝ่าย นั่งยองลงกับพื้น มองบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าที่ลมหายใจรวยรินด้วยความสนอกสนใจ
เลือดเหนียวข้นไหลมาจากหน้าผากหลิงสวิน รวมกันและหยดลงพื้นทีละหยด
ประกายในดวงตาหลิงสวินพร่ามัวทีละนิด ความเจ็บปวดทางกายไม่เท่าไรเลย ในแววตาเขามีแต่ความสับสนและดิ้นรน
เสียงบุรุษข้างบนดังแว่วมา
“ข้าไม่ได้รังแกเจ้า เจ้ามีขอบเขตพลังเท่าไร ข้าก็เท่านั้น…แน่นอน ข้าไม่ได้ใช้แสงดาราด้วย” เฉาหลันนิ่งไปก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “เจ้าไม่ต้องท้อแท้และไม่ต้องเสียใจไป ต่อให้ผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกันทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาพวกเจ้ามาพร้อมกัน ขอแค่ตัวประหลาดแห่งที่พำนักเทพนั่นไม่มา ข้าก็ไม่ต้องใช้แสงดารากับวิชาลับเหมือนกัน”
เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง คลึงระหว่างคิ้วก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอไม่พูดถึงการหลอมกายแล้วกัน ทำนองมหามรรคของข้าถึงหกชั้นฟ้าแล้ว ไร้พ่ายในขอบเขตที่สิบในความหมายแท้จริง ข้าสวมงอบนี้ที่คุณชายหยวนฉุนให้ข้าก็เพื่อกดพลังบำเพ็ญ ไม่ให้ออกจากขอบเขตที่สิบเร็วเกินไป…ความจริง ข้าอยากสู้กับลั่วฉางเซิงในขอบเขตที่สิบสมบูรณ์มาก ดูว่าใครจะแกร่งกว่ากัน”
หลิงสวินหน้าซีดขาว แม้จะมีสีหน้าเจ็บปวดแต่ก็มีความเข้าใจ
มิน่าก่อนออกจากภูเขา อาจารย์ถึงกำชับนักหนาว่าถ้าเจอเฉาหลันกับเยี่ยหงฝูก็ให้เดินอ้อมไป อย่าได้สู้ตัดสิน
ที่แท้เขา…ต่างกับพวกเขามากขนาดนี้เชียว
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ฆ่าเจ้าไปจะสร้างปัญหาใหญ่ให้ข้าเลยล่ะ” เฉาหลันเอามือข้างหนึ่งกดงอบ ปล่อยมือนั้นที่จับศีรษะหลิงสวิน ก่อนยืนขึ้นช้าๆ ปากพูดพึมพำ “ต่อให้คุณชายหยวนฉุนจะยอมให้ข้าปราบเขาศิลาเต่า ข้าก็ไม่อยากติดค้างน้ำใจตรงนี้…ข้ามาที่นี่ เพียงเพื่อทำปณิธานก่อนตายให้สำเร็จสองข้อ”
“เจ้านอนอยู่ตรงนี้เฉยๆ เถอะ รอข้าเข้าไปเยือนจวนนั่น” เฉาหลันยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่จวนนั้น
“หลิงสวิน ข้ารับรองกับเจ้าได้ว่าหากเจ้าของจวนขุนนางรองท่องกระบี่นั่นเป็นเพียงผู้บำเพ็ญที่มีดีแค่ชื่อ ข้าจะให้เขาได้มีจุดจบน่าเวทนา”
บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าที่นอนหมอบบนพื้นส่งเสียงร้องในลำคอ เงยหน้าขึ้น สายตาพร่าเลือนแล้ว
บุรุษชุดแดงคนนั้นเดินมาถึงหน้าประตูจวน
เฉาหลันเคาะประตู
……………………..