ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 164 ชารสขม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 164 ชารสขม

เว่ยหานค่อยๆ ลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าไปหาบุตรสาวของท่านแล้ว”

บุตรสาวของท่าน?

แม่ทัพใหญ่ลั่วปวดศีรษะตุบๆ

เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่านั่นคือบุตรสาวข้า เหตุใดจึงนัดพบกันต่อหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดอย่างเปิดเผยเช่นนี้

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น แม่ทัพใหญ่ลั่วคงฆ่าเขาตายไปแล้ว ทว่าคนๆ นี้ดันเป็นไคหยางอ๋องนี่สิ

แม่ทัพใหญ่ลั่วข่มอารมณ์โมโหไว้ถามโค่วเอ๋อร์ว่า “คุณหนูของพวกเจ้าเชิญท่านอ๋องไปทำอะไรหรือ”

โค่วเอ๋อร์ยิ้ม “คุณหนูเชิญท่านอ๋องไปดูต้าไป๋เจ้าค่ะ”

ต้าไป๋?

แม่ทัพใหญ่ลั่วหรี่ตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกว่า “ห่านขาวที่เซิงเอ๋อร์เลี้ยงตัวนั้นหรือ”

โค่วเอ๋อร์พยักหน้า

แม่ทัพใหญ่ลั่วค่อยๆ หันไปหาเว่ยหาน ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “ท่านอ๋องจะไปดูห่านหรือ”

เว่ยสีหน้าคงเดิม พูดด้วยความสงบว่า “ในเมื่อบุตรสาวของท่านชวนข้า ข้าไปลองดูก็ไม่เสียหาย”

สิ่งที่เขาไปดูคือห่านหรือ สิ่งที่เขาไปดูคือยารักษาโรคชั้นดีต่างหาก

แม่ทัพใหญ่ลั่วเงียบ คิดในใจว่า เป็นถึงท่านอ๋องมาถึงจวนอ๋องเพื่อดูห่านขาวที่ลูกสาวเลี้ยง นะ… นี่มันคนอะไรกัน

“แม่ทัพใหญ่ลั่ว ข้าขอตัวก่อน”

“อืม…” แม่ทัพใหญ่ลั่วตอบอย่างงงงวย เขามองส่งเว่ยหานจากไปด้วยอารมณ์ซับซ้อนยิ่งนัก

จนเมื่อน้ำชาที่วางไว้บนโต๊ะเย็นชืดแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วเพิ่งตั้งสติกลับมาได้

ไม่ได้ เขาต้องตามไปดูเสียหน่อย

เมื่อเดินไปถึงในสวน แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เปลี่ยนใจ

ไม่ไปดีกว่า นานๆ ทีเซิงเอ๋อร์จะชวนชายหนุ่มมาที่จวนอย่างเป็นมิตร ชายหนุ่มเองก็เต็มใจที่จะมาด้วย…

คิดๆ แล้วก็เศร้าใจยิ่งนัก แม่ทัพใหญ่ลั่วอดถอนหายใจไม่ได้

หากเขาตามไปคงไม่เหมาะสม แต่เขาส่งพวกอิงเอ๋อร์ไปดูได้นี่

แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบสั่งลูกน้องไปเชิญคุณหนูทั้งสามมา

ผ่านไปเพียงไม่นาน สามพี่น้องตระกูลลั่วก็คารวะแม่ทัพใหญ่อย่างพร้อมเพรียง

แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองลูกสาวทั้งสาม กระแอมเบาๆ “พวกเจ้าทำอะไรอยู่ในห้องหรือ”

ลั่วอิงตอบ “ลูกกำลังปักปลอกหมอนเจ้าค่ะ”

ปักปลอกหมอน?

ทันทีที่แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ปักปลอกหมอนทำไมหรือ หญิงปักผ้าในจวนฝีมือดีมิใช่หรือ”

เขาจำได้ว่ามีหญิงปักผ้าคนหนึ่งเชิญมาจากทางใต้ นางมีชื่อเสียงที่นั่นมาก

ลั่วอิงแก้มแดง ไม่ได้พูดอะไร

ลั่วเย่ว์ยิ้มพูดว่า “ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือ พี่ใหญ่จะแต่งงานแล้ว กำลังปักสินเดิมเจ้าค่ะ”

“น้องสี่…” ลั่วอิงมองค้อนลั่วเย่ว์

แม่ทัพใหญ่ลั่วตระหนักได้ว่า “ใช่แล้ว อิงเอ๋อร์จะออกเรือนแล้ว”

สายตาที่เขามองลั่วอิงกลายเป็นสายตาเปี่ยมรักไร้ที่เปรียบ ความรู้สึกมากมายผุดขึ้นมา

ไม่ง่ายเลยจริงๆ ในที่สุดก็มีลูกสาวคนหนึ่งจะออกเรือนแล้ว

“ปักเองอย่างสองอย่างก็พอแล้ว ที่เหลือให้หญิงปักผ้าทำเถอะ”

ลั่วอิงตอบตกลง

“พวกเจ้าสองคนเล่า”

“ลูกกำลังซ้อมกู่ฉินเจ้าค่ะ” ลั่วฉิงตอบ

ลั่วเย่ว์ยิ้มพูดว่า “ลูกกำลังเตะลูกขนไก่เจ้าค่ะ”

ล้วนว่าง่ายนัก

แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกปลื้มใจ พูดว่า “พวกเจ้าสามคนอย่าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวน ว่างๆ ไปเดินดูร้านขายเครื่องเงินก็ได้…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ใช่แล้ว เซิงเอ๋อร์เปิดหอสุราที่ถนนชิงซิ่ง พวกเจ้ารู้หรือไม่”

ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน “ลูกรู้เจ้าค่ะ”

“รู้หรอกหรือ…” แม่ทัพใหญ่ลั่วลูบเคราสั้นๆ ของเขา รู้สึกประหลาดใจ

เขาคิดว่าลูกสาวทั้งสามจะไม่รู้เสียอีก

“เช่นนั้นพวกเจ้าลองไปชิมดู อร่อยมากเลย”

ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ลั่ว พี่น้องทั้งสามล้วนซื่อสัตย์ พวกนางพูดพร้อมกันว่า “เคยชิมแล้วเจ้าค่ะ”

เคย… ชิม… แล้ว?

ครานี้แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น ยังถามเสียงดังขึ้นว่า “ไปชิมมาเมื่อไร พวกเจ้าไปด้วยกันทั้งสามคนหรือ”

พี่น้องทั้งสามมองหน้ากันไปมา ลั่วอิงก้าวออกมาข้างหน้า

“หอสุราเพิ่งเปิดไม่นานก็ได้ยินน้องสามกล่าวถึง เราก็เลยไปกินด้วยกัน หลังจากนั้นยังได้ไปกินอีกสองสามครั้งเจ้าค่ะ…”

ไปมาสองสามครั้ง?

แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกจุกในใจ

เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนเคยไปมาหมดแล้วนะ

ส่วนเขา เพิ่งไปกินเมื่อคืนเป็นครั้งแรก!

สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดคือเซิงเอ๋อร์ไม่เก็บเงินเขา ต่อไปหากจะไปอีกคงลำบากใจ ถึงอย่างไรห่อกลับมากินรสชาติก็สู้กินที่ร้านไม่ได้

ช่างเถอะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า

“วันนี้เซิงเอ๋อร์มีแขกมา บอกว่ามาดูต้าไป๋ที่นางเลี้ยง พวกเจ้าก็ลองไปดูเถอะ”

พี่น้องทั้งสามมองหน้ากันไปมา

สิ่งที่ท่านพ่อเสนอแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ ให้พวกนางไปดูแขกหรือไปดูต้าไป๋

สุดท้ายยังคงเป็นลั่วอิงที่ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าแขกคือผู้ใดหรือเจ้าคะ”

“เอ่อ ไคหยางอ๋อง” แม่ทัพใหญ่ลั่วตอบ

พี่น้องทั้งสามชะงัก ไม่มีใครพูดอะไร

“รีบไปเถอะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วโบกมือ บอกให้ลูกๆ ออกไป

เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับลูกสาวที่บอบบางและอ่อนโยนเท่าไรนัก

เมื่อออกจากประตูไปแล้ว ลั่วอิงก็หยุดลง

“น้องทั้งสองไปเถอะ ข้ายังเหลือดอกไม้อีกหนึ่งดอกยังไม่ได้ปัก” ลั่วอิงพูดเสร็จก้าวเท้าเดินจากไป

ลั่วฉิงยิ้มให้ลั่วเย่ว์อย่างอ่อนโยน “น้องสี่ไปดูเถอะ ข้ายังเล่นกู่ฉินไม่คล่องเลย อาจารย์จะสอบแล้วด้วย”

“พี่รอง…” เมื่อเห็นลั่วฉิงเดินจากไปเช่นนี้ ลั่วเย่ว์ก็กระตุกมุมปากอย่างจนปัญญา

พี่ทั้งสองหนีไปเร็วจริงๆ คิดว่านางจะไปอีกหรือ

นางกลับไปเตะลูกขนไก่ต่อดีกว่า อย่างน้อยก็ได้ออกกำลังกาย ไปยุ่งเรื่องพี่สามทำไม

ชายหนุ่มดูดีหรือว่าห่านดูดีกัน

แม้จะดูดีทั้งสองก็ไม่ใช่ของๆ นาง มีอะไรน่าดูกัน

ลั่วเย่ว์กลับห้องไปอย่างว่องไว

ส่วนคำสั่งของท่านพ่อนั้น… ท่านพ่องานยุ่ง ผ่านไปไม่นานก็คงลืมแล้ว

เว่ยหานถูกโค่วเอ๋อร์พาเข้าเรือนเสียนอวิ๋น ไม่ได้หยุดรอที่เรือนรับรอง แต่เดินไปยังเรือนตะวันตกผ่านประตูโค้ง

ต้นไม้ต้นใหญ่ในสวนแผ่กิ่งก้านและให้ร่มเงา ร่างในชุดสีเรียบข้างโต๊ะหินดูเกียจคร้านเล็กน้อย

เว่ยหานหยุดเดินและเรียก “คุณหนูลั่ว”

ลั่วเซิงลุกขึ้น ยิ้มถามว่า “ท่านอ๋องดื่มชากับท่านพ่อข้าเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”

“เสร็จแล้ว” เว่ยหานเดินเข้าไป กวาดตามองไปรอบสวน

ไม่เห็นเงาของห่านขาวตัวนั้น

“สือเยี่ยนพวกเขาพาต้าไป๋ไปเดินย่อยที่สวนดอกไม้แล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงอธิบาย รินน้ำชาให้เว่ยหานจอกหนึ่ง “ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่”

แค่ห่านตัวหนึ่งยังต้องให้คนเดินเล่นเป็นเพื่อนที่สวนดอกไม้ด้วยหรือ

เว่ยหานจิบชาคำหนึ่งเงียบๆ

ชาหอมมีเอกลักษณ์ รสฝาดเล็กน้อย

ถัดจากกาน้ำชาศิลาดลเป็นจานลายครามที่มีขนมสี่สีวางอยู่บนนั้น

สีเขียว สีม่วงอ่อน สีเหลืองนวล สีชมพูดอ่อน สีสันน่าทาน แต่หน้าตากลับเรียบง่าย มันเป็นขนมอบชิ้นกลมและอวบ

ราวกับว่าแค่จิ้มก็จะมีไส้หวานๆ ไหลออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าสอดไส้อะไร

ขนมอบเหล่านี้ ไม่เคยเห็นในหอสุราเลย

เว่ยหานดื่มชาอย่างสำรวม ความคิดเหล่านี้แวบขึ้นมา

ลั่วเซิงดันจานขนมอบไปข้างหน้าเว่ยหานเบาๆ พูดอย่างเกรงใจว่า “ท่านอ๋องลองทานขนมอบ ทานกับชากำลังดี”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ค่อยชอบของหวาน” เว่ยหานปฎิเสธอย่างอ้อมค้อม

“อย่างนี้นี่เอง” ลั่วเซิงดึงจานกลับมา หยิบขนมอบสีเขียวชิ้นหนึ่งขึ้นมา “เช่นนั้นข้ากินแล้วนะเจ้าคะ”

ขนมอบสีเขียวถูกกัดออก กลิ่นเปรี้ยวอมหวานจางๆ โชยมา เผยให้เห็นไส้สีน้ำตาลอมเหลืองข้างใน

ลั่วเซิงทานขนมอบ เช็ดมุมปาก ยิ้มพูดว่า ”ข้างในใส่บ๊วยกวนเล็กน้อย กินแล้วจึงไม่รู้สึกเลี่ยนมาก”

เมื่ออธิบายเสร็จ นางก็หยิบขนมอบสีชมพูอ่อนอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา

ปลายนิ้วเรียวขาวจนแทบจะโปร่งใส ทำให้ขนมอบสีชมพูน่ามองอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความน่าอร่อยของขนมชิ้นนี้

เว่ยหานดื่มชารสขมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ในที่สุดก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากประตูโค้ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท