ตอนที่ 323 ลูกพี่ลูกน้อง
“เจ้าหมายความว่าให้ข้ากล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนี้เอาไว้ ยอมจำนนต่อเซียวอี้? เจ้าบังอาจ!”
“พระพันปีโปรดทรงอภัย พระพันปีโปรดทรงอภัย!”
เหมาเส้าเจี้้ยนก้มกราบหลายครั้งติดต่อกัน
“กระหม่อมล้วนทำเพื่อพระพันปี! ชีวิตของเซียวอี้ไม่คู่ควรที่พระองค์จะต้องสิ้นเปลืองความคิดเช่นนี้ เรื่องสำคัญในเวลานี้คือสร้างความมั่นคงและดูแลภาพรวมของราชสำนักแทนฝ่าบาท สืบคดีระเบิดสำนักอาวุธให้กระจ่าง รีบจัดการราชวงศ์อูเหิง จัดการโจรกบฏที่อาละวาดไม่หยุดหย่อน ขอพระพันปีทรงคำนึงถึงเรื่องสำคัญไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีเถาหัวเราะเสียงเย็น “ภาพรวมที่ว่าทำให้ข้าต้องอดทนต่อความยโสโอหังของเซียวอี้ อีกทั้งยังต้องถูกเขาบังคับ พระพันปีอย่างข้าจะมีความหมายอย่างไร”
เพล้ง!
นางเขวี้ยงถ้วยชาในมือแตก
นางจ้องมองเหมาเส้าเจี้้ยนอย่างดุร้าย “ข้าคิดไม่ตกว่าเซียวอี้เกี่ยวข้องกับภาพรวมของราชสำนักอย่างไร เขาเป็นคนที่ไร้ซึ่งความสำคัญ มีคุณสมบัติใดส่งผลกระทบต่อภาพรวมของราชสำนัก ข้ากำจัดเขาเหมือนเหยียบมดตัวหนึ่งตาย สุดท้ายเจ้ากลับเกลี้ยกล่อมให้ข้าอย่าเหยียบมดตัวนี้ มดตัวน้อยจะส่งผลกระทบต่อฝูงหมาป่าใหญ่ ช่างเหลวไหลสิ้นดี! เขามีความสามารถที่ยิ่งใหญ่เพียงใดในการส่งผลกระทบต่อราชสำนัก”
“ทูลพระพันปี เซียวอี้อาจไม่มีผลกระทบต่อราชสำนักก็จริง แต่เขาจะกลายเป็นปัจจัยที่ไม่อาจคาดเดาได้ หาก กระหม่อมบอกว่าหาก เขาแอบลอบเข้าเมืองหลวงมาสังหารคนตระกูลเถาจริง ผลที่ตามมายากเกินจินตนาการ! พระองค์คงไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นไม่ใช่หรือ!”
เหมาเส้าเจี้้ยนสงบลงอย่างช้าๆ
ความจริงแล้ว นับแต่ก้าวเท้าเข้ามาในวังหลวง เขาก็สงบตลอดมา
ทุกคำพูด ทุกเหตุการณ์ล้วนฉายวนอยู่ในหัวของเขาหลายต่อหลายครั้ง
เขาจงรักภักดีต่อพระพันปีเถา เขาอยากปรนนิบัติรับใช้พระพันปีเถาต่อไป
ต้องการกำจัดเซียวอี้โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย เพียงแค่ส่งองครักษ์จินอู่และราชองครักษ์ออกไปย่อมสามารถกำจัดเขาได้
เพียงแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น ผู้ใดจะรับผิดชอบ
ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดของเมืองหลวง กองทัพเหนือยังอยู่นอกเมือง กองทัพใต้ก็ยังอยู่ในมือของเซียวอี้ จะทำตามอำเภอใจได้หรือ
เมืองหลวงจะขาดองครักษ์จินอู่กับราชองครักษ์ไม่ได้
ไม่อาจทำให้เมืองหลวงตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะเซียวอี้คนเดียว
อย่างน้อยก็ต้องรอให้ราชสำนักเรียกคืนอำนาจทางการทหารของกองทัพใต้ รอกองทัพเหนือกลับมาถึงเมืองหลวง จากนั้นค่อยจัดการเซียวอี้ก็ยังไม่สาย
เหมาเส้าเจี้้ยนอธิบายถึงข้อดีและข้อเสีย พยายามเกลี้ยกล่อมพระพันปีเถา
พระพันปีเถายิ่งฟังยิ่งโกรธ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเหมาเส้าเจี้้ยนพูดมีเหตุผล
หากบอกว่าเซียวอี้เป็นบุคคลไม่สำคัญคงจะไม่ใช่
ในมือเขาครอบครองกองทัพใต้ ลับหลังยังแอบมีกองกำลังส่วนตัว
ไร้ครอบครัว ดูเหมือนจะไม่มีจุดอ่อน
หากกำจัดคนหลายร้อยชีวิตในจวนท่านอ๋องตงผิงจนหมด เซียวอี้จะทำอย่างไร
เขาจะแก้แค้น
หากคาดหวังให้เขาบ้าคลั่ง เสียสติเพราะความละอายใจต่อการตายของคนในตระกูลจนปลิดชีพตนเองคงจะเป็นแค่ฝัน
คนที่เย็นชาแต่กำเนิดย่อมเป็นคนที่โหดเหี้ยมแต่กำเนิด
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน พระพันปีเถาจึงถอนหายใจออกมา
แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่นางไม่ใช่หญิงสาวอายุยี่สิบ นางรู้ว่าควรจะคำนึงถึงผลดีผลเสียอย่างไร นางรู้ว่าควรคำนึงถึงภาพรวมอย่างไร
นางจ้องมองเหมาเส้าเจี้้ยน “เจ้ามั่นใจว่าเซียวอี้จะยอมคืนอำนาจทางการทหารของกองทัพใต้แต่โดยดี”
“กระหม่อมดูท่าทางของเขาไม่เหมือนเสแสร้ง อีกทั้งฟังจากที่เขาพูด เขาต้องการให้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นผู้เดินทางไปถ่ายทอดพระราชโองการในค่ายทหารเพื่อรับมอบกองทัพใต้เอง”
“อย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้เสียจริงว่าเขาจะมีเวลาที่เชื่อฟังเช่นนี้ด้วย”
“พระพันปีทรงหมายความว่า?”
พระพันปีเถายิ้มเย็น “เขาต้องการความสง่าผ่าเผย ข้าจะทำตามความปรารถนาของเขา ข้าอดทนกับเขามาหลายปีแล้ว อดทนอีกหลายปีก็ไม่เป็นปัญหา”
พระพันปีเถากัดฟันกรอด รอกองทัพเหนือกลับมาถึงเมืองหลวงก่อน นางจะฉีกเซียวอี้ออกเป็นชิ้นๆ สับเขาให้ละเอียดนำไปเลี้ยงสุนัข
พระพันปีเถาที่คิดได้แล้วเด็ดเดี่ยวและว่องไวอย่างมาก
นางยอมรับอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ว่ากำจัดเซียวอี้ไม่สำเร็จ
จากนั้นเชิญเซียวเฉิงอี้ออกพระราชโองการเรียกคืนอำนาจทางการทหาร
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้ว “เสด็จแม่ทรงมั่นใจว่าจะได้ผลหรือ ให้ข้าส่งราชองครักษ์มุ่งหน้าไปยังที่ปักหลักของกองทัพใต้ บังคับให้เซียวอี้ส่งคืนอำนาจทางการทหารดีกว่าหรือไม่”
“ไม่อาจใช้ราชองครักษ์ได้ การเฝ้าระวังของเมืองหลวงอ่อนแอ ไม่ว่าอย่างไรราชองครักษ์จะออกจากเมืองหลวงในเวลานี้ไม่ได้ บางทีจุดประสงค์ของเซียวอี้ก็คือการหลอกล่อราชองครักษ์ออกจากเมืองหลวง อย่าได้หลงกลเขาเป็นอันขาด”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ครุ่นคิดอยู่สักพัก “เสด็จแม่ทรงพูดมีเหตุผล เวลานี้ราชองครักษ์ไม่เหมาะสมที่จะออกจากเมืองหลวงจริง เพียงแต่ข้ากังวลว่าเซียวอี้จะไม่ยอมส่งคืนอำนาจทางการทหารง่ายๆ”
พระพันปีเถากลับพูดขึ้นทันที “ส่งหลิงฉางจื้อเดินทางไปยังค่ายใหญ่กองทัพใต้ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเซียวอี้ ข้าไม่เชื่อว่าเซียวอี้จะบ้าคลั่งจนสังหารลูกพี่ลูกน้องของตนเองได้ นอกจากนี้หลิงฉางจื้อไม่ใช่บัณฑิตผู้อ่อนแอ เขาเป็นบุตรชายคนโตตระกูลหลิง ร่ำเรียนทั้งบุ๋นทั้งบู๊ เขาเป็นผู้มีความสามารถที่หาได้น้อย”
“เสด็จแม่ทรงหมายความว่าให้หลิงฉางจื้อรับมือกองทัพใต้ต่อ?”
“สามารถให้เขานำทัพชั่วคราว เพื่อจัดระเบียบกองทัพใหม่”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้อเสนอของเสด็จแม่ ข้าคัดค้าน หลิงฉางจื้อกำเนิดจากตระกูลขุนนาง เขาสามารถเดินทางไปถ่ายทอดพระราชโองการที่กองทัพใต้ได้ แต่เขาไม่อาจนำทัพได้”
“ความกังวลของฝ่าบาทมีเหตุผล เรื่องนี้เป็นไปตามที่ฝ่าบาททรงคิด”
พระพันปีเถาถอยหนึ่งก้าว
เซียวเฉิงอี้หัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาโล่งใจ
เขาก็ไม่อยากเกิดการปะทะกับเสด็จแม่
เสด็จแม่ทรงยอมถอยหนึ่งก้าว ดีมาก!
…
เมื่อเห็นเฟ่ยกงกงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด เซียวเฉิงเหวินเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามขึ้น “แพ้หรือ”
เฟ่ยกงกงละอายอย่างมาก “กระหม่อมละอายต่อท่านอ๋อง ทรยศต่อความคาดหวังของท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องลงโทษ!”
“มีโทษอันใดกัน! ฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้ พ่ายแพ้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ออกไปล้างตัวให้สะอาดค่อยมารายงาน”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!”
เฟ่ยกงกงคุกเข่าก้มกราบด้วยความซาบซึ้ง
ห้องตำราจึงเหลือเพียงเซียวเฉิงเหวินคนเดียว
เขาหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววเสียดสี
เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าดูถูกเจ้าเกินไป คนมากมายฆ่าเจ้ายังฆ่าเจ้าไม่ตาย! ดวงแข็งเสียจริง!”
‘เจ้า’ ที่เอ่ยออกมาย่อมหมายถึงเซียวอี้
เขาอยากฆ่าเซียวอี้ อยากมานานมากแล้ว!
ลงมืออย่างเป็นทางการครั้งแรก ไม่คิดว่าจะรอดกลับมาเพียงคนเดียว
องครักษ์คนอื่นล้วนสูญเสียชีวิต
เซียวเฉิงเหวินเคาะโต๊ะเบาๆ “ตาสวี!”
สวีกงกงเดินออกมาจากมุมมืดเหมือนวิญญาณ “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”
“เริ่มใช้งานสายสืบที่แทรกซึมไว้ข้างตัวเซียวอี้ ภารกิจ ประหารเซียวอี้!”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”
แสงในห้องตำราประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง
เซียวเฉิงเหวินมองสวีกงกงที่เลือนรางตรงหน้า พลันถาม “มีเรื่องใดยากหรือไม่”
สวีกงกงเงียบไปสักพัก จึงพูดขึ้น “สายสืบที่แทรกซึมเอาไว้ยังไม่ได้รับความเชื่อใจจากเซียวอี้ในเวลานี้ อยากจะลอบสังหารประชิดตัว มีระดับความยากอย่างมาก ทำได้เพียงหาวิธีอื่น”
“อืม” เซียวเฉิงเหวินส่งเสียง “ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด ข้าต้องการเห็นหัวของเซียวอี้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
สวีกงกงหายไปในมุมลับเหมือนวิญญาณอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาหลบอยู่ที่ใด
…
หลิงฉางจื้อน้อมรับพระราชโองการ มุ่งหน้าไปถ่ายทอดพระราชโองการที่ค่ายใหญ่ของกองทัพใต้
ผู้ที่ติดตามไปยังมีรองหัวหน้าราชองครักษ์ เขาจะรับหน้าที่ของเซียวอี้ต่อ ดูแลกองทัพใต้เป็นการชั่วคราว
จนกว่าฮ่องเต้จะทรงมอบหมายให้ผู้ใดมานำกองทัพใต้
หลิงฉางจื้อไม่อยากพบเซียวอี้ เขาหงุดหงิด
ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เป็นลูกพี่ลูกน้องก็จริง แต่ก็ไม่ได้สนิทกันนัก
เขาสนิทกับเซียวกั้วมากกว่า
เซียวกั้วและเซียวอี้เป็นพี่น้องร่วมมารดากัน แต่นิสัยแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หากบอกว่าเซียวกั้วเป็นคนปกติ เซียวอี้ก็คือคนบ้า จะใช้ตรรกะทั่วไปคาดเดาเขาไม่ได้
คนส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าเซียวอี้เป็นคนแปลก เป็นคนบ้า เป็นคนคลั่ง เป็นคนที่มีแผนการยากที่จะคาดเดา
อย่างไรก็ตาม ระหว่างเขากับคนธรรมดานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขา
“นายน้อยกำลังกังวลเรื่องใด”
หลิงฉางจื้อไม่ปิดบังเขา “ข้ากำลังกังวลว่าหลังจากที่พบกับเซียวอี้แล้ว ข้าจะอดลงมือฆ่าเขาไม่ได้”
คนอย่างเซียวอี้ช่างทำให้คนเกลียดชังได้ง่าย
คนที่อยากฆ่าเขา เกรงว่าเหมือนปลาที่กำลังว่ายข้ามแม่น้ำ
“นายน้อยอย่าได้พูดด้วยอารมณ์โกรธ! เมื่อลองครุ่นคิดดูอย่างละเอียด นายน้อยอี้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็มีข้อดี อย่างน้อยก็หยั่งเชิงเส้นตายของพระพันปีเถาออกมาแทนทุกคน”
หลิงฉางจื้อหัวเราะ “มีเพียงเซียวอี้ที่ไม่สนใจผู้ใดจึงจะบังอาจกระทำเรื่องที่บ้าคลั่งเช่นนี้ เขาตัวคนเดียว ไร้คนที่ต้องกังวล ข้าไม่อาจเทียบกับเขาได้ ข้าต้องคำนึงถึงตระกูล จะทำสิ่งใดอย่างไร้ความเกรงกลัวอย่างเขาได้อย่างไร”
“ตัวคนเดียว ไร้ความเกรงกลัว! เกรงว่าท่านโหวผิงอู่ก็ไม่ได้ควบคุมนายน้อยอี้ได้อย่างแท้จริง”
“ท่านลุงมองเซียวอี้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก สามารถให้เขาทำงานที่อันตรายได้ แต่ไม่สามารถมอบหมายงานสำคัญหรือเชื่อใจได้”
“นายน้อยอี้จะรับพระราชโองการหรือ เขาจะส่งอำนาจทางการทหารคืนหรือ”
“เขาจะทำ! หากเขาไม่ยอมส่งคืนอำนาจทางการทหาร ราชสำนักจะหยุดส่งเสบียง อาวุธและผ้าห่ม กองทัพใต้จะต้องหิวและหนาวตาย นอกเสียจากเขาจะนำทหารทั้งหมดของกองทัพใต้ก่อกบฏ แต่กองทัพใต้เป็นกองทัพของราชสำนัก ทหารส่วนใหญ่ล้วนมีครอบครัว พวกเขาไม่มีทางก่อกบฏตามเซียวอี้ เซียวอี้นอกจากส่งคืนอำนาจทางการทหาร ไม่มีหนทางอื่น”
เมื่อชะงักไปสักพัก หลิงฉางจื้อก็พูดขึ้นอีก “หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่น ไม่เกิดปัญหาใด”
…
หลิงฉางจื้อได้พบกับเซียวอี้อย่างราบรื่น
ไม่มีมือสังหารดักรออยู่ ไม่มีการแอบเฝ้าระวัง ยิ่งไม่มีสัญญาณแห่งการพังทลาย
พี่น้องสองคนพบหน้ากันต่างเปล่งเสียงหัวเราะดัง เผยเสียงหัวเราะที่ดูเหมือน ‘จริงใจ’ และตรงไปตรงมา
เซียวอี้อ้าแขนสองข้างออกด้วยความกระตือรือร้น “พี่ใหญ่ ไม่พบกันนาน! ได้ยินว่าท่านเลื่อนขั้นอีกแล้ว น่ายินดียิ่งนัก! อีกไม่กี่ปี ท่านย่อมสามารถกลายเป็นอาจารหยูแห่งยุคอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าคงต้องอาศัยบารมีท่าน”
หลิงฉางจื้อหัวเราะร่า “น้องชายเกรงใจเกินไปแล้ว! พวกเราเป็นพี่น้องกัน เพียงแค่ข้ามี ย่อมไม่มีทางขาดตกส่วนของเจ้า”
หากคนที่ไม่รู้สถานการณ์เห็นเข้า เกรงว่าจะคิดว่าพี่น้องทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อจนต้องหลั่งน้ำตาให้กับพี่น้องทั้งสองด้วยความซาบซึ้ง
หายากเสียจริง!
หารู้ไม่ว่าทั้งสองต่างมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ
“น้องชาย สาเหตุที่ข้ามา ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ดีอย่างมากแล้ว วันนี้ข้ามาเพื่อถ่ายทอดพระราชโองการของฝ่าบาท”
เซียวอี้เชิญดื่มชา “ดื่มชา ดื่มชา! ท่านพี่คุ้นเคยกับความสบาย ลองชิมใบชาของข้าดู ตอนที่ปราบปรามโจรกบฏ ข้าได้ใบชาหายากมาเล็กน้อย ข้าดื่มแล้วรสชาติไม่เลว แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับใบชาชั้นดีในสวนชาของตระกูลหลิงได้”
“น้องชายถ่อมตนเกินไป! หลายปีนี้เจ้านำกองทัพใต้ทำสงคราม มีความดีความชอบอย่างมาก ราชสำนักติดรางวัลเจ้า เรื่องนี้ข้าจะเรียกร้องให้เจ้า คำโบราณว่าไว้หนึ่งโอรสสวรรค์ หนึ่งขุนนาง ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทำได้เพียงลำบากน้องชายปลดหน้าที่ลงแล้วจากไป”