ตอนที่ 331 ญาติฝ่ายนอก
ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินหลุบตายิ้ม ภายในใจไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“ขอให้เหมากงกงทูลต่อเสด็จแม่ ข้าจะปฏิบัติตามรับสั่งของนาง อยู่ในหน้าที่ของตนเอง ไม่แทรกแซงการเมืองแม้แต่น้อย”
เหมาเส้าเจี้้ยนสังเกตท่าทางของเขา
เพียงแต่ใบหน้าของเซียวเฉิงเหวินไม่มีสีหน้าแม้แต่น้อย เขาไม่มีความสามารถในการสังเกตใบหน้าที่เรียบเฉยได้
เขาพยักหน้า “กระหม่อมจะนำคำพูดของท่านอ๋องทูลต่อพระพันปีตามความจริง ท่านอ๋องพักรักษาร่างกายอย่างวางใจ อย่าได้กังวลมากเกินไปจนทำให้อาการแย่ลง กระหม่อมไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านอ๋องแล้ว ขอตัว!”
“เฟ่ยกงกง ส่งเหมากงกงออกจากจวนแทนข้าที”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวเฉิงเหวินพิงอยู่ที่หัวเตียง ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเฟ่ยกงกงกลับมา
“ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมส่งเหมากงกงออกจากจวนอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม!”
เซียวเฉิงเหวินหันกลับมามองเขา “ข้านอนป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ไม่เคยออกจากจวน ไม่คิดว่าเสด็จแม่ยังคงไม่ไว้ใจข้า หากแต่เป็นฮ่องเต้ที่ไม่กังวลว่าข้าจะแทรกแซงราชสำนักแม้แต่น้อย แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา”
“ท่านอ๋องต้องทำใจให้กว้าง อย่าใส่ใจกับความคิดของผู้อื่น”
“ข้าย่อมไม่สนใจความคิดของผู้อื่น เพียงแค่รู้สึกเจ็บใจ เจ้าสามเป็นฮ่องเต้แล้ว ข้าไม่มีภัยคุกคามต่อเขา เหตุใดเสด็จแม่ยังระแวงข้าอยู่ นางคงจะยกยอข้าเกินไป คิดว่าข้ามีสามหัวหกมือ สามารถแย่งบัลลังก์ไปจากเจ้าสามได้”
เฟ่ยกงกงพูดเสียงเบา “ล้วนเป็นเพราะแต่ก่อนท่านอ๋องแสดงออกอย่างโดดเด่นเกินไปต่อหน้าพระพันปี จนทำให้พระพันปีเกิดความหวาดกลัว ถึงเวลานี้ก็ยังไม่บรรเทาความระแวงที่มีต่อท่านอ๋อง”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะร่า “สุดท้ายแล้วก็เป็นความผิดของข้า ข้าเป็นคนป่วย เหตุใดจึงต้องยุ่งไม่เข้าเรื่องให้เปลืองแรงเพื่อแผ่นดินที่แตกสลายนี้ หากแผ่นดินจะโกลาหลก็ปล่อยให้มันโกลาหลเถิด”
เฮ้อ…
เซียวเฉิงเหวินถอนหายใจ มีความรู้สึกหมดหนทาง
ฤดูหนาวนี้ เขาป่วยจริง หาใช่แกล้งป่วย
ฤดูหนาวนี้หนาวเกินไป ไม่เป็นมิตรกับเขานัก
ร่างกายที่ดีขี้นในเดิมทียิ่งแย่ลงเพราะอากาศที่หนาวเย็น
จนกระทั่งทำให้เขาไม่อาจออกจากจวนได้ ทำได้เพียงนอนอยู่ในห้อง เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับลมหนาวแม้แต่น้อย
เขาก็หมดหนทางอย่างมาก
ร่างกายไม่แข็งแรง ช่างไร้หนทางเสียจริง
เขาไม่ได้ไปพบบุตรสาวเป็นเวลานานเนื่องจากกลัวระบาด ช่างคิดถึงยิ่งนัก
ทำได้เพียงฟังผู้อื่นรายงานสถานการณ์ของบุตรสาวในแต่ละวัน
เฟ่ยกงกงเกลี้ยกล่อมเขา “ร่างกายของท่านอ๋องสำคัญ เรื่องด้านนอกก็อย่าไปสนใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเยาะเย้ย “แม้เวลานี้ข้าอยากสนใจก็ไม่มีปัญญาแล้ว ข้าไร้ซึ่งกำลัง!”
ประชาชนสังหารขุนนางก่อกบฏ แย่งชิงเสบียง ทหารชายแดนขาดแคลนเสื้อผ้าและเสบียง สงครามวิกฤต เขาไม่ร้อนใจหรือ
เขาย่อมร้อนใจ!
แต่เขาก็หมดปัญญา
เหมือนดั่งที่เหมาเส้าเจี้้ยนบอก ในมือของเขาไร้ซึ่งกองกำลังและอำนาจ ไม่อาจควบคุมจุดจบสงครามชายแดนได้
หมดหนทาง!
ทำได้เพียงมองดูบรรดาขุนนางทำโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าพลาดไป
เขาพูดเสียงเบา “หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่แก่แล้ว เลอะเลือนแล้ว ทำงานนับวันยิ่งไม่เป็นระเบียบ อากาศที่หนาวเช่นนี้ เขายังเสนอให้เจ้าสามเกณฑ์แรงงาน ประชาชนก่อกบฏก็ให้กองทัพใต้ไปแย่งชิงเสบียงคืนมาอีก มีแต่แผนการโง่เขลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตำแหน่งของหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนให้คนที่อายุน้อย และมีสติมากกว่าไปนั่งแล้ว”
เฟ่ยกงกงถามเสียงเบา “ไม่รู้ท่านอ๋องอยากให้ผู้ใดรับตำแหน่งของหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ต่อ”
“ความคิดของข้าไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับเจ้าสาม เกรงว่าเขาก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนตำแหน่งของหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ จากสถานการณ์ในเวลานี้ของเขา เขามีความเป็นไปได้ที่จะใช้ญาติฝ่ายนอก”
“ท่านอ๋องบอกว่าฝ่าบาทจะใช้ตระกูลจ้ง?”
เซียวเฉิงเหวินพยักหน้า “ขุนนางราชสำนักไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าสาม ความสามารถของเชื้อพระวงศ์มีจำกัด ช่วยไม่ได้มาก คนตระกูลจ้งเชี่ยวชาญในการบริหารเงิน ไม่เคยเห็นพวกเขาขาดทุนทางการค้า เวลานี้เจ้าสามต้องการเชื้อพระวงศ์ที่เชี่ยวชาญในการบริหารเงินมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ แก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากของสำนักเซ่าฝู่อย่างเร่งด่วน สถานการณ์ในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกว่าคนตระกูลจ้ง”
เฟ่ยกงกงขมวดคิ้ว “แต่ก่อนฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต พระองค์ทรงเน้นย้ำอยู่เสมอว่าต้องกดขี่ตระกูลจ้งและองค์หญิงเฉิงหยาง พระองค์ทรงตักเตือนฝ่าบาท อย่าได้ให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายนอก”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเสียดสี “เวลานี้แตกต่างออกไปแล้ว! ในมือของเจ้าสามไม่มีคนที่เชี่ยวชาญในการบริหารเงินและเป็นเชื้อพระวงศ์ สถานการณ์ในเวลานี้ นอกจากเขาจะใช้งานคนตระกูลจ้งแล้ว ไม่มีทางเลือกที่สอง เวลาไม่คอยคน เขาไม่มีเวลายืดเยื้อต่อไป”
หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะทำหน้าที่ได้
ตระกูลขุนนางที่แข็งกร้าวก็ไม่อาจแทรกแซงสำนักเซ่าฝู่
ตระกูลจ้งเป็นญาติฝ่ายนอก มีสถานะเป็นเชื้อพระวงศ์ อย่างน้อยก็พอจะมีคุณสมบัติในการรับตำแหน่งหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่
ตระกูลจ้งร่ำรวย เชี่ยวชาญในการบริหารเงิน
สินสอดขององค์หญิงเฉิงหยางถูกมอบให้คนตระกูลจ้งบริหาร หลายปีนี้ไม่รู้เพิ่มขึ้นเป็นกี่เท่า
พลังทรัพย์ขององค์หญิงเฉิงหยางมีที่มาเช่นนี้
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ทนทุกข์กับการขาดแคลนเงินและเสบียง ไม่ว่าทำสิ่งใดก็มักจะถูกถ่วงด้วยเงินและเสบียง ดังนั้นเขาจึงต้องการความสามารถในการบริหารเงินของคนตระกูลจ้งอย่างมาก
หวังว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินของคนตระกูลจ้งฟื้นฟูสำนักเซ่าฝู่ ทำให้สำนักเซ่าฝู่กลับมาเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นสำนักราชการที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของแผ่นดินอย่างแท้จริง
หากแต่ไม่ใช่มีเพียงคลังที่ว่างเปล่าจนมีหนูวิ่ง
หากคลังมีเพียงความว่างเปล่า จะยังสามารถเรียกได้ว่าสำนักเซ่าฝู่ที่รวบรวมความร่ำรวยของแผ่นดินได้หรือ
ไม่สมชื่อเอาเสียเลย!
เพียงแต่ ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงเน้นย้ำไม่ให้ใช้งานตระกูลจ้ง ยืนกรานกดขี่องค์หญิงเฉิงหยาง ให้ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้มีความลังเลใจอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งครั้งนี้ เพื่อรวบรวมเสบียง พระพันปีเถาไม่เสียดายที่จะให้คำมั่นสัญญา ‘ปกครองแผ่นดินร่วมกัน’ ทำให้ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก
ในที่สุด เรื่องนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจใช้ญาติฝ่ายนอก
ขันทีใหญ่หลัวเสี่ยวเหนียนเอ่ยเตือนฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้อย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท คำกำชับของฮ่องเต้องค์ก่อนยังคงดังก้องอยู่ในหู คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่น้อย หากฝ่าบาททรงใช้งานตระกูลจ้งโดยพลการ เกรงว่าจะมีคนคัดค้าน”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าอยากบอกว่าพระพันปีจะคัดค้านใช่หรือไม่”
“กระหม่อมไม่กล้า!” หลัวเสี่ยวเหนียนเหงื่อแตก เขารีบยอมรับความผิด
เซียวเฉิงอี้สีหน้าดำทะมึน “ข้าทำสิ่งใดยังต้องได้รับอนุญาตจากพระพันปีก่อนหรือ เสด็จพ่อทรงกดขี่ตระกูลจ้งก็เพียงเพราะเกรงว่าญาติฝ่ายนอกจะขึ้นเป็นใหญ่ แต่สถานการณ์ในเวลานี้ ข้าเต็มใจที่จะให้ญาติฝ่ายนอกขึ้นเป็นใหญ่เสียดีกว่าให้ตระกูลขุนนางควบคุม ญาติฝ่ายนอกมีอำนาจมากยังสามารถช่วยข้าต่อต้านบรรดาขุนนางได้ เหมือนกับตระกูลเถาในตอนนั้น อีกทั้งตระกูลจ้งแข็งแกร่งกว่าตระกูลเถามาก”
ตอนที่ฮ่องเต้หย่งไท่อภิเษกกับพระพันปีเถา พระองค์ทรงเป็นเพียงนายน้อยจวนอ๋อง ไม่เพียงอภิเษกรอบสอง อีกทั้งยังมีลูกติด
ตอนที่เซียวเฉิงอี้อภิเษกกับจ้งซูอวิ้น สถานะของเขาคือองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นการอภิเษกครั้งแรก
ความแตกต่างเห็นได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ตระกูลแม่ยายของสองพ่อลูกย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดูจากแต่ละด้านแล้ว ตระกูลจ้งก็แข็งแกร่งกว่าตระกูลเถา
ไม่ได้แข็งแกร่งเพียงเล็กน้อย หากแต่แข็งแกร่งกว่ามาก
ฮ่องเต้ไท่หนิงคิดจะใช้อิทธิพลของตระกูลจ้งในการควบคุมราชสำนัก รีบจัดการราชวงศ์อูเหิงรวมทั้งโจรกบฏที่อาละวาดอย่างไม่หยุดหย่อนโดยเร็ว
…
เซียวเฉิงอี้เรียกพบพ่อลูกตระกูลจ้ง หลังจากพูดคุยกันเป็นเวลานาน เขายิ่งยืนกรานการตัดสินใจของเขา มั่นใจความคิดของเขา
ในการประชุมท้องพระโรง หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ขอถอนตัวออกจากตำแหน่งเอง
ตามหลักแล้ว เซียวเฉิงอี้ย่อมต้องรั้งเอาไว้
ทั้งจักรพรรดิและขุนนางต่างผลัดกันขอถอนตัวผลัดกันรั้งตัว
จนกระทั่งรอบที่สี่ หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ขอถอนตัวออกจากตำแหน่งอีกครั้ง เซียวเฉิงอี้แสดงสีหน้าเสียดายต่อหน้าบรรดาขุนนาง พลันอนุญาตคำขอของหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ขอถอนตัว ผู้ใดจะรับหน้าที่แทน
มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
เชื้อพระวงศ์ต่างตื่นเต้นอย่างห้ามไม่อยู่
มีคนเสนอตัว มีคนใช้เงิน อีกทั้งยังมีคนทูลขอจากพระพันปีเถา…
ทุกคนต่างต้องการตำแหน่งหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่
บรรดาขุนนางเองก็เช่นเดียวกัน
เสียดายเพียงตำแหน่งนี้ พวกเขาไม่สามารถแตะต้องได้
มันเป็นขอบเขต
ทั้งจักรพรรดิและขุนนางต่างมีความคิดที่ตรงกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจทำลายขอบเขตนี้ได้
หากผู้ใดบังอาจทำลายขอบเขตนี้ อย่าหาว่าไม่ให้เกียรติ
แต่ละคนวุ่นวายมาสักระยะก็ยังไม่มีผล
จนกระทั่งหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่คนก่อนที่ขอถอนตัวถวายฎีกา เสนอให้พระราชบุตรเขยจ้งรับหน้าที่หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย เขาเตรียมออกพระราชโองการ
มาถึงเวลานี้แล้ว หากยังไม่เข้าใจคงไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในสำนักราชการต่อไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่า ฮ่องเต้ร่วมแสดงละครกับหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่
ฮ่องเต้ทรงมีการตัดสินใจอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เขาไม่สะดวกสนับสนุนพระราชบุตรเขยจ้งด้วยตนเอง
แต่หากหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่คนก่อนเสนอคนเอง ปัญหาก็ง่ายขึ้นมาก
นี่เรียกว่าการปฏิบัติอย่างเชื่อฟังของขุนนาง
เพียงแต่ก่อนจะออกพระราชโองการก็ถูกพระพันปีเถาต่อต้านเสียก่อน
พระพันปีเถาหยุดเสแสร้ง นางเริ่มเดินออกจากตำหนักฉางเล่อ
เมื่อนางพบกับเซียวเฉิงอี้จึงถามขึ้นทันที “พระองค์ทรงลืมคำสั่งของฮ่องเต้องค์ก่อนแล้วหรือ พระองค์ทรงลืมสิ่งที่เสด็จพ่อของพระองค์ทรงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วหรือ”
“ข้าย่อมไม่ลืม! เพียงแต่เวลานี้แตกต่างจากแต่ก่อนแล้ว เสด็จแม่โปรดบอกข้า ยังมีผู้ใดเหมาะสมที่จะดูแลสำนักเซ่าฝู่มากกว่าพระราชบุตรเขยจ้ง”
พระพันปีเถาต่อว่าเสียงดัง “ไม่ต้องสนใจว่าพระราชบุตรเขยจ้งมีความสามารถเพียงใด เหมาะสมที่จะดูแลสำนักเซ่าฝู่เพียงใด ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรยกตำแหน่งหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ให้เขา เสด็จพ่อของเจ้าสวรรคตไปเพียงไม่กี่เดือน กระดูกยังไม่ทันเย็น เจ้าก็คิดจะขัดขืนรับสั่งของเขาแล้ว เจ้ากำลังอกตัญญู! แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้าขัดรับสั่งของเสด็จพ่อเจ้า ใช้งานคนตระกูลเถา”
“ตระกูลเถาคือตระกูลเถา ตระกูลจ้งคือตระกูลจ้ง หากให้ภูเขาทองแก่ตระกูลเถา ตระกูลเถาก็สามารถใช้จนหมดสิ้น แต่ตระกูลจ้งแตกต่างกัน หากให้หินกองหนึ่งแก่ตระกูลจ้ง พวกเขาก็มีความสามารถที่จะขายมันในราคาทองคำ คราวนี้ถึงแม้เสด็จแม่จะทรงตำหนิว่าข้าอกตัญญู ข้าก็จะสนับสนุนพ่อลูกตระกูลจ้ง เรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินบ้านเมือง ข้าจะไม่ติดอยู่ในกฎเกณฑ์ ขอเสด็จแม่โปรดทรงอภัย!”
ท่าทีของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้แน่วแน่ ไม่มีท่าทีในการยอมจำนนแม้แต่น้อย
พระพันปีเถาโกรธมาก “ฮ่องเต้จะทรงทำตามอำเภอใจจริงหรือ พระองค์จะทรงใช้ตระกูลจ้งจริงหรือ”
“ใช่!” เซียวเฉิงอี้ตอบอย่างหนักแน่น
สีหน้าของพระพันปีเถาดำทะมึน “เช่นนั้นข้าก็คงทำได้เพียงเชิญผู้อาวุโสของตระกูล เชื้อพระวงศ์…”
“เสด็จแม่!”
เซียวเฉิงอี้พูดขัดพระพันปีเถา
สีหน้าของเขาเศร้าโศก “เสด็จแม่จะบีบต้อนข้าจนจนมุมหรือ เหตุใดตอนนั้นจึงสนับสนุนให้ข้านั่งบนตำแหน่งนี้ แต่เมื่อข้านั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ยอมเชื่อใจข้าให้มากขึ้น เข้าใจข้าให้มากขึ้น
แผ่นดินสั่นคลอน ทุกเรื่องล้วนเป็นแผนการเพื่อผลประโยชน์ ก่อนที่เสด็จพ่อจะทรงเอ่ยให้กดขี่ตระกูลจ้งนั้น กองทัพเหนือยังไม่ได้พ่ายแพ้ ประชาชนก็ยังไม่ได้ก่อกบฏ สำนักเซ่าฝู่ก็ไม่ได้ยากจนเพียงนี้”
———————*************——————–