ในดินแดนแสนภูผาอันแสนมืดมิด เสียงใบไม้กรอบแกรบดังขึ้นไม่หยุดในอากาศ อสูรเวทสุนัขป่าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตัวออกจากพุ่มไม้ ดวงตาสีเขียวน่าขนลุกเต็มไปด้วยความละโมบพร้อมจิตสังหารขณะมองมาที่ปู้ฟาง
ปู้ฟางปรุงเนื้องูอยู่ในหม้อที่มีเปลวเพลิงสีแดงเต้นเร่าอยู่ข้างใต้ท่ามกลางใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น ไอน้ำหนาพุ่งขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง ส่วนข้าวโลหิตมังกรเองก็สุกอยู่ในหม้อแล้วเช่นกัน ทั้งหมดส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
ปู้ฟางหยิบช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาวขึ้นมาถือไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือชามที่เต็มไปด้วยโจ๊กงูโลหิตมังกร เขายืนนิ่ง มองไปยังฝูงสุนัขป่าที่เข้ามาล้อมไว้ทุกทิศทาง
อสูรเวทสุนัขป่าเขียวเป็นอสูรเวทระดับห้า มันรวมตัวออกล่าเป็นฝูงใหญ่… ถือเป็นฝันร้ายสำหรับใครก็ตามที่ย่างกรายเข้ามาในดินแดนแสนภูผาแห่งนี้
สุนัขป่าเขียวหนึ่งตัวนั้นไม่ได้น่ากลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อพวกมันรวมฝูงกัน เรื่องราวกับกลับตาลปัตรไปสิ้น ฝูงสุนัขป่าเขียวเปรียบเสมือนฝันร้ายสำหรับนักเดินทางเลยทีเดียว
พวกมันน่ากลัวเพราะโจมตีเป็นฝูงใหญ่ ทั้งยังเวียนสลับกันเข้าโจมตีเหยื่อเหมือนทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ฝูงสุนัขป่าเขียวทำงานเหมือนกองทหารมากกว่าฝูงสัตว์ป่าธรรมดา มันรู้วิธีต้อนเหยื่อให้จนมุม ทั้งยังช่ำชองด้านการทรมานเหยื่อทั้งร่างกายและจิตใจจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง ชะตาสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิตคือการตกเป็นอาหารอันโอชะของพวกมัน
ฝูงสุนัขป่าเขียวนี้… หากพวกมันหิวพอ ก็กล้าทำแม้กระทั่งตีวงล้อมล่าอสูรเวทระดับเจ็ดเลยทีเดียว
ไม่มีนักเดินทางที่ย่างกรายเข้ามาในดินแดนแสนภูผาคนใดอยากเจอโศกนาฏกรรมอนาถ จากการต้องเผชิญหน้ากับฝูงสุนัขป่าเขียวอย่างแน่นอน
เมื่อปู้ฟางเห็นว่าตนเองถูกฝูงสุนัขป่าล้อมไว้ เขาก็ประหลาดใจเช่นกัน ในมือของเขาถือโจ๊กงูโลหิตมังกรเอาไว้หนึ่งชาม โจ๊กนั้นถูกปรุงมาอย่างสมบูรณ์แบบ ลูกชิ้นเนื้องูทั้งอ่อนนุ่มและหนึบหนับสู้ฟัน มีรสชาติอร่อยเป็นอันมาก ทันทีที่เข้าปาก ปู้ฟางก็รู้สึกราวกับว่าลูกชิ้นนั้นกำลังกระเด้งกระดอนอยู่ในปากของเขา
กลิ่นที่อาหารจานนี้ส่งออกมานั้นเข้มข้นมาก แม้ในชามจะไม่ได้มีเนื้องูปริมาณมาก แต่ทั้งชามก็อัดแน่นไปด้วยพลังปราณจากงู พลังปราณในเนื้องูนั้นเข้มข้นมาก และเนื้อของมันก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจออกมาไม่หยุดหย่อนเมื่อถูกนำมาปรุงเป็นโจ๊ก
กลิ่นนั้นทำให้ปู้ฟางหิวขึ้นมาเลยทีเดียว
แม้จะถูกฝูงสุนัขป่าล้อมเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ยังตั้งหน้าตั้งตากินโจ๊กงูโลหิตมังกรของเขาต่อไป
ฝูงสุนัขป่าจ้องปู้ฟาง พวกมันดมกลิ่นหอมของอาหารในอากาศ น้ำลายเหม็นๆ ไหลย้อยหยดลงพื้นกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ยามที่พวกมันเปิดปาก เขี้ยวคมกริบเรียงเป็นตับก็อวดความอันตรายออกมาเต็มสายตา
สำหรับพวกมัน ปู้ฟางเองก็เป็นอาหารเช่นกัน ไม่ต่างอะไรจากโจ๊กงูโลหิตมังกร
“ทำไมจู่ๆ… วัตถุดิบจำนวนมากจึงโผล่ออกมาจากป่ากัน ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเนื้อของมันจะรสชาติเป็นอย่างไร”
สีหน้าของปู้ฟางผิดจากความคาดหมายของฝูงสุนัขป่าไปมาก เนื่องจากไม่ได้แสดงความกลัวออกมาแต่อย่างใด กลับกันชายหนุ่มมองพวกมันด้วยสายตาที่ตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ สายตา… ซึ่งไม่ได้ต่างจากที่พวกมันใช้จ้องมองมาที่ตัวเขาแม้แต่น้อย
เป็นสายตาของนักล่าที่กำลังมองเหยื่อนั่นเอง
ดวงตาของปู้ฟางที่มองมาทำเอาฝูงสุนัขป่าไปต่อไม่ถูก
ทันใดนั้นเสียงหอนฟังดูไพเราะอย่างประหลาดของสุนัขป่าก็ดังขึ้น สุนัขป่าตัวอื่นๆ พากันเงยหน้าขึ้นหอนรับเป็นทอดๆ เหมือนนักร้องประสานเสียง เสียงดังกล่าวเหมือนบทเพลงอันไพเราะเสนาะหูสำหรับปู้ฟาง
แม้เสียงหอนของสุนัขป่าจะรื่นหูน่าฟัง แต่ปู้ฟางก็รู้ดีว่านั่นเป็นสัญญาณให้เริ่มเปิดฉากโจมตี ทั้งยังเป็นการหอนเพื่อกำราบให้เหยื่อยอมจำนนอีกด้วย
เขานั่งฟังเสียงสุนัขหอน จากนั้นก็ตักโจ๊กอีกช้อนเข้าปากพร้อมจึ๊ปากเดาะลิ้นด้วยความพอใจ
บรู๋ว!
ใบหน้าที่ไร้ความกลัวโดยสิ้นเชิงของปู้ฟางทำให้เหล่าสุนัขป่าเริ่มโกรธ พวกมันหอนอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมเอากรงเล็บจิกลงไปบนพื้น แล้วกระโจนเข้าใส่ปู้ฟางด้วยความเร็วทันที
ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีจังหวะในการโจมตีอยู่ เนื่องจากทั้งฝูงพุ่งเข้าหาปู้ฟางอย่างเป็นระเบียบ
นี่เป็นภาพที่น่ากลัวเป็นอันมาก ใครก็ตามที่ได้เห็นภาพนี้คงต้องเข่าทรุดลงกับพื้นด้วยความสยดสยองเป็นแน่
หลังจากที่ฝูงสุนัขป่าพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างเป็นระเบียบแล้ว พวกมันก็ไม่ได้พยายามเข้าโจมตีเขาแต่อย่างใด แต่กลับล้อมวงวนเวียนอยู่รอบกายเพื่อขู่ขวัญให้เขาตกใจกลัวจนสติแตก
ปู้ฟางซดโจ๊กหยดสุดท้ายลงท้องแล้ววางชามลง เขามองไปที่ฝูงสุนัขป่าตรงหน้าที่ล้อมรอบอยู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
ควันสีเขียวหมุนพันรอบข้อมือชายหนุ่ม จากนั้นเสียงมังกรคำรามก็ดังขึ้นจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ มีดทำครัวสีดำสนิทปรากฏขึ้นในมือ ชายหนุ่มถือมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเอาไว้แน่น ไม่รู้สึกเกรงกลัวสิ่งใด ทุกอย่างที่ปลายมีดชี้ไป จะต้องกลายมาเป็นวัตถุดิบในชามอาหารของเขาทั้งสิ้น
ฝูงสุนัขป่านี้… ย่อมกลายมาเป็นอาหารอันโอชะของเขาเช่นกัน
ขณะที่ปู้ฟางกำลังจะวาดลวดลายแสดงฝีมือเพื่อเก็บเกี่ยววัตถุดิบตรงหน้า… เสียงหวีดหวิวก็ดังมาจากป่าเบื้องลึก
เสียงลูกธนูพุ่งตัดอากาศดังขึ้น พร้อมด้วยลูกธนูมากมายที่ส่องประกายด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ ลูกธนูเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ฝูงสุนัขป่า ลูกธนูดอกหนึ่งเจาะทะลุร่างสุนัขป่าตัวหนึ่ง ทั้งยังตรึงร่างของมันเอาไว้แน่นบนพื้น
สุนัขป่าตัวนั้นร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ระทม ก่อนจะทรุดลงบนพื้น เลือดสาดกระจายออกจากปากแผลไม่หยุด
กลิ่นเลือดทำให้ดวงตาของสุนัขป่าเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดง พวกมันมองไปยังปู้ฟางด้วยสายตาโหดเหี้ยม
บรู๋ว!
ด้วยความที่ฝูงสุนัขป่าพวกนี้หาคนที่โจมตีมันไม่ได้ จึงส่งจิตสังหารมาที่ปู้ฟางแทน คราวนี้พวกมันไม่ได้รอให้เขาเหนื่อยจนหมดแรงอีกต่อไป หากแต่พุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มทันที
เสียงสายธนูดังขึ้นอีกครั้ง ลูกธนูมากมายพุ่งออกจากความมืดตรงเข้าใส่สุนัขป่า
ทักษะการยิงธนูของคนผู้นั้นจัดว่าใช้ได้เลยทีเดียว ลูกธนูทุกดอกพุ่งเข้าใส่เป้าหมายทั้งหมด ไม่นานนักเลือดสุนัขป่าก็ย้อมพื้นเสียจนเป็นสีแดงชาด
ปู้ฟางมองเข้าไปในป่าส่วนที่มืดมิดด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าเจ้าของลูกธนูจะยิงสุนัขป่าเหล่านี้ทำไม
วืด!
เสียงคนกระโดดออกจากพุ่มไม้ดังขึ้น จากนั้นร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นบนลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลปู้ฟางนัก
ทั้งสามเล็งคันธนูมาที่ปู้ฟาง พลังปราณที่แผ่ออกมาจากกายแข็งแกร่งเป็นอันมาก ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจพอตัว
ผู้มาเยือนทั้งสามสวมชุดคลุมยาวที่มีรูปเจดีย์เล็กๆ อยู่ด้านบน พวกเขาเป็นชายสองหญิงหนึ่ง ทั้งสามยืนอยู่บนลำต้นของต้นไม้ จ้องมาที่ปู้ฟางซึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากสุนัขป่า
สีหน้าของพวกเขาดูประหลาดขณะจ้องมาที่ชายหนุ่ม นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนเจอคนที่ไม่เกรงกลัวความตาย จะไปหาคนที่ไร้ซึ่งความกลัวถึงขนาดมาเยือนดินแดนแสนภูผาตัวคนเดียวได้ที่ไหนอีก ไอ้หมอนี่มันอยากหาเรื่องกลับบ้านเก่าหรืออย่างไร
บรู๋ว! เสียงหอนดังขึ้นอีกครั้ง สุนัขป่าเขียวตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่ปู้ฟางที่ยังจ้องคนแปลกหน้าทั้งสามอยู่ มันแยกเขี้ยวกางกรงเล็บพร้อมขย้ำ เปิดปากน่าเกลียดน่ากลัวออกกว้าง พร้อมสังหารชายหนุ่มตรงหน้า
“ไอ้หมาบ้านี่… รนหาที่ตายแล้ว”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มสามคนขมวดคิ้ว เขายืนอยู่บนลำต้นของต้นไม้ด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ชายผู้นั้นพ่นลมเยาะออกมาจากนั้นก็เล็งคันศรไปที่สุนัขป่าตัวนั้น ลูกธนูเรืองแสงแล่นออกจากคันศร พุ่งเข้าใส่สุนัขป่าที่กำลังตรงเข้าหาปู้ฟาง เจาะทะลุร่างของมันทันที
สุนัขตัวนั้นถูกปักลงกับพื้น เสียงหอนเบาๆ ด้วยความทรมานของมันลอยมาเข้าหูปู้ฟาง
ชายหนุ่มมองสุนัขป่าที่ถูกปักลงบนพื้นจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เขามองคนทั้งสามที่ยืนอยู่บนต้นไม้อย่างองอาจพลางมุ่นคิ้ว
อะไรกันนี่ พวกนี้มาเพื่อฉกวัตถุดิบของเขาหรือ
สุนัขป่าตัวที่เหลือหอนออกมายาวๆ ก่อนจะพากันล่าถอยไป บรรยากาศเงียบสงบของป่ากลับคืนมาอีกครั้ง ความเย็นเยือกเงียบสงัดพลันเข้ามาแทนที่
ทั้งสามกระโดดลงบนพื้นพลางเดินมาหาปู้ฟาง
“เจ้ามาจากหมู่บ้านใกล้ๆ นี้หรือ กล้าดีอย่างไรจึงบุกเข้ามาในดินแดนแสนภูผาคนเดียวเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนอย่างเจ้าจะเข้ามาวิ่งเล่นได้” ชายหน้านิ่งขมวดคิ้วใส่ปู้ฟางพลางตะโกนใส่เขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา คนผู้นี้กำลังดูถูกปู้ฟางว่าเป็นพวกอ่อนปวกเปียกไร้ความสามารถด้านการต่อสู้
ส่วนอีกสองคนก็เอาแต่มองปู้ฟางด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
“เจ้าไม่ได้จะมาฉกวัตถุดิบของข้าหรอกหรือ” ปู้ฟางชะงักไป เขาตอบคำถามด้วยคำถาม
วัตถุดิบรึ วัตถุดิบอะไรกัน
ทั้งสามหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง ก่อนจะหันไปมองซากสุนัขป่าบนพื้นแล้วเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าหมายถึงพวกสุนัขป่าเขียวนี่น่ะหรือ อะไรกัน พวกข้ามาเพื่อช่วยเจ้าต่างหากเล่า”
สตรีในชุดคลุมยาวที่มีรูปเจดีย์เล็กๆ อยู่บนนั้นมองปู้ฟางด้วยสายตาขบขัน วัตถุดิบรึ ใครมันจะมาแย่งวัตถุดิบกับคนธรรมดาอย่างเจ้ากัน เอาเป็นว่าเราไม่ต้องพูดกันเรื่องที่เจ้าเป็นคนธรรมดาก็ได้ แค่ลองคิดถึงรสชาติกระเดือกไม่ลงของเนื้อสุนัขป่าเขียวก่อนเถิด ใครมันจะมาแย่งชิงของพรรค์นี้กัน
ดูจากสีหน้าเจ้าที่มองสุนัขด้วยความกลัวแล้ว ดูเหมือนเจ้ามากกว่ากระมังที่จะเป็นวัตถุดิบ...
“อ้อ… ขอบใจที่ช่วยข้าก็แล้วกัน ส่วนซากสุนัขป่าเขียวพวกนี้ก็ช่วยทิ้งไว้ให้ข้าด้วย” ปู้ฟางพยักหน้าให้หญิงสาว ในเมื่อพวกนี้ไม่ได้มาเพื่อแย่งวัตถุดิบไปจากเขาก็แล้วไป
มีดทำครัวในมือปู้ฟางหมุนวนก่อนจะกลายเป็นควันสีเขียวแล้วหายไป จากนั้นชายหนุ่มก็ลากซากสุนัขป่ามาตัวหนึ่ง พลางเดินไปยังกองไฟที่ตนเองก่อไว้
เมื่อสตรีผู้นั้นเห็นสิ่งที่ปู้ฟางทำ นางก็บันดาลโทสะขึ้นมา ไอ้หมอนี่หยาบคายเป็นบ้า พวกข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้านะ
“ศิษย์พี่หญิง… ไม่คิดว่าของในหม้อนั่นหอมดีหรือขอรับ”
เด็กหนุ่มอีกคนในกลุ่มทำจมูกฟุดฟิด ดวงตาที่มองไปยังโจ๊กงูโลหิตมังกรซึ่งตั้งอยู่เหนือกองไฟลุกโชนเป็นประกายวาววับ
เมื่อหญิงสาวได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด จมูกของนางก็เริ่มดมฟุดฟิดขึ้นมา ดวงตาพลันเบิกกว้าง
“มัน… หอมมากจริงเสียด้วย”
“ศิษย์พี่หญิงขอรับ ไปนั่งกินกันตรงนั้นเถิด ในเมื่อพวกเราช่วยเขาเอาไว้ เราก็เอาอาหารนี่เป็นของตอบแทนเป็นอย่างไรขอรับ” เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้มกริ่มพลางเดินไปข้างๆ ปู้ฟาง
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์นี้เข้า นางก็ทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวรู้ดีว่าศิษย์น้องของนางคนนี้ชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ
ทั้งสามเดินไปหาปู้ฟาง พลางยืนล้อมรอบกองไฟเอาไว้
ปู้ฟางมองทั้งสามด้วยสีหน้าประหลาด ตั้งใจจะทำอะไรกัน เมื่อกี้พวกเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าไม่ได้จะมาฉกวัตถุดิบไปจากข้า
“ไอ้หนุ่ม รู้หรือไม่ว่าดินแดนแสนภูผานี้อันตรายเพียงใด เจ้าควรรอให้เช้าก่อนค่อยออกไป นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาเดินเล่นได้” ชายหนุ่มหน้านิ่งพูดกับปู้ฟาง
“สวรรค์! ศิษย์พี่ขอรับ! โจ๊กนี่… อร่อยมากจริงๆ ขอรับ!”
ชายหนุ่มหน้าขรึมยังพูดไม่ทันจบ เสียงเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นขัดเขาเสียก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วหันไปมองศิษย์น้องที่กำลังตักโจ๊กช้อนใหญ่จากหม้อ
“ช่างน่าอายอะไรเช่นนี้! เยี่ยผัง เจ้าหัดทำตัวใมีมารยาทกว่านี้ได้หรือไม่ หยุดทำให้สำนักเจดีย์นภากระจ่างของพวกเราเสียชื่อเสียงได้แล้ว” ชายหนุ่มหน้านิ่งพูดด้วยความไม่พอใจ
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแข็งทื่อไปทันที ก่อนจะนั่งลงอย่างกระอักกระอ่วน
ทั้งสามนั่งลงข้างปู้ฟางสักพัก แต่ระหว่างที่กำลังเบื่ออยู่นั่นเอง สีหน้าของชายหนุ่มหน้านิ่งก็เปลี่ยนไป เขาหยิบจี้หยกที่กำลังส่องแสงออกมาแล้วผุดลุกขึ้นยืน
“ผู้อาวุโสเรียกรวมตัว! พวกเรารีบไปกันเถิด”
ชายหนุ่มหน้านิ่งมุ่นคิ้วจากนั้นก็หันมามองปู้ฟาง “เจ้าหนุ่ม รีบออกไปจากที่นี่เสีย รักษาชีวิตเอาไว้”
“ฮึ…” สตรีหนึ่งเดียวพ่นลมเยาะปู้ฟางจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
“ท่านเป็นพ่อครัวหรือ โจ๊กนี่อร่อยเหลือเกิน ท่านน่าจะฟังคำพูดของศิษย์พี่ข้านะ พรุ่งนี้รีบออกจากที่นี่ไปเถิด มิเช่นนั้นเห็นทีจะจบชีวิตไม่รู้ตัว หากท่านตายไปคงน่าเสียดายความสามารถแย่” เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มพลางทิ้งคำแนะนำไว้ให้ปู้ฟาง จากนั้นเขาก็ไม่ได้รอคำตอบแต่รีบตามศิษย์พี่ทั้งสองไปทันที
ปู้ฟางงุนงงไม่น้อยขณะมองทั้งสามจากไป
จากนั้นเขาก็หันกลับมาพลางเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มใช้มีดถลกหนังสุนัขป่าอย่างง่ายดาย หากทั้งสามได้เห็นฉากนี้เข้าละก็… พวกเขาคงตกใจมากแน่นอน
การจะถลกหนังสุนัขป่าเขียวระดับห้าได้… ไม่ใช่แค่ต้องมีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังต้องมีพลังปราณแข็งแกร่งมากอีกด้วย