ตอนที่ 336 การลอบสังหารในตำหนักจินหรวน
ซุนปังเหนียนเงียบ!
ความเงียบคือคำตอบที่เขามีต่อฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้
ใช่!
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้เป็นฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ เขาไม่มีความสำคัญต่อแผ่นดินนี้มากเหมือนที่เขาคิด
ล้วนเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ เปลี่ยนคนอาจดียิ่งขึ้น
โครม!
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้เตะเก้าอี้ตัวเล็กล้ม
หากไม่ใช่โต๊ะหนังสือหนักเกินไป เขาคงจะล้มโต๊ะเพื่อระบายความโกรธในใจ
หลัวเสี่ยวเหนียนอกสั่นขวัญแขวน เขาชี้ซุนปังเหนียนที่เหมือนนิ่งดุจพระสงฆ์เข้าฌาน
“เจ้าบังอาจ! ยังไม่รีบคุกเข่าลง!”
ซุนปังเหนียนลืมตาขึ้น ไม่แม้แต่จะมองหลัวเสี่ยวเหนียน หากแต่ถามฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้
“ฝ่าบาททรงคิดว่ากระหม่อมพูดผิดหรือ”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้หอบหายใจ โกรธจนหัวเราะออกมา
หลังจากเขาหัวเราะเสร็จ เขาจึงพูดขึ้น
“ไม่! กลับกัน ข้าคิดว่าซุนกงกงพูดถูก ข้าเป็นฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ ไม่สำคัญสำหรับแผ่นดินนี้จริงๆ ไม่ว่าผู้ใด เพียงแค่แซ่เซียวก็นั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ได้
ข้ายังต้องขอบใจซุนกงกง เจ้าช่วยลดขอบข่ายคนต้องสงสัยให้ข้า คนที่คิดจะโจมตีบารมีของข้า ทำลายชื่อเสียงของข้า หรือแม้แต่คนที่อยากให้ข้าตายก็คงจะมีเพียงบรรดาพี่น้องของข้า ฮ่าๆ…”
เขาหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา หัวเราะจนเหมือนคนบ้า
ซุนปังเหนียนไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
หลัวเสี่ยวเหนียนร้อนใจจนกระทืบเท้า เขาเตือนซุนปังเหนียนเสียงเบา
“ซุนกงกง เวลานี้ท่านควรพูดสิ่งใดบ้างหรือไม่”
ซุนปังเหนียนเหลือบตามองหลัวเสี่ยวเหนียน จากนั้นพูดขึ้น “ในเมื่อฝ่าบาททรงมีคนที่สงสัยแล้ว เรื่องที่เหลือก็ง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องให้กระหม่อมออกหน้า องครักษ์จินอู่ก็สามารถรับหน้าที่ได้!”
“ไม่!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้หยุดหัวเราะทันที
เขาพูดอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ข้ายังคงอยากให้ซุนกงกงสืบ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ใด แม้จะเป็นพี่น้องของข้า เจ้าจับเอาไว้ได้เลย ผู้ที่กล้าวางแผนลอบทำร้ายข้า สมควรตาย!”
ซุนปังเหนียนกระแอมไอเสียงเบา หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงพยักหน้า “กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้นั่งลงอย่างหมดแรง หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เขาจึงถามขึ้น “ซุนกงกงเคยคิดหรือไม่ บางทีการคาดเดาของเจ้าอาจจะผิด”
สีหน้าของซุนปังเหนียนเรียบเฉย “แม้จะผิดก็ไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็สามารถตัดความน่าสงสัยของเหล่าเชื้อพระวงศ์ได้”
“เจ้าพูดถูก ผิดก็ไม่เป็นอะไร”
อย่างมากก็มีคนตายอย่างไม่เป็นธรรมมากขึ้นไม่กี่คน
เซียวเฉิงอี้โบกมือ ซุนปังเหนียนโน้มตัวถอยออกไป
หลัวเสี่ยวเหนียนร้อนใจอย่างมาก เขาพูดขึ้น “ฝ่าบาทจะทรงให้ซุนกงกงสืบคดีระเบิดจริงหรือ”
เซียวเฉิงอี้หันกลับมามองเขา “เจ้าคิดว่าเขาไม่เหมาะสม หรือว่าเจ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าเขา”
“กระหม่อมไม่บังอาจ! กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ซุนกงกงเป็นคนของฮ่องเต้องค์ก่อน เขาอาจไม่ได้จงรักภักดีต่อฝ่าบาท”
เซียวเฉิงอี้ยิ้มเย็น “เขาอาจไม่ได้จงรักภักดีต่อข้า แต่เพียงแค่เขาไม่ได้จงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าเว้ย ไม่ได้จงรักภักดีต่อบัลลังก์ ข้าก็สามารถใช้งานเขาได้”
หลัวเสี่ยวเหนียนทำหน้าฉงน
เซียวเฉิงอี้เตือนเขา “อย่าคิดแต่จะข่มซุนปังเหนียน เรียนรู้จากข้อดีของเขาให้มาก เขาได้รับความเชื่อใจและความสำคัญจากฮ่องเต้องค์ก่อนก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่โดดเด่นของเขาแล้ว มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดเขาจึงกลายเป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้องค์ก่อน เพราะเขาประสบสอพลออย่างนั้นหรือ”
หลัวเสี่ยวเหนียนยิ้มเก้อ เหงื่อของเขาไหลพราก ไม่กล้าที่จะพูดอีก
…
เมืองหลวงตกอยู่ในความวุ่นวาย การควบคุมเมืองอย่างเข้มงวดยังคงดำเนินต่อไป
เนื่องจากการควบคุมเมือง ทำให้ประชาชนคนธรรมดาในตลาดต้องสูญเสียอาชีพ โอ่งข้าวว่างเปล่า ทำได้เพียงเสี่ยงออกจากเรือนเพื่อหางานทำเงินเท่านั้น
องครักษ์ซิ่นอียุ่งกับการจับกุมผู้คนในแต่ละวัน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้!
ทำได้เพียงขอคำบัญชาจากเบื้องบน
เบื้องบนรายงานขึ้นไปทีละชั้น สุดท้ายทูลรายงานไปถึงฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้
เซียวเฉิงอี้ครุ่นคิด ออกรับสั่งให้องครักษ์จินอู่เปลี่ยนแปลงเวลาควบคุมเมือง
การควบคุมเมืองนั้นจะบังคับใช้ตั้งแต่เวลาห้าโมงเย็นจนถึงตีห้าของวันรุ่งขึ้น
ระหว่างวัน ประชาชนคนธรรมดาในตลาดก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนพ่อค้าก็เปิดประตูค้าขายได้ตามปกติ…
เวลานี้ เมืองหลวงจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้คนก็มีรอยยิ้มบนใบหน้ามากขึ้น
ไม่ว่าจะเกิดเหตุระเบิดหรือไม่ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
เถ้าแก่แห่งร้านผักดองซูจี้ในตรอกจินหยินพลางฮัมเพลงพลันรื้อแผงประตูลงเพื่อเริ่มต้นวันอันยุ่งวุ่นวายของเขา
ตอนเช้าหนาวมาก ฟ้ายังสว่างไม่ทั่วเลย
ห่างออกไปอีกหน่อยก็มองไม่เห็นคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
เขาตะโกน “ฉินจั่งกุ้ย ข้าเอาน้ำแกงเครื่องในหนึ่งชาม ใส่พริกมากหน่อย”
หม้อเหล็กใบใหญ่สองใบวางอยู่ตรงหน้าร้านน้ำแกงเครื่องใน กำลังมีไอน้ำระเหยขึ้นมา
ทำให้ช่วงเชาในฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บนี้มีความอบอุ่นขึ้นมาอย่างมาก
หลังจากดื่มน้ำแกงเครื่องในร้อยๆ ชามหนึ่งเข้าไป ในที่สุดเถ้าแก่ซูก็รู้สึกมีชีวิตกลับมา
ก่อนหน้านี้ เขาเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีความรู้สึก ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปทั้งตัว
เวลานี้เขาถึงรู้สึกว่าเหมือนคน คนที่ยังมีชีวิตอยู่
กึบๆ…
เสียงกีบม้าดังขึ้นมาในหู
ในเช้าฤดูหนาวก่อนรุ่งสาง รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าเถ้าแก่ซูไป ไม่นานมันก็หายลับไปท่ามกลางความมืดก่อนสว่าง
เขาพูดคุยกับฉินจั่งกุ้ย “รถม้าของผู้ใด ออกมาเช้าเสียจริง เวลานี้ตลาดคงยังไม่เปิด!”
ฉินจั่งกุ้ยกล่าว “ไม่เห็นสัญลักษณ์ใดบนรถม้า ข้าคิดว่าไม่ใช่ตระกูลใหญ่ใด อาจเป็นคนที่พักอยู่ในตลาดหรือตรอกที่ใกล้เคียง”
“ฉินจั่งกุ้ยสายตาไม่เลว แสงไฟมืดสลัวเพียงนี้ยังสามารถมองเห็นว่าบนรถม้าไม่มีสัญลักษณ์ เอ๊ะ ข้าถามหน่อย ฉินจั่งกุ้ยจำสัญลักษณ์ของตระกูลใดได้บ้าง”
ฉินจั่งกุ้ยครุ่นคด พลันพูด “ตระกูลที่โด่งดังในเมืองหลวงต่างมีสัญลักษณ์ ข้าแทบจะจำได้ทั้งหมด อีกทั้งยังรู้ว่าสัญลักษณ์ของตระกูลใดอยู่ที่ตำแหน่งใดบนรถม้า”
“ร้ายกาจ!”
เถ้าแก่ซูช่างพูดอย่างมาก
ตอนที่ไม่มีลูกค้า เขาก็ชอบวิ่งมาพูดคุยที่ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย
จั่งกุ้ยของร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย ไม่ว่าจะเป็นจี้ผิง จี้จั่งกุ้ยคนก่อน หรือว่าฉินจั่งกุ้ยในเวลานี้ล้วนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เชี่ยวชาญในการรับฟังและพูดคุย
…
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า รถม้าธรรมดาเคลื่อนผ่านถนนและตรอกซอยมาถึงประตูเมือง รอให้ประตูเมืองเปิด
ภายในรถม้ามีพ่อและลูกชายวัยเยาว์ พร้อมด้วยคนรับใช้ชราหนึ่งคน
เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ประตูเมืองก็เปิดตรงเวลา
คนเฝ้าประตูทั้งหาวทั้งตัวสั่นในขณะที่ตรวจสอบผู้คนและยานพาหนะที่เข้าและออก
อากาศแบบนี้หนาวเสียจริง
สำหรับคนเฝ้าประตูที่ต้องยืนเฝ้าประจำตำแหน่งทุกวัน ฤดูหนาวปีนี้จึงยากลำบากเป็นพิเศษ
แม้ว่าจะมีคำสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเบื้องบนให้ตรวจคนเดินถนน รถม้า และม้าที่เข้าออกจากประตูเมืองอย่างเข้มงวด แต่อากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ทำให้คนหมดความกระฉับกระเฉงเสียจริง
โดยเฉพาะเวลาเช้าตรู่ที่หนาวเย็นที่สุดในวัน
คนเฝ้าประตูเหลือบมองเข้าไปในรถม้า ตรวจดูเส้นทางว่าเรียบร้อยดี จึงโบกมือบอกให้รถม้ารีบออกจากเมืองโดยเร็ว อย่าได้กีดขวางคนที่อยู่ข้างหลัง
รถม้าธรรมดาออกจากเมืองหลวงไปอย่างราบรื่น
เมื่อห่างไกลออกไป รถม้าก็เร่งความเร็วขึ้นทันที
ทันใดนั้น รอบด้านของรถม้ารายล้อมไปด้วยรถม้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ยังมีคนที่ดูเหมือนองครักษ์กำลังขี่ม้าเปิดทางอยู่ข้างหน้า
ภายในรถม้า คนรับใช้ชราก็พูดขึ้นทันที: “องค์ชาย ต่อพวกเราต้องเปลี่ยนเป็นรถม้าแล้ว!”
เซียวเฉิงหลี่หรือองค์ชายหกของฮ่องเต้องค์ก่อน ผู้กำเนิดจากนางสนมเจี่ยซูซึ่งถูกฮ่องเต้องค์ก่อนประหารถูกฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ทรงแต่งตั้งเป็นท่านโหวเหิงอี้ เขาเปิดม่านขึ้นพลันมองออกไปข้างนอก
“ฟ้าสว่างแล้ว!”
“ใช่! ฟ้าสว่างแล้ว! พระองค์ต้องรีบออกจากพื้นที่นครบาล”
บ่าวรับใช้ชราคือเติ้งเส้าเจี้ยน ขันทีคนสนิทของนางสนมเจี่ยซู
หลังจากนางสนมเจี่ยซูตาย เติ้งเส้าเจี้ยนก็ปรนนิบัติอยู่ข้างตัวเซียวเฉิงหลี่
ถึงแม้เซียวเฉิงหลี่จะถูกแต่งตั้งเป็นท่านโหวเหิงอี้ แต่เติ้งเส้าเจี้ยนยังคงแทนเขาว่าองค์ชาย หากไม่ใช่ท่านโหว!
เพียงแค่ยศโหวก็คิดจะชดเชยองค์ชายหก
แม้ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้จะดูเหมือนใจกว้าง แต่ความจริงแล้วเขากำลังทำให้คนรู้สึกรังเกียจ
เขาอดทนกับความไม่เป็นธรรมนี้ไว้ชั่วคราว
เซียวเฉิงหลี่เปลี่ยนรถม้าภายใต้การดูแลของเติ้งเส้าเจี้ยน
ส่วนบุตรชายแท้ ๆ นั้นมีองครักษ์คนสนิทนำไปอีกทาง
รถม้ากำลังเคลื่อนที่อยู่บนถนน ทิวทัศน์สองข้างทางถอยกลับหลังอย่างรวดเร็ว
เขาถามเติ้งเส้าเจี้ยน “ซุนปังเหนียนจะรู้ว่าข้าออกจากเมืองหลวงเมื่อใด”
เติ้งเส้าเจี้ยนโน้มตัว: “พระองค์ทรงวางพระทัย ตัวแทนที่กระหม่อมเตรียมไว้ อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาได้สามถึงห้าวัน รอพวกเขาจับได้ พระองค์ก็ทรงออกจากเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ก็ทรงออกจากนครบาลไปนานแล้ว ปลากลับสู่ทะเลลึก จะไม่มีผู้ใดรู้ร่องรอยของพระองค์”
ท่านโหวเหิงอี้ เซียวเฉิงหลี่โล่งใจ จากนั้นเขาก็รู้สึกผิด: “เพียงแค่ลำบากตระกูลของท่านลุงแล้ว พวกเขาย่อมต้องถูกเซียวเฉิงอี้ลงโทษ”
“ตระกูลเจี่ยนเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ เพียงแค่พระองค์สามารถแก้แค้นให้พระสนมได้ แม้ตระกูลเจี่ยจะต้องล่มสลายก็คุ้มค่า!”
เซียวเฉิงหลี่เม้มปากแน่น ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาจึงพูดขึ้น: “เสด็จพ่อทรงแก่เลอะเลือน ประหารเสด็จแม่แล้ว ยังสืบทอดบัลลังก์ให้คนไร้ความสามารถอย่างเซียวเฉิงอี้ เซียวเฉิงอี้ถูกพระพันปีเถาปกป้องดีเกินไป จึงทำให้เขามีชีวิตที่ราบรื่น แต่ว่าข้าได้ทำให้เขาเห็นถึงความลำบากอย่างเพียงพอแล้ว เสด็จพ่อช่างไร้วิสัยทัศน์เสียจริง!”
“ฮ่องเต้องค์ก่อนย่อมไร้วิสัยทัศน์! หากมีวิสัยทัศน์จะประหารพระสนมเจี่ยซูได้อย่างไร จะละเลยหรือกดขี่พระองค์ได้อย่างใด ท่ามกลางบรรดาพี่น้อง พระองค์มีความสามารถกว่าผู้ใด น่าเสียดายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนตาบอด มองไม่เห็นความสามารถของพระองค์ อีกทั้งยังมองไม่เห็นความอ่อนโยนของพระสนมเจี่ยซู”
ทุกครั้งที่เติ้งเส้าเจี้ยนเอ่ยถึงพระสนมเจี่ยซู ล้วนมีทีท่าคับแค้นใจ
เขากำลังรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนพระสนมเจี่ยซู เขาแค้นฮ่องเต้หย่งไท่
เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่สวรรคต ความแค้นทั้งหมดก็ถูกเบี่ยงเบนไปยังพระพันปีเถาและฮ่องเต้ไท่หนิง
พระพันปีเถาสมควรตายที่สุด รองลงมาก็คือฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้
เหตุระเบิดสองครั้งก็เพื่อสั่นคลอนบารมีของฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ โจมตีความมั่นใจของเขา ทางที่ดีคือทำให้คนสงสัยเรื่องการขึ้นครองราชย์ของเขา
หากสามารถยั่วยุให้ตระกูลขุนนางอาละวาดขึ้นมาถึงจะดี
ท่านโหวเหิงอี้ เซียวเฉิงหลี่ถามเขา “เรื่องในเมืองหลวงจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“พระองค์ทรงวางพระทัย ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย กระหม่อมจะมอบของขวัญใหญ่ให้เซียวเฉิงอี้!”
“ฮ่า ๆ ๆ…”
เซียวเฉิงหลี่เปล่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
…
เมืองหลวง!
บนตำหนักจินหรวน กำลังมีการประชุมหารือกัน
ขันทีประตูเหลืองที่ไม่โดดเด่นโน้มตัวรับฎีกาจากมือของขุนนางมา พลันเดินไปทางขันทีใหญ่ หลัวเสี่ยวเหนียน
ส่งมอบฎีกา
ขันทีประตูเหลืองทำท่าจะถอยออกไป
ไม่คิดว่าทันใดนั้น ขันทีประตูเหลืองจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาพุ่งตรงไปยังฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
หลัวเสี่ยวเหนียนกลัวจนหน้าซีด เขายกขาถีบเข้าไปยังขันทีประตูเหลือง
“จับมือสังหาร! คุ้มกันฝ่าบาท รีบคุ้มกันฝ่าบาท!”
บนตำหนักจินหรวนเต็มไปด้วยความอลหม่าน