ตอนที่ 342 จิตใจโอบอ้อมอารี
จวนท่านอ๋องตงผิงจัดงานเลี้ยงอย่างเอิกเกริกเป็นครั้งแรกอย่างหาพบได้ยาก เพื่อประกาศการกลับสู่จวนอ๋องของเซียวอี้ ฟื้นคืนสถานะนายน้อยจวนอ๋องอย่างเป็นทางการ
หลิงฉางจื้อทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเซียวอี้
เขาใช้เส้นสายของตนเอง พยายามแพร่กระจายข่าวการกลับสู่จวนอ๋องของเซียวอี้ไปทั่วแผ่นดิน
ทำให้ผู้คนต่างรู้ว่าเซียวอี้ไม่ใช่คนที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง เขาได้กลับสู่จวนอ๋องแล้ว
วันจัดงาน หลิงฉางจื้อเข้าร่วม พร้อมทั้งช่วยต้อนรับแขกเหรื่อ
ความรู้สึกของแขกทั้งหลายแตกต่างกันไป
“ใต้เท้าหลิงมีคุณธรรม!”
จวนท่านอ๋องตงผิงเป็นการมีอยู่ที่กระอักกระอ่วน
คนส่วนใหญ่ที่ได้รับเทียบเชิญต่างปฏิเสธการเข้าร่วม
หลิงฉางจื้อยอมช่วยเหลือจวนท่านอ๋องตงผิงรับรองแขก เท่ากับการส่งสัญญาณให้ผู้คน
ไม่ว่าจวนท่านอ๋องตงผิงจะตกต่ำอย่างไร แต่ก็ยังคงเป็นญาติของตระกูลหลิง
งานเลี้ยงที่เงียบเหงาในเดิมทีคึกคักขึ้นมาเพราะหลิงฉางจื้อ
เซียวอี้ไม่ได้ปรากฏตัว
หลิงฉางจื้อถามท่านอ๋องตงผิง เซียวกั้ว “เซียวอี้ไม่ปรากฏตัวจริงหรือ”
เซียวกั้วพยักหน้า “เขาให้คนมาแจ้งว่าเขาจะไม่กลับมางานเลี้ยง”
“รู้ว่าเขาอยู่ที่ใดหรือไม่”
“ไม่รู้! แต่คงไม่อยู่ในเมืองหลวง”
หลิงฉางจื้อครุ่นคิดเล็กน้อย “คำโบราณว่าไว้กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง ข้าว่าเขาไม่ได้มีเพียงสามโพรง เกรงว่าจะมีแปดโพรง สิบโพรง เรื่องสำคัญของตัวเองเขายังไม่ใส่ใจ ไม่รู้กำลังทำเรื่องใดอยู่ เจ้ารู้ว่านางถูกตาต้องใจคุณหนูตระกูลใดจนอยากจะไปสู่ขอเป็นภรรยาหรือไม่”
เซียวกั้วผงะไปเล็กนอย “เขาถูกใจคุณหนูตระกูลใดหรือ ข้าไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงแม้แต่น้อย”
“เจ้าไม่รู้จริงหรือ” หลิงฉางจื้อไม่เชื่อ “เขาไม่เคยเอ่ยถึงคุณหนูคนใดต่อหน้าเจ้า”
เซียวกั้วครุ่นคิดอย่างละเอียด “เขาพูดถึงแค่คนเดียว”
“ผู้ใด” หลิงฉางจื้อทั้งสงสัยทั้งตื่นเต้น
ความลับกำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว
เซียวกั้วพูด “ตอนนั้นเขาออกจากเมืองหลวงไปปราบปรามโจรกบฏตามรับสั่ง ก่อนไปเขามาจวนอ๋องครั้งหนึ่ง เขาบอกข้าว่าหากประสบอันตราย สามารถขอความช่วยเหลือจากคุณหนูสี่ตระกูลเยียนได้”
“เจ้าบอกว่าผู้ใด เจ้าแน่ใจว่าเขาพูดถึงคุณหนูสี่ตระกูลเยียน เจ้าได้ยินไม่ผิด?”
สีหน้าของหลิงฉางจื้อเปลี่ยนไป
เซียวกั้วพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ามั่นใจว่าจำไม่ผิด มีปัญหาใดหรือไม่ หรือว่าคุณหนูที่เจ้าหกถูกใจคือคุณหนูสี่ตระกูลเยียนแห่งจวนองค์หญิงจู้หยาง”
หลิงฉางจื้อส่ายหน้าระรัว “เจ้าอย่าคาดเดามั่วซั่ว”
เซียวกั้วไม่เปล่งเสียง ถึงแม้เขาจะรู้ดีแก่ใจ แต่สถานการณ์ทั่วไปแล้ว เขามักจะเงียบ
จากปฏิกิริยาของหลิงฉางจื้อ เขามั่นใจว่าเองเดาถูก
ไม่คิดว่าน้องชายของตนเองจะถูกใจคุณหนุสี่ตระกูลเยียนแห่งจวนองค์หญิงจู้หยาง
สายตานี้ไม่อาจบอกว่าแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีนัก
คุณหนุสี่ตระกูลเยียนเป็นคู่ครองที่ดีหรือ
เซียวกั้วก็ไม่มีคำตอบ
ในใจของหลิงฉางจื้อเต็มไปด้วยเสียงก่นด่า
ในใจของเขากำลังร้องโอดครวญ เซียวอี้เจ้าคนชั่วคงไม่ได้ถูกใจเยียนอวิ๋นเกอจริงใช่หรือไม่
เขายังกำลังเป็นพ่อสื่อแทนเยียนอวิ๋นเกอ หากเซียวอี้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจะเข้าท่าหรือ
เพียงแค่นิสัยหยิ่งยโสของเซียวอี้ คนที่ “เด็ดขาด” เพียงนั้น องค์หญิงจู้หยางย่อมไม่ถูกใจ
เพียงแต่เยียนอวิ๋นเกอล่ะ
ทั้งสองคนรู้จักมาเป็นเวลานาน มีการไปมาหาสู่กันลับหลัง ไม่แน่ว่าเยียนอวิ๋นเกออาจรู้สึกต่อเซียวอี้บ้าง
แย่แล้ว!
หลิงฉางจื้อร้อนใจ เซียวอี้ไม่คู่ควรกับเยียนอวิ๋นเกอ
ดอกไม้สดจะเสียบอยู่บนกองขี้ควายไม่ได้
อีกอย่าง ความสามารถของเยียนอวิ๋นเกอจะตกไปอยู่ในมือของเซียวอี้ได้อย่างไร
ไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่ได้อย่างแน่นอน!
วิธีที่จะขัดขวางไม่ให้เซียวอี้แต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอที่ดีที่สุดก็คือทำให้เยียนอวิ๋นเกอรีบออกเรือน
ดูท่าทางเขาต้องเร่งมือ เร่งเร้าให้องค์หญิงจู้หยางรีบจัดการเรื่องงานแต่งของเยียนอวิ๋นเกอเสีย
…
งานเลี้ยงผ่านไป ปีใหม่ก็ใกล้เข้ามา
หลิงฉางจื้อยุ่งมาก
เขาเดินทางไปจวนองค์หญิงจู้หยางสามวันทีสี่วันหน เป็นพ่อสื่อให้เยียนอวิ๋นเกอ
ตระกูลหลิงเป็นตระกูลขุนนางแนวหน้าที่มาน้อยในปัจจุบัน
หลิงฉางจื้อรู้จักชายหนุ่มที่มีความสามารถจำนานมาก
เขารู้จักตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงทั้งหมด
ผู้ใดแต่งงาน ผู้ใดยังไม่แต่งงาน ตระกูลใดน่าเชื่อถือ ตระกูลใดเหลวไหล…มีครบทั้งหมด
ไม่ว่าเยียนอวิ๋นเกอชอบแบบใด เขาก็สามารถหามาให้นางได้
เสียดาย เฮ้อ…เขาเสียดายที่ตนเองแต่งงานเร็วเกินไป
มิฉะนั้นเขาจะแต่งงานเยียนอวิ๋นเกอ บูชานางเอาไว้ในจวน
หลิงฉางจื้อรู้สึกเสียดายอย่างมาก
แน่นอน เขาไม่ได้ไม่พอใจต่อภรรยาของตนเอง เพียงแค่มีความคิดเช่นนี้ในใจเท่านั้น
ผู้อื่นไม่รู้มูลค่าของเยียนอวิ๋นเกอ แต่เขารู้ดีเป็นอย่างยิ่ง
แค้นแต่เพียงชื่อเสียงของตระกูลหลิงถูกน้องชายของตนเองทำให้เสื่อมเสียไปแล้ว
องค์หญิงจู้หยางมีความสนใจอย่างมาก
แต่เยียนอวิ๋นเกอขาดความสนใจ
ทางด้านความรัก หากพูดตามตรง เยียนอวิ๋นเกอยังไม่รู้ประสีประสา
ไม่ว่ากับชายหนุ่มคนใด นาก็ไม่มีความรู้สึกหน้าแดงใจเต้นแม้แต่น้อย
นางไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิงต่อผู้ใดทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่จะหาคู่ครองที่ทำให้นางพอใจและยอมแต่งออกไปนั้นจึงไม่ง่าย
ยาก!
ยากเหลือเกิน!
หลิงฉางจื้อพูดเชิงล้อเล่น “เป็นพ่อสื่อให้คุณหนูสี่ยากยิ่งกว่าทำสงครามเสียอีก คุณหนูสี่มีความคิดของตนเอง แต่ก็ไม่มีเงื่อนไขที่ละเอียด ช่างยากเหลือเกิน”
ไม่ว่าเรื่องใดก็กลัวคำว่า ‘แล้วแต่’ สองคำ
เงื่อนไขที่สองแง่สองง่ามทำให้คนปวดหัว
องค์หญิงจู้หยางหัวเราะ “ข้าก็กลุ้มใจ! คนที่เจ้าแนะนำให้ล้วนเป็นเด็กหนุ่มมีความสามารถ แต่นางไม่พยักหน้าแม้แต่คนเดียว ข้าก็หมดหนทางกับนาง”
หลิงฉางจื้อเสนอ “เรื่องคู่ครองนั้นเป็นคำสั่งของบิดามารดา เป็นวาจาของการสัญญาหมั้นหมาย องค์หญิงลองตัดสินใจเคาะเรื่องนี้ให้นางดีหรือไม่ ข้าคิดเช่นนี้ หากล่าช้าต่อไป เกรงว่าวันใดในวังก็มีความคิดที่จะจับคู่ให้คุณหนูสี่ พวกเราจะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำในเรื่องนี้”
องค์หญิงจู้หยางครุ่นคิดอย่างละเอียด “ข้าอยากจะหมั้นหมายให้นางโดยเร็ว เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสุขในชีวิตคู่ของนาง ข้ายังคงต้องเคารพความคิดของนาง หากนางไม่พยักหน้า ข้าก็ไม่อาจบังคับให้นางออกเรือน”
“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่หากยังล่าช้าต่อไปจะได้หรือ บรรดาชายหนุ่มที่เหมาะสมกับการแต่งงานไม่มีทางเป็นโสดตลอดไป พวกเขาต้องแต่งงานมีภรรยามีบุตรในไม่ช้า หากยังล่าช้าต่อไป ตัวเลือกของคุณหนูสี่นับวันจะยิ่งน้อยลง เมื่อถึงเวลานั้น หากต้องการหาคู่หมั้นที่เหมาะสมคงจะมีความยากมากขึ้น”
องค์หญิงจู้หยางขมวดคิ้วมุ่น นางจะไม่รู้เหตุผลนี้ได้อย่างใด
ชายหนุ่มที่อายุสอดคล้องกับเยียนอวิ๋นเกอนับวันยิ่งมีน้อยลงตามกาลเวลา
หากยังล่าช้าต่อไป ตัวเลือกก็มีแต่จะน้อยลง
เฮ้อ…
องค์หญิงจู้หยางถอนหายใจ
“เจ้ามีใจแล้ว! ข้าจะหาเวลาว่างคุยกับนาง ไม่ว่าอย่างไรต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว แต่หากบิดามารดาฝ่ายชายรังเกียจอวิ๋นเกอของข้า เรื่องหมั้นหมายย่อมไม่มีทางสำเร็จ ทั้งเซิ่นซูเหวินและจ้งซูหาวต่างมีสาเหตุจากเรื่องนี้ พวกเราจึงได้ปฏิเสธ เรื่องนี้ข้าไม่มีวันยอมจำนน หากข้าคิดจะยอมจำนน คงหมั้นหมายอวิ๋นเกอให้เซิ่นซูเหวินไปนานแล้ว”
หลิงฉางจื้อพูดอย่างจริงจัง “องค์หญิงวางใจ ข้าเป็นพ่อสื่อให้คุณหนูสี่ย่อมมีการขอความเห็นจากบิดามารดาฝ่ายชายก่อน อีกทั้งยังแนะนำสถานการณ์ของคุณหนูสี่ตามความเป็นจริง เมื่อได้รับการยินยอม ข้าจึงได้ออกหน้าเป็นสื่อให้”
“เช่นนี้ย่อมดีมาก!”
องค์หญิงจู้หยางให้พ่อบ้านส่งหลิงฉางจื้อออกจากจวน
หลังจากนั้น นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่หลิงฉางจื้อพูดนั้นมีเหตุผล
วัยเยาว์ของคุณหนูจะล่าช้าไม่ได้
เพราะหากล่าช้าต่อไป ตัวเลือกจะยิ่งมีน้อยลง
แตกต่างจากชายหนุ่ม
ขายหนุ่มอายุสามสิบยังสามารถแต่งงานกับคุณหนูอายุสิบห้า
หญิงสาวอายุสามสิบคงไม่อาจแต่งงานกับเด็กหนุ่มอายุสิบห้าได้
ความจริงโหดร้ายเพียงนี้ คนที่เป็นพ่อแม่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร
เซียวฮูหยินให้คนไปเชิญเยียนอวิ๋นเกอมา แม่ลูกทั้งสองพูดคุยอย่างจริงจัง
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่รู้ประสีประสา ไม่มีความรู้สึกในเรื่องความรักระหว่างหญิงชาย อีกทั้งยังมักคิดว่าตัวเองยังเด็ก ไม่รีบร้อนที่จะออกเรือน แต่ว่าอายุของเจ้าไม่คอยคน เวลานี้ยังเลือกได้ หากผ่านไปอีกไม่กี่ปี ตัวเลือกของเจ้ามีแต่จะลดลงตามการแต่งงานของชายหนุ่มที่เหมาะสมกับการแต่งงาน เจ้าไม่อาจเป็นคุณหนูที่ไม่ออกเรือนได้ตลอดไป ความหมายของข้าคือ ฉวยโอกาสนี้ มีคนมากมายให้เจ้าเลือก พวกเรารีบหมั้นหมายเอาไว้เป็นอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอถอนหายใจ ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก
นางหยิกแก้มของตัวเอง นุ่มไม่น้อย
นางถาม “ต้องออกเรือนจริงหรือ”
เซียวฮูหยินพยักหน้า “ย่อมต้องออกเรือน!”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “ท่านแม่ตัดสินใจเถิด ให้ข้าเลือกเอง ข้าย่อมเลือกไม่ได้ อย่างไรก็ตามเพียงแค่ไม่ขัดหูขัดตา ต้องแต่งงานหรือไม่ ท่านแม่ตัดสินใจ”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว
นางไม่ต้องการท่าทีเช่นนี้
ท่าทีของเยียนอวิ๋นเกอไม่รับผิดชอบนัก
นางถอนหายใจ “ให้ข้าตัดสินใจจริงหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า
“ข้ายังคงรู้สึกว่าเซิ่นซูเหวินเหมาะสมที่สุด เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
พู่!
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ปฏิเสธพึ่งเซิ่นไปแล้ว เหตุใดจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก หากเสนอตัวเข้าไปในเวลานี้ ท่านแม่ไม่อายหรือ”
“เพื่อความสุขของเจ้า แม้จะไม่เป็นธรรมต่อข้าเล็กน้อยก็ไม่เป็นอันใด”
“พี่เซิ่นก็แล้วไปเถิด เรื่องมันจบไปแล้ว เหตุใดจึงต้องเอ่ยถึงอีก ทางด้านจ้งซูหาวก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก”
“นอกจากเซิ่นซูเหวิน จ้งซูหาวแล้ว ผู้อื่นล้วนได้หรือ” เซียวฮูหยินถาม
เยียนอวิ๋นเกอยังคงมีเงื่อนไขเล็กน้อย “อย่างน้อยต้องไม่ขัดหูขัดตา อีกฝ่ายไม่อาจรังเกียจข้าได้ ส่วนรายละเอียดอื่น ลำบากท่านแม่คิดแทนข้าแล้ว”
เซียวฮูหยินถามนาง “ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า
เซียวฮูหยินตบโต๊ะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะตัดสินใจหมั้นหมายแทนเจ้า”
…
เมื่อรู้ว่าองค์หญิงจู้หยางโน้มน้าวเยียนอวิ๋นเกอสำเร็จแล้ว หลิงฉางจื้อก็ยิ่งกระตือรือร้นในการเป็นพ่อสื่อ เรียกได้ว่าผันตัวกลายเป็นพ่อสื่อเลยทีเดียว
ห่างจากวันที่สามสิบเดือนสิบสองอีกเพียงไม่กี่วัน จวนองค์หญิงจู้หยางมีแขกท่านหนึ่งมาเยือน
จี้ซินแสส่งเทียบเยือน เตรียมเข้าพบองค์หญิงจู้หยาง
“จี้ซินแส?”
เซียวฮูหยินถือเทียบเชิญเอาไว้ พลันมองลงไปที่ชื่อ เมื่อละรึกอยู่สักพักจึงนึกขึ้นได้
“หากข้าจำไม่ผิด เขาเคยเป็นกุนซือข้างกายของท่านอ๋องตงผิงองค์ก่อน หลายปีก่อน ข้าเคยพบกับเขาสองครั้ง”
“องค์หญิงพูดถูก จี้ซินแสท่านนี้เคยเป็นกุนซือข้างกายของท่านอ๋องตงผิงองค์ก่อน ต่อมาท่านอ๋องตงผิงองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ เขาก็ออกมา ไม่รู้เวลานี้เขาทำงานให้ผู้ใด”
เซียวฮูหยินเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในทันที เขาถามพ่อบ้าน “จี้ซินแสมาคนเดียวหรือ”
พ่อบ้านโน้มตัวตอบ “เรียนองค์หญิง ข้างกายจี้ซินแสยังมีบ่าวรับใช้สองคน และสารถีหนึ่งคน องค์หญิงจะพบเขาหรือไม่”
เซียวฮูหยินครุ่นคิด “เชิญเขามาดื่มชาที่โถง นานทีจะมา ข้าย่อมต้องฟังเจตนาของเขาก่อน”
“ขอรับ!”
———————*************——————–