ตอนที่ 349 คุณหนูคนโตแห่งตระกูลเซี่ย(1)
ตอนที่ 349 คุณหนูคนโตแห่งตระกูลเซี่ย(1)
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเซี่ยฉางชิง ซูหว่านอี๋ก็ได้แต่เหลือบมองเขา แล้วพูดขึ้น “เอ่อ…คุณเป็นคนทำเอง ไม่คิดบ้างเหรอว่าพี่สาวของฉันจะท้อง”
“ผม…ผมไม่รู้ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าหว่านอวี๋จะตั้งท้อง ถ้าอย่างนั้นทำไมหล่อนถึงยอมจากไปล่ะ”
ต่อให้พี่สาวจะทราบเรื่องที่ตัวเองตั้งครรภ์หลังออกจากเมืองหยางเฉิงไปแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไรได้อีก “ถ้าคุณรู้ว่าพี่สาวกำลังตั้งท้อง ตระกูลของคุณจะยอมยกเลิกงานแต่งของคุณกับตระกูลเติ้งแล้วให้พี่สาวฉันได้แต่งกับคุณไหมล่ะ คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ต่อให้พี่ฉันจะตั้งท้อง คุณก็แต่งกับหล่นไม่ได้”
หลังจากพูดจบ แววตาของซูหว่านอี๋ก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ทำไมคุณถึงต้องหลอกลวงพี่สาวฉัน”
หากหล่อนกับเจี้ยนเซ่อไม่มาในตอนนั้น หล่อนคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้พบหน้าพี่สาวอีกหรือไม่ ตอนนั้นพี่สาวอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก สุดท้ายหล่อนจึงชวนพี่สาวมาอยู่ที่มณฑลซานตงด้วยกัน หลังจากมาถึงมณฑลซานตงแล้ว สองพี่น้องก็พบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ และเมื่อพี่สาวมีลูกแล้ว ในที่สุดจึงมีแรงใจมากขึ้น และพร้อมลงหลักปักฐานที่มณฑลซานตง
เพียงแต่…หลังจากนั้นพี่สาวก็เสียชีวิตไป
ตอนแรกหล่อนคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าการตายของพี่สาวอาจไม่ใช่อุบัติเหตุ
เมื่อเห็นแววตาของซูหว่านอี๋เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เซี่ยฉางชิงก็พูดไม่ออก หลังจากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน “หว่านอี๋ แล้ว…แล้วลูกล่ะ? ลูกของผมกับหว่านอวี๋อยู่ที่ไหนเหรอ?”
หลังจากพูดจบ เขาก็จ้องมองซูหว่านอี๋อย่างคาดหวัง ต้องการที่จะได้รับคำตอบ
ซูหว่านอี๋สูดหายใจลึก พยายามระงับความเกลียดชังที่มีต่อเซี่ยฉางชิง ก่อนจะจ้องกลับแล้วบอกกล่าว “จริง ๆ แล้วคุณก็เคยเจอหล่อนอยู่นะ”
“อะไรนะ…ผมเคยเจอด้วยเหรอ?”
เซี่ยฉางชิงนึกถึงใบหน้าผู้คนมากมาย สุดท้ายก็คำนวณอายุ ก่อนจะไปหยุดที่ใบหน้าของฉินมู่หลาน และเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น “หรือว่าจะเป็นมู่หลาน?”
เขาพลันคิดได้โดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณที่บ่งบอกว่าฉินมู่หลานคือลูกสาวของเขากับซูหว่านอวี๋
ซูหว่านอี๋พยักหน้าแล้วบอก “ใช่ มู่หลานนั่นแหละ หล่อนเป็นลูกสาวของพี่ฉันกับคุณ”
“เป็นหล่อนจริงๆ ด้วย ไม่น่าแปลกใจเลย…ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผมจะรู้สึกคุ้นตามากตั้งแต่เจอหล่อนครั้งแรก มู่หลานหน้าตาเหมือนหว่านอวี๋จริง ๆ เธอกับหว่านอวี๋ก็หน้าตาคล้ายกันอยู่แล้ว สุดท้ายพอรู้ว่ามู่หลานเป็นลูกสาวเธอ ฉันก็ไม่คิดสงสัยเลย ไม่คิดเลย…ไม่คิดเลยว่าจะเป็นลูกสาวของหว่านอวี๋กับผม”
หลังจากพูดจบ เซี่ยฉางชิงก็นั่งไม่ติดที่
“ผมอยากเจอมู่หลาน ผมอยากเจอหล่อนตอนนี้เลย”
ซูหว่านอี๋ส่ายหัวแล้วพูดบอก “คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน ต้องบอกแผนการของคุณมาก่อน”
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งสงบของซูหว่านอี๋ เซี่ยฉางชิงจึงค่อย ๆ สงบลง ตระหนักได้ทันทีว่าถ้าซูหว่านอี๋ไม่พอใจ เขาอาจไม่ได้เจอหน้าลูกสาว
“มู่หลานเป็นลูกสาวของผม แน่นอนว่าก็ต้องกลับไปหาตระกูลเซี่ย มาเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลเซี่ย”
ตัวเขาเองเสียใจในเรื่องของซูหว่านอวี๋มาตลอด เนื่องจากในปีนั้นเขายังไม่มีอำนาจมากพอ แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว ไม่มีใครสามารถบงการเขาได้อีกต่อไป ในเมื่อมู่หลานเป็นลูกสาวของเขา ดังนั้นเธอก็ต้องกลับคืนสู่ตระกูลเซี่ย
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยฉางชิง ซูหว่านอี๋ก็เข้าใจว่าเรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว
“ถึงคุณจะมีความคิดแบบนั้น แต่ฉันจะขอกลับไปถามมู่หลานก่อน ถ้าหล่อนอยากเจอคุณ ฉันก็จะให้หล่อนกลับตระกูลเซี่ยพร้อมคุณ แต่ถ้าหล่อนไม่ตกลง คุณก็อย่าได้คิดจะพามู่หลานกลับตระกูลเซี่ย เพราะตอนนี้มู่หลานไม่ได้มีแค่ฉินเจี้ยนเซ่อเป็นพ่อเท่านั้น แต่ยังมีเจี่ยงสือเหิงเป็นพ่อบุญธรรมด้วย ส่วนพ่อแท้ ๆ อย่างคุณจะมีหรือไม่มีก็ไม่ได้ต่างกัน หลายปีที่ผ่านมาหล่อนก็อยู่ได้แม้จะไม่มีคุณก็ตาม”
ได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของเซี่ยฉางชิงก็หม่นหมองลง ก่อนจะอดพูดไม่ได้ “นั่นเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าผมกับหว่านอวี๋มีลูกสาวด้วยกัน”
ครั้นเขานึกไปถึงตอนที่ซูหว่านอี๋พบเขาครั้งแรก ก็พบว่าหล่อนดูเหมือนไม่อยากคุยกับเขาเลย นอกจากนี้ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องด้วย จึงเอ่ยถาม “ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาบอกเรื่องนี้กับผมล่ะ?”
ซูหว่านอี๋หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเก่าออกจากกระเป๋าสะพายแล้วยื่นให้ ก่อนจะพูดขึ้น “คุณดูเอาเองเถอะค่ะ”
เมื่อเห็นกระเป๋าสตางค์ใบนี้ เซี่ยฉางชิงก็ดูตกใจ หลังจากนั้นคลื่นความเสียใจไม่รู้จบก็ถาโถมเข้ามา
“นี่คือกระเป๋าสตางค์ของหว่านอวี๋ นี่เป็นกระเป๋าสตางค์ที่ผมให้หล่อน กระเป๋าสตางค์ใบนี้ยังอยู่อีกหรือนี่” ขณะที่พูด เขาก็หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาด้วยความตั้งใจแล้วเปิดมันออก เมื่อได้เห็นรูปถ่ายของเขากับหว่านอวี๋ที่อยู่ข้างใน เขาก็จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของหว่านอวี๋ วันที่เขาพาหว่านอวี๋ไปถ่ายรูปด้วยกันที่สตูดิโอถ่ายภาพ
เขามีของตัวเองหนึ่งใบ แล้วก็ให้หว่านอวี๋อีกหนึ่งใบ
น่าเสียดาย…หลังจากถ่ายรูปนั้น เขาก็กลับมาแต่งงานที่เมืองหลวงกับเติ้งซูหลาน จึงโดนเติ้งซูหลานเอาไปเผาทิ้ง ในตอนนั้นหนังสือเล่มโปรดของเขาก็โดนเผาทิ้งร่วมกันหลายเล่ม ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้เขาจะยังมีโอกาสได้เห็นรูปภาพนี้อยู่
เซี่ยฉางชิงลูบไล้ภาพของซูหว่านอวี๋อย่างแผ่วเบา แววตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “หว่านอวี๋…”
ความรักที่ล่าช้าช่างไร้ค่ายิ่งกว่าวัชพืช
ซูหว่านอี๋เห็นท่าทางของเซี่ยฉางชิง แววตาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยย้ำอีก “คุณดูรูปข้าง ๆ สิ”
เซี่ยฉางชิงได้ยินแบบนี้ก็หันไปมอง
ในตอนนั้นเอง ซูหว่านอี๋ก็พูดขึ้น “รูปนี้ถ่ายตอนมู่หลานอายุครบหนึ่งร้อยวัน คุณดูสร้อยคอที่คล้องอยู่บนคอหล่อนสิ น่าจะพอรู้นะว่าสร้อยนั่นพี่ให้ฉันก่อนที่หล่อนจะเสีย บอกให้ฉันมอบให้มู่หลาน นั่นคือ…หล่อนยังหวังว่ามู่หลานกับคุณจะจำกันได้”
เซี่ยฉางชิงเห็นสร้อยคอนั้นได้ชัดเจน นั่นเป็นสัญลักษณ์แทนความรักระหว่างเขากับหว่านอวี๋ ซึ่งบนสร้อยนั้นมีชื่อของเขากับหว่านอวี๋สลักไว้ด้วย
“หว่านอวี๋หล่อน…หล่อนระลึกถึงผมมาตลอด”
ดวงตาของเซี่ยฉางชิงเปลี่ยนเป็นสีแดง เพียงแต่ยังรู้ตัวข้างนอก จึงพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ทว่าแววตากลับฉายแววความรักและความเสียใจอย่างลึกซึ้งแรงกล้าขึ้นกว่าเดิม
“ก่อนหน้านี้ฉันอาศัยอยู่ในชนบทของมณฑลซานตงมาตลอด ตอนมาถึงเมืองหลวงแล้วได้เจอคุณ ในใจฉันก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจที่คุณทำผิดต่อพี่สาวฉัน แต่ช่วงนี้ฉันรู้สึกเห็นแก่พี่สาวขึ้นมา นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเล่าเรื่องตัวตนของมู่หลานให้คุณฟัง ถ้าไม่เชื่อ คุณก็ลองให้คนไปตรวจสอบได้ ไม่ช้าก็จะทราบผลด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดจบ ซูหว่านอี๋ก็ลุกขึ้นยืน แล้วบอกกล่าว “วันนี้ฉันมาพบคุณก็เพราะเรื่องพวกนี้แหละค่ะ ตอนนี้ฉันบอกไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นขอตัวกลับก่อน”
“หว่านอี๋ เธอ…เธออย่าลืมถามมู่หลานให้ดีด้วยนะ”
“ฉันรู้แล้วค่ะ” ซูหว่านอี๋ตอบกลับเบา ๆ หลังจากนั้นก็เอ่ยต่อ “ถึงแม้คุณจะยอมรับมู่หลานเป็นลูกสาวคุณแล้วก็ตาม แต่คนในครอบครัวคุณคงไม่คิดอย่างนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นคุณลองไปคิดให้เรียบร้อยว่าจะทำยังไงให้ครอบครัวคุณยอมรับมู่หลานได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้มู่หลานจะยอมไป ฉันก็คงไม่เห็นด้วย”
หลังจากพูดจบ ซูหว่านอี๋ก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
เซี่ยฉางชิงเฝ้ามองแผ่นหลังของซูหว่านอี๋ที่กำลังเดินจากไปแล้วก็เก็บของให้เรียบร้อย ใบหน้าเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น เขาจะกลับไปใช้เวลาให้น้อยที่สุดในการหาข้อมูล เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่ามู่หลานเป็นลูกสาวของตนก็จะพามู่หลานกลับมาที่บ้านอย่างเปิดเผย แล้วป่าวประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่ามู่หลานเป็นคุณหนูคนโตแห่งตระกูลเซี่ย
ส่วนฉินมู่หลานในตอนนี้กำลังอยู่กับเซี่ยปิงชิง
“มู่หลาน เธอเดาถูกแล้วล่ะ คนที่ทำร้ายเริ่นม่านลี่คือเซี่ยอวี่หรงแน่นอน วันนี้ฉันลองถามเริ่นม่านนีแล้ว คนที่รู้เรื่องล้างพิษของเริ่นม่านลี่ มีแค่คนตระกูลเริ่นกับตระกูลเซี่ยเท่านั้น แล้วท่าทางของเซี่ยอวี่หรงวันนี้ก็ดูไม่ค่อยดีเลย”
เซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่อีกด้านได้ยินเรื่องนี้ก็เอ่ยถามด้วยความสับสนนิดหน่อย “พวกเธอสองคนทำอะไรลับหลังฉันเนี่ย ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
เมื่อคิดว่าจะพูดอะไรต่อ ฉินมู่หลานก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เซี่ยปิงหรุ่ยฟัง หลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “จริง ๆ แล้วมีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้บอกพวกเธอ”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
เซี่ยปิงหรุ่ยกับเซี่ยปิงชิงต่างมองด้วยความสงสัย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แผนกลับเข้าตระกูลเซี่ยของมู่หลานเริ่มเป็นรูปร่างแล้ว ตระกูลเซี่ยเตรียมรับความวินาศสันตะโรได้
ไหหม่า(海馬)