ตอนที่ 358 โดดเด่นไม่เป็นรอง(2)
ตอนที่ 358 โดดเด่นไม่เป็นรอง(2)
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็แอบปรายตามองเริ่นม่านนีเบา ๆ หลังจากนั้นก็หันมองเติ้งซูหลานกับเซี่ยอวี่หรงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ตั้งใจนัก “น้าเติ้ง น้องอวี่หรง ยินดีที่ได้พบทุกคนค่ะ”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานเรียกว่าน้า เติ้งซูหลานจึงอดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยพูดจาเหมือนคนใจกว้าง “จริง ๆ แล้วม่านนีก็พูดถูกนะ คิดดูแล้วฉันก็เป็นแม่เธอจริง ๆ เพราะฉะนั้นเธอก็เรียกฉันว่า ‘แม่’ ได้เหมือนกัน”
ซูหว่านอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินแบบนี้ก็ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ อดใจไม่ไหวแทบอยากจะก้าวเดินไปข้างหน้า แต่เหยาจิ้งจือรั้งเอาไว้ก่อน
“หว่านอี๋ เธออย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น มู่หลานรับมือได้แน่นอน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูหว่านอี๋ก็สงบสติอารมณ์ลง
ฉินมู่หลานจ้องมองเติ้งซูหลานก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม “แม่ของฉันมีแค่ซูหว่านอวี๋เท่านั้นค่ะ เพราะฉะนั้นคงเรียกคุณได้แค่คำว่า ‘คุณน้า’ ฉันว่าพ่อก็ไม่น่าจะว่าอะไรนะคะ” หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปถามเซี่ยฉางชิง “พ่อคะ พ่อว่ายังไงบ้าง?”
หลายคนต่างหันมองเซี่ยฉางชิง อยากจะรู้ว่าเขาจะพูดอะไร
“มู่หลาน ลูกเรียกว่า ‘คุณน้า’ พอแล้ว แม่ของลูกมีแค่ซูหว่านอวี๋คนเดียว”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยฉางชิง ทุกคนจึงหันไปมองทางเติ้งซูหลาน
ใบหน้าของเติ้งซูหลานเปลี่ยนเป็นโกรธจัด จ้องมองเซี่ยฉางชิงตาเขม็ง
เซี่ยฉางชิงไม่ได้หันมองเติ้งซูหลานเสียด้วยซ้ำ เอาแต่หันมองแล้วพูดกับฉินมู่หลาน “มู่หลาน พวกเราไปด้านนั้นกันเถอะ”
“ค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้าตอบตกลง แล้วเดินตามเซี่ยฉางชิงไป
คุณนายเซี่ยเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มดูน่าอับอาย จึงรีบหันไปพูดกับข้าง ๆ “อาหารเสร็จหมดแล้ว ถ้ารีบกินเดี๋ยวจะเย็นชืดหมด พวกเรารับไปนั่งกันดีกว่า”
หลายคนได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า
หลังจากหลายคนนั่งลงกันแล้ว นายท่านเซี่ยในฐานะหัวหน้าตระกูลเซี่ยก็เอ่ยแนะนำฉินมู่หลานด้วยท่าทางจริงจัง เพื่อยอมรับเธอเข้าสู่วงศ์ตระกูล และกลายมาเป็นหลานสาวคนโตของตระกูลเซี่ย
หลังจากแนะนำแล้ว นายท่านเซี่ยก็รีบเชื้อเชิญให้ทุกคนเริ่มรับประทานอาหาร
เซี่ยอวี่หรงเห็นแบบนี้ก็ไม่สามารถฝืนยิ้มบนหน้าได้อีกต่อไป แต่ไหนแต่ไรมาพ่อไม่เคยแนะนำหล่อนให้รู้จักกับเพื่อนของเขาเลยและยังบอกว่าไม่จำเป็น แล้วตอนนี้ล่ะ ทำไมพ่อถึงพาฉินมู่หลานไปแนะนำได้ อีกทั้งยังมีท่าทางกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ราวกับว่าจะแนะนำฉินมู่หลานให้รู้จักกับมิตรสหายของเขาทั้งหมด
“หึ…”
เริ่นม่านนีที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น “คุณอากำลังแนะนำฉินมู่หลานให้เพื่อนของเขาได้รู้จักอยู่เหรอ ดูเหมือนคุณอาจะประคบประหงมหล่อนอย่างกับลูกชายเลยนะ ไม่ได้พาไปรู้จักกับครอบครัวเพื่อนฝูงเท่านั้น แต่ยังแนะนำให้รู้จักกับพวกคนใหญ่คนโตด้วย”
ว่านจี้อวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ใช่แล้ว…เซี่ยฉางชิงทำตัวต่างไปจากเดิมหลังจากได้เจอลูกสาวแท้ ๆ จริงๆ ตอนนั้นเหมือนอวี่เซิ่งของเราก็อยากให้คุณอาพาไปให้รู้จักกับคนพวกนั้น แต่เซี่ยฉางชิงก็ยังหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงต่าง แต่พอมาตอนนี้กลับพาลูกสาวแท้ ๆ ไปแนะนำ ลูกสาวแท้ ๆ ไม่มีทางเทียบกับหลานชายได้หรอก แต่ก็…”
เมื่อพูดถึงท้ายประโยค ว่านจีอวิ๋นก็เหมือนจะเพิ่งคิดถึงเรื่องที่เซี่ยฉางชิงกระทำ จึงพูดด้วยความโกรธนิดหน่อย “อวี่หรงของเราก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของฉางชิงเหมือนกันนะ ทำไมถึงไม่ตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน*ล่ะ ”
(*ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน)
เติ้งซูหลานเห็นพี่สะใภ้ทำตัวแปลกไป จึงจ้องมองหล่อน
“ซูหลาน ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง เธอไม่ต้องกังวลมันหรอก”
คุณนายเซี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “พอแล้ว ไม่เห็นเหรอว่าวันนี้เป็นงานเนื่องในโอกาสอะไร ทำไม…พวกเธอเห็นเรื่องของตระกูลเป็นเรื่องตลกอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงยังไม่รีบสำรวมอีก”
เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่สามีพูด ว่านจี้อวิ๋นกับเติ้งซูหลานก็ไม่พูดอะไรอีก
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานได้รู้จักผู้คนมากมาย อีกทั้งยังได้รู้จักคนใหญ่คนโตเพิ่มอีกหลายคนด้วย
แน่นอนว่าคนอื่นก็เห็นเหตุการณ์นี้เหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบอยู่ตรงนั้น
“เซี่ยฉางชิงปฏิบัติกับลูกสาวคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ ปกติเขาไม่เห็นสนใจเซี่ยอวี่หรงขนาดนี้เลย”
“ใช่แล้ว ดูจากการที่เซี่ยฉางชิงยอมอดทนแนะนำฉินมู่หลานให้ทุกคนได้รู้จักแบบนี้ มันแตกต่างจากท่าทางปกติของเขามากเลย”
“แต่พูดถึงแล้วมันก็เป็นโชคชะตานะ ฉินมู่หลานคนนี้ได้ซูหว่านอี๋เลี้ยงมาในชนบทตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หลานชายของนายท่านเหยาก็อยู่ที่หมู่บ้านนั่นด้วยเหมือนกัน แล้วทั้งสองก็ได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องด้วย”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่หลายคนก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่มากนัก ในสายตาของพวกเขา สองคนนี้เติบโตขึ้นมาในชนบท ถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้รับการยอมรับกลับเข้าตระกูลแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาเกิดและโตขึ้นชนบท
ในที่สุดเซี่ยฉางชิงก็พาฉินมู่หลานไปทำความรู้จักกับทุกคนทั้งหมด ขณะที่เขากำลังจะพาฉินมู่หลานกลับไปนั่งที่ หลิวเสวียข่ายก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับฮั่วเหม่ยอิน
“มู่หลาน ผมขอแนะนำให้คุณรู้จักกับใครคนหนึ่ง นี่คือฮั่วเหม่ยอินป้าสะใภ้ของผม ท่านชอบเครื่องสำอางที่คุณพัฒนามาก เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ผมพามาแนะนำให้รู้จักกับคุณ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะบอกกล่าว “ขอบคุณที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากมู่เสวี่ยของเรานะคะ ต่อไปถ้ามีสินค้าใหม่ ฉันจะส่งให้คุณทันทีเลยค่ะ ให้คุณได้ทดลองก่อนใครเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮั่วเหม่ยอินก็พูดด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอคะ นั่นมันเยี่ยมมากเลย”
หลังจากพูดจบ เธอก็อดถอนหายใจไม่ได้ “มู่หลาน เธอเก่งมากจริง ๆ ก่อตั้งแบรนด์มู่เสวี่ยได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังค้าขายแลกเปลี่ยนเงินตรากับต่างประเทศได้ด้วย เก่งเกินไปแล้ว”
ตรงนี้พูดคุยกันเสียงดังมาก หลายคนจึงได้ยินกันทั่ว
“อะไรนะ…ผู้ก่อตั้งแบรนด์มู่เสวี่ยคือฉินมู่หลานเหรอ? จริงหรือหลอกกันเนี่ย?”
“จริงสิ”
“ยังเด็กอยู่เลยแต่ดูหน่วยก้านดีทีเดียว”
ผู้ชายบางคนยังไม่มีปฎิกิริยาอะไร แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างก้าวเดินออกมาข้างหน้ากันแล้ว ก่อนจะมองฉินมู่หลานด้วยแววตาเปล่งประกายแล้วพูดขึ้น “ไอ้หยา มู่หลาน ที่แท้เธอก็เป็นคนก่อตั้งแบรนด์มู่เสวี่ยนี่เอง นี่มันน่าเหลือเชื่อไปเลย ได้ยินมาว่าสินค้าของมู่เสวี่ยได้ออกไปวางจำหน่ายในต่างประเทศด้วย”
“ใช่แล้ว เก่งมากเลย”
“มู่หลาน ตระกูลเซี่ยให้เธอกลับไป ก็เป็นโชคดีของพวกเขาแล้วล่ะ”
ถึงตอนนี้ สายตาที่ทุกคนมองฉินมู่หลานก็เปลี่ยนไป
และในตอนนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดพูดไม่ได้ “เครื่องสำอางมีประโยชน์อะไรกัน มู่หลานยังพัฒนายาพิเศษอีกหลายชนิด ยาแก้อักเสบที่ทรงประสิทธิภาพที่เธอพัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้มีประโยชน์มาก”
“อะไรนะ…ยาแก้อักเสบที่ทรงประสิทธิภาพ ใช่อันที่ฉันคิดไหม?”
“ก็คงอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดขึ้นแบบจำเพาะเจาะจงหรอก”
“โอ้…ตระกูลเซี่ยช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ถึงได้หลานสาวคนนี้กลับเข้าตระกูล”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โดนเขี่ยทิ้งจากตระกูลแน่สองแม่ลูกคู่นั้น มู่หลานแสดงตัวขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)