ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 361 จุดประสงค์ชัดเจน(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 361 จุดประสงค์ชัดเจน(1)

ตอนที่ 361 จุดประสงค์ชัดเจน(1)

หลังจากฉินมู่หลานกับคนอื่นกลับไป เธอก้นำสร้อยข้อมือทองคำที่เติ้งซูหลานมอบให้เด็กทั้งสองออกมา ก่อนจะนำมาสำรวจอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ใส่กลับไป

ซูหว่านอี๋เห็นแบบนี้ก็อดถามไม่ได้ “มู่หลาน หรือว่าสร้อยข้อมือที่เติ้งซูหลานให้จะมีปัญหาอะไรบางอย่าง?”

“แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถึงจะไม่มีปัญหาอะไร หนูก้ไม่คิดจะใส่ให้ลูกทั้งสองคนหรอกค่ะ”

ซูหว่านอี๋ตอบกลับอย่างเห็นด้วย “ใช่ ไม่ต้องใส่ให้เด็กทั้งสองคนหรอก ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดี”

หลังจากว่ากล่าวแล้ว ซูหว่านอี๋ก็เห็นว่าหลายคนยังอยู่ตรงนั้น จึงรู้สึกเขินอายนิดหน่อย เพราะตนไม่เคยพูดจาแบบนี้มาก่อน

ส่วนคนอื่นไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร ก่อนจะพากันหัวเราะแล้วกลับห้อง

เซี่ยเหวินปิงกับเหยาจิ้งจือกลับเข้าห้องทันที ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงก็อยากจะกลับไปที่ห้องของจัวเอง แต่โดนเซี่ยปิงชิงรั้งเอาไว้ก่อน “เจี่ยงสือเหิง คุณรอเดี๋ยว ฉันจะพาคุณไปดูผลงานล่าสุดของฉัน”

เมื่อเห็นแววตาเปล่งประกายของสาวน้อย เจี่ยงสือเหิงจึงยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “ได้” หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปทางห้องพักที่เซี่ยปิงชิงอาศัยอยู่

ฉินมู่หลานกันมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วเอ่ยพูดขึ้น “อาหลี่ คุณพาลูกทั้งสองกลับห้องก่อนเถอะค่ะ” หลังจากพูดจบก็หันไปพูดกับฉินเคอวั่ง “เคอวั่ง พวกเรามาคุยกันหน่อยเถอะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินเคอวั่งย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

หลังจากสองพี่น้องเดินถึงสวนหลังบ้านแล้ว ฉินมู่หลานก็บอกให้ฉินเคอวั่งนั่งลง “เคอวั่ง ที่แท้นายก็กังวลว่าถ้าพี่กลับตระกูลเซี่ยแล้วเราจะไม่ได้เป็นพี่น้องกันแล้วใช่ไหม”

หากคืนนี้เธอไม่ได้ยินคำพูดของฉินเคอวั่ง เธอคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้มีความกังวลใจเรื่องนี้อยู่

ฉินเคอวั่งรู้สึกเขินอายนิดหน่อย แต่ก็ยอมพยักหน้าแล้วบอกกล่าวตามตรง “ใช่ครับ ผมกลัวว่าพี่จะต้องออกจากบ้านไป แล้วพวกเราจะไม่ใช่คนในครอบครัวกันอีก”

เมื่อมองดูฉินเคอวั่งที่ตอนนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะเขา ก่อนจะพูดขึ้น “เคอวั่ง พี่ไม่ได้คิดจะออกจากบ้าน แล้วก็จะไม่เป็นลูกของคนอื่นด้วย พวกเราเป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นพี่น้องกันชั่วชีวิต เรื่องนี้พี่ก็เคยบอกไปแล้ว เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องกังวลหรอกนะ”

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของพี่สาว ฉินเคอวั่งก็อดหัวเราะไม่ได้

“อื้ม พี่ ผมเข้าใจแล้ว”

เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของฉินเคอวั่ง ฉินมู่หลานก็ทราบว่าเขาเข้าใจแล้ว จึงยิ้มแล้วเอ่ยพูดกับเขา “เอาล่ะ ต่อไปมีอะไรก็มาคุยกับพี่ได้ อย่าเก็บไปคิดมากคนเดียวอย่างนั้น”

“ครับ”

ฉินเคอวั่งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นก็กลับห้องอย่างมีความสุข

หลังจากฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งคุยกันเสร็จแล้วก็รีบกลับห้องกันทันที เพียงแต่เมื่อกลับมาถึงห้องก็พบว่าเด็กทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นี่ จึงหันไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วถามขึ้น “อาหลี่ ชิงชิงกับเฉินเฉินล่ะ?”

“ผมพาพวกเขาไปฝากไว้กับแม่ คืนนี้พวกเขาจะนอนกับพ่อแม่”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็หันมองด้วยความสงสัย ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมให้ลูก ๆ ไปนอนกับพ่อแม่กะทันหันแบบนี้ล่ะ ปกติพวกเขาก็นอนกับเรา อยู่ ๆ ได้ไปนอนกับพ่อแม่กะทันหัน ถ้านอนไม่หลับขึ้นมาจะทำยังไง”

เซี่ยเจ๋อหลี่หันมองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน ผมเคยบอกคุณแล้วว่า ผมจะต้องกลับกองทัพเร็ว ๆ นี้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดหันมองเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “พรุ่งนี้คุณจะไปแล้วเหรอ?”

“ใช่”

เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้ายอมรับตามตรง หลังจากนั้นเมื่อเห็นฉินมู่หลานนิ่งไป เขาก็เดินเข้ามากอด ก่อนจะโน้มลงมากระซิบข้างใบหูของฉินมู่หลาน “เพราะฉะนั้น…คืนนี้พวกเราจะนอนกันสองคนตามลำพัง ให้เจ้าตัวเล็กสองคนอยู่กับพ่อแม่ไปก่อนหนึ่งคืน”

จุดประสงค์ในคืนนี้ของเขาชัดเจนมาก เขาวางแผนเรื่องส่งเด็กน้อยทั้งสองเอาไว้นานแล้ว

เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของฉินมู่หลานก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

แน่นอนว่าเธอก็เข้าใจความหมายนี้เหมือนกัน แต่ก่อนที่จะทันได้พูดอะไร เซี่ยเจ๋อหลี่ก็คว้าคนเข้ามาในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว ทั้งสองล้มลงไปบนเตียง หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็ไม่มีแรงจะพูดอีกต่อไป

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น หลังฉินมู่หลานตื่นขึ้นมาแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย

“มู่หลาน คุณนอนต่อเถอะ”

ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่นอนแล้วค่ะ ฉันจะไปส่งคุณ”

ทั้งสองอาบน้ำเสร็จแล้วก็มาถึงห้องอาหาร ก่อนจะพบว่าเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี่กำลังกินมื้อเช้าอยู่กับเด็ก ๆ ทั้งสองคนอยู่ ในชามของเด็กสองคนเต็มไปด้วยฟักทองบด ซึ่งทั้งคู่กินกันอย่างจริงจังมาก

เหยาจิ้งจือเห็นลูกชายคนเล็กกับลูกสะใภ้มาแล้ว ก็รีบทักทายพวกเขา “มู่หลาน อาหลี่ พวกเธอรีบมากินข้าวเช้าเร็ว”

พูดจบก็ตักโจ๊กให้ทั้งสองคน อีกทั้งยังนำซาลาเปามาให้อีก

ฉินมู่หลานเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงกับคนอื่นยังไม่มา จึงอดถามไม่ได้

เหยาจิ้งจือได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วบอกกล่าว “เจี้ยนเซ่อ เคอวั่งแล้วก็เหวินปิงกินข้าวเช้าแล้วก็ไปที่บ้านของคุณเผยกันแล้ว ส่วนพ่อบุญธรรมของเธอออกไปข้างนอกกับปิงชิงตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าออกไปทำอะไรกัน”

“พ่อบุญธรรมกับปิงชิงออกไปข้างนอกด้วยกันเหรอคะ?’

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พวกเขาออกไปไหนกันแต่เช้านะ”

“ไม่รู้ ทั้งสองคนไม่ได้บอกเลย”

จริง ๆ แล้วเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน แต่ในเมื่อทั้งสองไม่บอก พวกหล่อนจึงไม่เอ่ยถาม

ฉินมู่หลานก็ไม่มีเบาะแสเหมือนกัน จึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วบอกให้เซี่ยเจ่อหลี่กินข้าวเยอะ ๆ แทน “จะเดินทางแล้ว เพราะฉะนั้นคุณควรจะกินเยอะ ๆ หลังจากกลับไปครั้งนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้หยุดแล้วกลับมาอีกคะ?”

เซี่ยเจ่อหลี่ส่ายหน้าพลางกล่าว “ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้หยุดเมื่อไหร่ ไปถึงแล้วผมจะติดต่อมาหาคุณ แล้วเล่าเรื่องทางฝั่งนั้นให้ฟังนะ”

“ได้ค่ะ”

ฉินมู่หลานพยักหน้าตามตรง หลังจากนั้นก็เตือนให้เขาระวังตัวอีกครั้ง

ซูหว่านอี๋ไม่รู้ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะไปวันนี้ รู้เพียงเมื่อเช้าเห็นเหยาจิ้งจือพาเด็กทั้งสองคนมาหา หลังจากถามเพิ่มเติมแล้วจึงได้ทราบ ตอนนี้เมื่อเห็นสีหน้าของลูกสาวดูไม่ค่อยเต็มใจนัก จึงอดหันมองแล้วเอ่ยถามเซี่ยเจ๋อหลี่เสียไม่ได้ “อาหลี่ ต่อไปเธอย้ายมาประจำกองทัพที่นี่ได้ไหม คงจะสะดวกกว่าเยอะเลยนะ”

หล่อนทราบว่าที่นี่ก็มีฐานทัพเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่

เซี่ยเจ๋อหลี่เองก็เล็งเห็นถึงปัญหานี้เหมือนกัน เพียงแต่เขาคงไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ “อาจจะไม่ได้ครับ”

เมื่อเห็นลูกเขยพูดแบบนี้ ถึงแม้ว่าซูหว่านอี๋จะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ยังพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก้ช่างมันเถอะ ตอนนี้เธอกำลังค่อย ๆ ตั้งหลักตรงนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ทำมันให้ดีละกันนะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้ารับตามเคยเมื่อได้ยินแบบนี้

หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็หยิบกระเป๋าเดินทางที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินจากไปทันที

หลังจากฉินมู่หลานส่งเซี่ยเจ๋อหลี่เสร็จแล้ว ก็วางแผนจะไปเยี่ยมเสิ่นหรูฮวน

“แม่คะ เดี่ยวหนูจะไปเยี่ยมหรูฮวนหน่อย ไม่ได้เจอหล่อนนานแล้ว”

ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นลูกรีบไปเถอะ แม่อยู่ตรงนี้ดูเด็กสองคนเอง ลูกไม่ต้องห่วง”

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หล่อนจึงหยุดอยู่บ้านเพื่อพักผ่อนหนึ่งวัน รอจนกระทั่งถึงสัปดาห์หน้า ก็จะให้เหยาจิ้งจือได้เปลี่ยนหยุดพักกันบ้าง แล้วจึงไปทำงานที่โรงงานแทน

หลังจากฉินมู่หลานมาถึงบ้านตระกูลเสิ่นแล้ว ถงทิงผิงก็ต้อนรับเธออย่างอบอุ่นแล้วเชื้อเชิญให้เธอเข้ามา

“มู่หลาน เธอมาทำอะไรที่นี่ตรงนี้ รีบเข้ามาก่อนเร็ว”

เสิ่นหรูฮวนเห็นฉินมู่หลานแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมาก “มู่หลาน เธอมาแล้ว”

ฉินมู่หลานเห็นว่าท้องของเสิ่นหรูฮวนไม่เล็กแล้ว จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ขอฉันตรวจชีพจรเธอหน่อย”

“ได้สิ”

เห็นมู่หลานตรวจชีพจรให้ตน หล่อนก็ตื่นเต้นดีใจ

ฉินมู่หลานดึงมือกลับและบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกอย่างปกติดี”

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น้องชายไม่เศร้านะคะ อุดมการณ์พี่สาวชัดเจนแล้วว่าจะไม่อยู่บ้านเซี่ย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท