ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 374 เธอไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 374 เธอไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม

ตอนที่ 374 เธอไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม

เจี่ยงสือเหิงได้ฟังคำพูดของเซี่ยปิงซิง จึงเล่าเรื่องของตัวเองตอนนี้ให้ฟัง หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น “คุณแน่ใจเหรอว่าถ้าคุณปู่เห็นจดหมายแล้ว ท่านจะไม่โกรธไปมากกว่าเดิม”

หลังจากเซี่ยปิงชิงได้ยินสิ่งที่เจี่ยงสือเหิงพูด ก็อดเอ่ยขึ้นเสียไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวชีวิตของคุณจะค่อนข้างโหดร้าย แต่ก็โชคดีแล้วที่ได้พบกับมู่หลาน ไม่อย่างนั้นคุณคงตายไปแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องราวครั้งนั้นขึ้นมา เจี่ยงสือเหิงก็อดมีอารมณ์ร่วมนิดหน่อยเสียไม่ได้

“ใช่แล้ว ผมโชคดีที่ได้เจอมู่หลาน”

เซี่ยปิงชิงได้ยินแบบนี้ จึงอดตบบ่าเจี่ยงสือเหิงเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่เป็นไร ต่อไปเมื่อมีฉันแล้ว รับรองว่าจะไม่ปล่อยให้คุณตกอยู่ในอันตรายแน่นอน”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของเซี่ยปิงชิง และเห็นสาวน้อยจับหน้าตาของเขา เจี่ยงสือเหิงจึงกำหมัดนิดหน่อย เป็นการแสดงออกเพียงเล็กน้อยที่บ่งบอกว่าเขากำลังหวั่นไหว เขายอมรับว่าตอนนี้กำลังรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก นับตั้งแต่เขาตอบตกลงว่าจะเป็นคู่ครองของเซี่ยปิงชิง ก็ดูเหมือนหลายสิ่งหลายอย่างดูอยู่เหนือการควบคุมนิดหน่อย

“ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อไปรบกวนคุณด้วยนะ”

“ได้เลย”

เซี่ยปิงชิงยิ้มแล้วพยักหน้าพลางเขียนจดหมายต่อไป จากนั้นจึงวางแผนที่จะส่งมันหลังเขียนเสร็จเรียบร้อย

“ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะให้คนออกไปส่งให้”

เซี่ยปิงชิงเห็นว่าตอนนี้ใกล้มืดแล้ว หล่อนจึงรีบพยักหน้าแล้วบอกกล่าวทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยไปส่ง ตอนนี้เรียบร้อยไม่มีอะไรแล้ว คุณก็ไปได้แล้วล่ะ”

แต่ถึงอย่างนั้น เจี่ยงสือเหิงกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว พูดขึ้นว่า “คุณเพิ่งถามเกี่ยวกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม ถ้าอย่างนั้นคุณก็เล่าเรื่องของคุณบ้างสิ เผื่อว่าผมถูกถามขึ้นมาแล้วไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวคุณเลย จะโดนจับได้ว่าแค่แกล้งทำ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงชิงจึงคิดว่าค่อนข้างสมเหตุสมผล หล่อนจึงเอ่ยเล่าเรื่องทุกอย่าง นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องบางอย่างในวัยเด็กให้ฟังด้วย “ถ้ามีใครมาถาม คุณก็ตอบไปได้เลยนะ”

เจี่ยงสือเหิงยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะพูด “อื้ม ผมจะจำเอาไว้”

“อย่างนั้นก็ดีค่ะ”

เมื่อเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงยังไม่ไปสักที เซี่ยปิงชิงจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ?”

“ใกล้จะถึงเวลากินข้าวเย็นแล้ว คุณอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวผมจะให้คนครัวไปทำให้”

เมื่อพูดถึงเรื่องอาหารเย็นขึ้นมา เซี่ยปิงชิงอยากกินอะไรสักอย่างจริง ๆ “ฉันอยากกินบะหมี่ผัด ออกจากบ้านมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้กินบะหมี่ผัดเลย”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมให้ทางครัวทำให้”

หลังจากนั้นเจี่ยงสือเหิงก็ลุกขึ้นยืน แล้วนำจดหมายของเซี่ยปิงชิงมาด้วย “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะให้คนไปส่งให้นะ”

“ค่ะ”

เมื่อถึงเวลากินอาหารเย็น จานบะหมี่ผัดมันเยิ้มก็วางอยู่บนโต๊ะ และอยู่ตรงหน้าเซี่ยปิงชิงพอดี

ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ จึงอดถามไม่ได้ “ของพวกเราไม่มีเหรอคะ กลิ่นหอมมาก น่ากินมากจริง ๆ”

เซี่ยปิงชิงได้ยินแบบนี้ จึงอดหันมองแล้วเอ่ยถามเจี่ยงสือเหิงเสียไม่ได้ “ฉันบอกว่าอยากกินบะหมี่ผัด ไม่ใช่ว่าทำให้ฉันคนเดียวหรอกนะ”

เจี่ยงสือเหิงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ถูกแล้ว ทำให้แค่คุณคนเดียวเท่านั้น”

เซี่ยปิงชิงได้ยินแบบนี้ จึงทำได้เพียงหันมองฉินมู่หลานอย่างนึกเสียใจ “มู่หลาน มันมีแค่นี้เอง ถ้าเธออยากกิน ฉันแบ่งให้ครึ่งหนึ่งก็ได้นะ”

ฉินมู่หลานโบกมือแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอก ฉันพูดเล่นน่ะ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ฉินมู่หลานก็ส่งสายตาไปหาเจี่ยงสือเหิงอย่างมีนัย ดูไม่ออกเลยว่าพ่อบุญธรรมจะเป็นคนแบบนี้

“มู่หลาน ถ้าลูกอยากกินเดี๋ยวพ่อให้ทางครัวทำเพิ่มให้อีกชาม”

“ไม่ต้องหรอกค่ะพ่อ ฉันแค่พูดเล่นจริง ๆ” ฉินมู่หลานพูดแล้วรีบลงมือทานทันที

เจี่ยงสือเหิงเห็นแบบนี้จึงไม่พูดอะไรอีก เขาเห็นว่าเซี่ยปิงชิงเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง จึงเทน้ำให้หล่อนแล้ววางเอาไว้ให้ข้าง ๆ “ถ้าเผ็ดก็กินน้ำ”

“ค่ะ”

เซี่ยปิงชิงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ รู้สึกชื่นใจขึ้น

ทั้งสองไม่ได้มีท่าทางอะไรมากมาย แต่ฉินมู่หลานกลับรู้สึกว่าเจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยปิงชิงดูแตกต่างออกไปจากเดิม

เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ก็เห็นเหมือนกัน หลังจากเกิดเรื่องน่าตกใจเป็นครั้งแรก พวกหล่อนก็คิดว่าทั้งสองตอนนั่งอยู่ด้วยกันช่างดูดีมากจริง ๆ ฝ่ายผู้ชายก็ดูดี ผู้หญิงก็หน้าตาสวย ทั้งสองอยู่ด้วยกันจึงดูเสริมกันมากยิ่งขึ้น

คนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คือฉินเคอวั่ง หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบหนึ่งขวบ เขาก็ไปส่งอาจารย์เหลียงถงกลับบ้าน หลังจากนั้นก็โดนอาจารย์เรียกไปนั่งถามเยอะแยะมากมายเกี่ยวกับการสอบที่มหาวิทยาลัย จนถึงมื้อเย็นแล้วจึงเพิ่งกลับมา ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เหมือนทุกคนจะจับจ้องไปที่ลุงเจี่ยงกับพี่สาวเซี่ยด้วยสายตาแปลก ๆ

เซี่ยปิงชิงไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หลังจากได้กินบะหมี่ผัดหนึ่งชามอย่างมีความสุขแล้ว หล่อนก็ใกล้อิ่ม เมื่อเห็นเจี่ยงสือเหิงถามว่าจะกินอีกไหม จึงส่ายหัวทันที

เจี่ยงสือเหิงได้ยินแบบนี้ จึงลงมือกินเอง

ในตอนนี้ ทุกคนก็กินกันไม่เยอะแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จจึงแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเอง

หลังจากฉินมู่หลานกลับไปก็เริ่มเตรียมกระเป๋าเดินทางให้เซี่ยเจ๋อหลี่ เมื่ลองคำนวณเวลา เธอก็อดพูดไม่ได้ “เดี๋ยวฉันใกล้จะปิดเทอมแล้ว ถ้าหยุดเมื่อไหร่จะไปหาคุณนะคะ ถ้าเป็นไปได้ก็จะไปอยู่ที่บ้านพักกับคุณสักช่วงหนึ่ง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ

“จริงเหรอมู่หลาน คุณจะไปหาผมหลังจากหยุดจริงเหรอ แล้วคิดจะอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่งด้วยเหรอ?”

เมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ดีใจ ฉินมู่หลานจึงยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “จริงอยู่แล้วค่ะ ทำไมฉันต้องโกหกคุณด้วยล่ะคะ แต่ถึงตอนนั้นจะพาลูก ๆ ไปด้วยไหม ฉันยังไม่แน่ใจ”

“ให้ลูก ๆ ไปด้วยก็ได้”

แต่เมื่อพูดแบบนี้ เขาก็รีบปฏิเสธเองอีกครั้ง “ช่างเถอะ ลูก ๆ ควรอจะอยู่ที่นี่นั่นแหละ ตอนนั้นผมคงไม่ว่าง คงช่วยดูแลพวกลูก ๆ ได้แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนเช้าคุณต้องดูแลลูกเองคนเดียว คงลำบากมากแน่นอน”

ฉินมู่หลานครุ่นคิดก่อนจะตอบ “ถึงตอนนั้นฉันจะให้เหวินเฉียนกับชุยเสี่ยวผิงไปที่นั่นด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่ลำบากมาก”

“แบบนี้ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมกลับไปจะเตรียมที่พักให้เหวินฉียนกับชุยเสี่ยวผิง ถึงเวลาพวกคุณจะได้ไปที่นั่นได้เลย”

“ดีเลยค่ะ”

ทั้งสองตัดสินใจแผนการเดินทางของพวกเขาแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องจากไปในวันพรุ่งนี้ เพราะอีกไม่นานเขาจะได้เจอหน้ามู่หลานกับลูกทั้งสองคนอีกครั้งแล้ว

เมื่อถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เหยาจิ้งจือก็นำบางอย่างมาที่นี่ “อาหลี่ แม่มีของกินอยู่นิดหน่อย แกเอาไปด้วยเถอะ” หล่อนทราบว่าลูกชายจะกลับวันนี้ จึงเตรียมทำของกินบางอย่างไปให้

“ขอบคุณครับแม่”

เซี่ยเจ๋อหลี่ยอมรับมันพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ยัดของลงไปในกระเป๋า

ส่วนทางด้านเจี่ยงสือเหิงนั้นก็ให้ลุงเจี่ยงออกไปส่งจดหมายให้ตั้งแต่เช้า

ในที่สุดลุงเจี่ยงก็สบโอกาส เขาหันมองเจี่ยงสือเหิงอย่างเงียบ ๆ แล้วเอ่ยถาม “นายน้อยครับ นายน้อยกำลังคบหากับคุณหนูเซี่ยปิงชิงอยู่เหรอครับ?”

หลังจากพูดจบ สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง นายน้อยอายุเท่านี้แล้ว หากหาใครสักคนมาอยู่ด้วยกันได้จริง เช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่ดีมาก

เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังของลุงเจี่ยง เจี่ยงสือเหิงจึงยิ้มแล้วบอกกล่าว “ใช่ เป็นเรื่องจริง”

“ดีมากเลยครับนายน้อย ผมเองก็คิดว่าคุณปิงชิงเป็นสาวน้อยที่เก่งมาก ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพวกคุณลงเอยกัน”

เจี่ยงสือเหิงรู้สึกเขินนิดหน่อยเมื่อต้องพูดแบบนั้น เขาจึงรีบพูดกลบเกลื่อนให้ลุงเจี่ยงรีบไปทำงานเสีย

วันนี้เซี่ยปิงหรุ่ยมาที่นี่อีกครั้ง หล่อนรู้สึกว่าตัวเองยังต้องปลอบใจน้องสาว และตอนนี้เองหล่อนก็ได้ยินข่าวชวนตะลึง

“อะไรนะ…เธอมีคนในใจแล้ว แล้วคนนั้นก็คือเจี่ยงสือเหิงพ่อบุญธรรมของมู่หลาน เธอไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีแต่คนเชียร์ให้คบกัน ถ้าอย่างนั้นก็มีทางเป็นไปได้อยู่น้า

ไหหม่า(海馬)

…………………………………………

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท