ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 377 ที่พูดมามันไม่ถูกต้อง

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 377 ที่พูดมามันไม่ถูกต้อง

ตอนที่ 377 ที่พูดมามันไม่ถูกต้อง

เมื่อเห็นลูกสาวตอบตกลง เซี่ยฉางชิงจึงรู้สึกดีใจมาก จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ดีเลย พรุ่งนี้พ่อจะขอให้ทางครัวเตรียมของโปรดลูกเอาไว้นะ“

พูดจบเขาก็หันมองฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยอีกครั้งแล้วพูดขึ้น “พวกลูกจะกลับกันแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพ่อไปส่งพวกลูกเอง”

ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “ไม่ต้องหรอกค่ะ พ่อกลับไปก่อนเถอะ ฉันกับปิงหรุ่ยจะไปรับเคอวั่ง แล้วเดี๋ยวต้องไปที่อื่นต่อค่ะ”

เซี่ยฉางชิงเห็นว่าลูกสาวไม่อยากให้เขาไปส่ง จึงได้แต่รู้สึกเสียใจแล้วพูดขึ้น “ก็ได้ พวกลูกระวังด้วยนะ”

พูดจบเขาก็เฝ้ามองพวกฉินมู่หลานเดินจากไป หลังจากนั้นเขาก็กลับเหมือนกัน

แต่สิ่งที่เซี่ยฉางชิงไม่ทันได้สังเกตก็คือ เซี่ยอวี่หรงที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไรกัน แต่เมื่อเห็นเซี่ยฉางชิงทำสีหน้าแบบนั้นแล้วก็ทราบว่าเขารักลูกสาวคนโตอย่างฉินมู่หลานมากขนาดไหน เมื่อฉินมู่หลานเดินไปจนลับตาก็เห็นเขาเดินกลับไปโดยไม่หันหลังมาเหลียวมอง ที่แท้ก็ไม่ได้นึกถึงลูกสาวคนเล็กอย่างหล่อนเลย

ในใจของเซี่ยอวี่หรงมีแต่ความเกลียดชัง ในสายตาของพ่อตอนนี้มีแค่ลูกสาวอย่างฉินมู่หลานคนเดียวเท่านั้น ส่วนหล่อนกับแม่ไม่ได้อยู่ในใจของพ่ออีกต่อไปแล้ว

ฉินมู่หลานไม่ได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกสาวคู่นี้เลย ตอนนี้เธอกับเซี่ยปิงหรุ่ยมาถึงประตูมหาวิทยาลัยชิงหวา ก่อนจะเห็นว่าฉินเคอวั่งรออยู่ตรงนั้นแล้ว

“เคอวั่ง ไป พวกเรากลับบ้านกัน”

ฉินเคอวั่งเห็นพี่สาวมา ก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “พี่ครับ สอบเป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่มีปัญหาอะไร แล้วนายล่ะ?” ฉินมู่หลานมั่นใจในการสอบมาก เพราะเธอรู้หลายอย่างมาก่อนแล้ว ข้อสอบจึงไม่ยากสำหรับเธอ ส่วนเซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ต่างกัน นับว่าการสอบครั้งนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเธอทีเดียว

ฉินเคอวั่งได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ผมก็รู้สึกว่าทำได้”

ทั้งสามพูดคุยกันขณะเดินกลับบ้านตระกูลเจี่ยง และฉินมู่หลานก็ถามฉินเคอวั่งเรื่องแผนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของฉินเคอวั่งก็เป็นประกาย “ในที่สุดก็จะถึงวันหยุดแล้ว ผมจะได้เรียนกับอาจารย์ต่อ ผมเห็นอาจารย์บอกว่า กว่าเรือนสี่ประสานของลุงเผยจะเสร็จคงอีกนานเลยครับ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “วางแผนไว้แบบนี้ก็ค่อนข้างดีเลย นายควรตั้งใจเรียนกับอาจารย์ให้ดี”

“อื้ม”

ไม่นานทั้งสามก็มาถึง โดยเซี่ยปิงหรุ่ยขอตัวกลับไปหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ

และฉินมู่หลานก็บอกซูหว่านอี๋เกี่ยวกับเรื่องจะไปกินอาหารที่บ้านตระกูลเซี่ยในวันพรุ่งนี้

“ทำไมต้องไปกินข้าวที่นั่นอีก กว่าลูกจะได้มีเวลาพักผ่อนนั้นไม่ง่ายเลย พรุ่งนี้แม่วางแผนจะทำของโปรดให้ลูกกับเคอวั่งด้วยนะ” ซูหว่านอี๋ยังคิดจะหยุดงานพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันจะอยู่ทำอาหารให้ลูกสาวได้กิน ไม่คิดว่าลูกสาวจะไปบ้านตระกูลเซี่ย

“เซี่ยฉางชิงบอกว่ามีเรื่องเก่าจะเล่าให้หนูฟัง เป็นไปได้ว่าเขาจะเจออะไรบางอย่างแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูหว่านอี๋ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “เซี่ยฉางชิงรู้แล้วจริงเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น?”

“เรื่องนี้ยังไม่แน่ใจค่ะ เดี๋ยวรอไปบ้านตระกูลเซี่ยพรุ่งนี้ หนูจะถามเขาให้ละเอียด”

เมื่อเห็นลูกสาวบอกแบบนั้น ซูหว่านอี๋ก็ไม่เอ่ยคัดค้านอะไรอีก

วันรุ่งขึ้น หลังจากฉินมู่หลานไปซื้อของบางอย่างแล้วก็ตรงไปที่บ้านตระกูลเซี่ย

เซี่ยฉางชิงเห็นลูกสาวกลับมา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข แม้แต่คุณนายเซี่ยก็ยังโบกมือให้ฉินมู่หลานก่อนจะพูดว่า “มู่หลาน มานั่งนี่เร็ว พ่อของหลานรู้ว่าหลานจะมาวันนี้ ก็วุ่นตั้งแต่เมื่อคืน ให้ในครัวเตรียมของเอาไว้เยอะเลย วันนี้เรามากินข้าวด้วยกันเถอะ เขาน่ะยังเอาอาหารทะเลกลับมาเยอะแยะเลยนะ บอกว่าหลานชอบกิน”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็หันไปมองเซี่ยฉางชิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากนะคะคุณพ่อ”

เซี่ยฉางชิงรีบโบกมือทันที ก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่เห็นเป็นไรเลย ขอเพียงแค่ลูกชอบกินก็จะเตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว”

ครั้งสุดท้ายที่ได้กินอาหารด้วยกัน เขาสังเกตเห็นว่าลูกสาวชอบกินอาหารทะเล เขาจึงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ขณะที่หลายคนกำลังคุยกัน เติ้งซูหลานก็เดินเข้ามา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

“แม่คะ เดี๋ยวแม่ของฉันจะมาหา บอกว่าไม่ได้เจอแม่นานแล้วค่ะ ว่าจะมาพูดคุยกับแม่ด้วย” หลังจากพูดจบ หล่อนก็เพิ่งสังเกตเห็นฉินมู่หลาน รอยยิ้มบนใบหน้าจึงแข็งทื่อขึ้นมาทันที แต่ไม่นานนักก็ยกยิ้มขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวทักทาย “มู่หลาน เธอมาบ้านทั้งทีทำไมถึงไม่บอกล่วงหน้าล่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หน้าตาของเซี่ยฉางชิงก็บูดบึ้งน่าเกลียดนิดหน่อย

“มู่หลานกลับบ้านตัวเอง จำเป็นต้องบอกคุณล่วงหน้าด้วยเหรอ?”

เมื่อเห็นสามีโกรธ เติ้งซูหลานจึงกำหมัดแน่น แต่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิเอาไว้ ก่อนจะพูดขึ้น “ฉางชิง ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่ไม่คิดว่ามู่หลานก็มาด้วย”

คุณนายเซี่ยที่อยู่ข้าง ๆ จึงพูดขึ้น “ซูหลาน เธอบอกว่าแม่ของเธอจะมาเหรอ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เติ้งซูหลานจึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่ค่ะ ฉันเองก็เพิ่งได้รับข้อความเมื่อเช้านี้ แม่บอกว่าจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ค่ะ”

หลังจากเพิ่งพูดจบ ตรงหน้าประตูก็มีการเคลื่อนไหว

เติ้งซูหลานหันไปมอง ก่อนจะพบว่าแม่แท้ ๆ ของตัวเองมาถึงแล้ว จึงรีบไปทักทาย “แม่ ทำไมมาเร็วจังเลยคะ”

“อยู่ที่บ้านก็ไม่มีธุระอะไร ก็เลยมาเร็วหน่อย”

คุณนายเติ้งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ไม่นานนักก็สังเกตเห็นฉินมู่หลาน ถึงแม้จะคาดเดาเอาไว้ในใจแล้ว แต่ก็ยังหันไปถามเติ้งซูหลานอยู่ดี “ซูหลาน นี่ใครกัน?”

“แม่ คนนี้คือ…มู่หลาน”

“อ๋อ…เป็นลูกสาวนอกสมรสของฉางชิงสินะ”

ฉินมู่หลานก็นึกไม่ถึงว่าการมาที่นี่ในวันนี้จะทำให้มาเจอกับแม่ของเติ้งซูหลานได้ แต่ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นผู้อาวุโส เธอก็ไม่คิดจะข่มโทสะลงเลยสักนิด “คุณนายคะ คุณพูดแบบนี้ผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ใช่ลูกสาวนอกสมรส ฉันเป็นลูกสาวคนโตของคุณพ่อ มันลำดับเอาไว้ในแผนผังวงศ์ตระกูลเซี่ย และเซี่ยอวี่หรงก็เป็นแค่ลูกสาวคนรองของคุณพ่อค่ะ”

คุณนายเติ้งนึกไม่ถึงว่าฉินมู่หลานจะมีคารมคมคายเช่นนี้ นอกจากนี้ยังกล้าพูดต่อหน้าผู้อาวุโสมากมาย ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง คุณนายเซี่ยก็ขัดจังหวะขึ้น

“ญาติเจ้าสาว นึกไม่ถึงว่าคุณจะมาวันนี้ รีบเข้ามานั่งตรงนี้ก่อน พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลย ต้องคุยกันเยอะ ๆ หน่อยแล้ว”

เมื่อได้ยินคุณนายเซี่ยพูดแบบนี้ คุณนายเติ้งก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ หลังจากนั้นก็ทำได้เพียงยกยิ้มแล้วเดินเข้าไป ก่อนจะพูดขึ้น “ใช่แล้ว วันนี้พวกเราต้องคุยกันเยอะ ๆ หน่อยแล้ว”

เติ้งซูหลานย่อมโมโหเป็นธรรมดาเมื่อแม่ของตัวเองถูกฉินมู่หลานทำให้อับอาย แต่ตอนนี้แม่ของตนคุยอยู่กับแม่สามี ทำให้พูดอะไรได้ยาก จึงทำได้เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวฉันไปดูในครัวก่อนนะคะ จะได้ให้ครัวทำของโปรดคุณแม่”

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเติ้งซูหลานมาถึงครัว ก็พบว่ารายการอาหารได้ถูกเลือกเอาไว้แล้ว กลายเป็นว่าเริ่มเตรียมเอาไว้กันตั้งแต่เมื่อคืน เป็นเพราะฉินมู่หลานจะมากินนข้าวในวันนี้ เมื่อเห็นแบบนี้ สีหน้าของหล่อนจึงมืนมนดูน่ากลว

พ่อครัวเห็นท่าทางของเติ้งซูหลาน ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

และเติ้งซูหลานก็ต้องระงับความโกรธลง หลังจากพูดคุยเรื่องอาหารไปนิดหน่อยแล้วก็เดินกลับไปที่ห้องรับแขกอีกครั้ง

คุณนายเติ้งเห็นลูกสาวเดินมา ก็เอ่ยบอกตามตรง “ซูหลาน ทำไมไม่เห็นอวี่หรงเลยล่ะ รีบไปเรียกหล่อนมาสิ ฉันก็ไม่ได้เจอหล่อนนานแล้วเหมือนกัน”

“ค่ะ เดี๋ยวฉันไป”

เมื่อเห็นเซี่ยอวี่หรงมา ก็พบว่ามีแค่คุณนายเติ้งกับคุณนายเซี่ยเท่านั้นที่อยู่ ในใจจึงรู้สึกสงสัยเมื่อไม่เห็นฉินมู่หลาน คุณนายเซี่ยที่อยู่ข้าง ๆ จึงเอ่ยบอกขึ้น “มู่หลานกับพ่อของหล่อนมีเรื่องต้องคุยกัน เก็เลยไปหาฉางชิงที่ห้องหนังสือ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คุยเรื่องอะไรกันหนอ แล้วตระกูลเติ้งจะมาแอบฟังหรือเปล่า

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท