ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 384 อาศัยโอกาส(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 384 อาศัยโอกาส(1)

ตอนที่ 384 อาศัยโอกาส(1)

ฉินมู่หลานขึ้นรถไฟแล้ว เมื่อเจอที่นั่งของตัวเองก็นั่งลง เนื่องจากมาด้วยความเร่งรีบ จึงไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟแบบนอน

แต่ครั้งนี้เธอมาอย่างมีเป้าหมาย ดังนั้นจะเป็นตั๋วนั่งหรือตั๋วนอนก็ไม่สำคัญ เพราะการเดินทางไม่ได้นานขนาดนั้น

หลังจากฉินมู่หลานนั่งลง หญิงชราที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่งก็เข้ามานั่งข้างเธอ เมื่อเห็นอีกฝ่ายจึงเอ่ยทักทายอย่างอบอุ่น “แม่หนู นั่งตรงนี้เหรอจ๊ะ บังเอิญจังเลย ยายนั่งที่ฝั่งข้างในเธอพอดี”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงรีบลุกขึ้น แล้วให้หญิงชราเข้าไปนั่งข้างใน

หญิงชราคนนั้นยิ้มแล้วพยักหน้าให้ฉินมู่หลาน ตอนแรกทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่เมือจำนวนคนบนรถไฟตู้ขบวนนี้เพิ่มมากขึ้น เสียงก็เริ่มดังมากขึ้น หญิงชราจึงเริ่มพูดคุยกับฉินมู่หลาน

“แม่หนู เธอกำลังจะไปไหนเหรอ?”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ตอบเพียงแค่ว่า “เดี๋ยวจะลงรถที่มณฑลเหอเป่ยค่ะ”

หลังจากได้ยิน ใบหน้าของหญิงชราก็เต้มไปด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอ เรื่องบังเอิญจังเลย ฉันเองก็จะลงรถที่มณฑลเหอเป่ยเหมือนกัน”

กล่าวดังนั้นแล้ว นางก็เริ่มชวนคุยด้วย “ฉันมาหาลูกชายคนเล็กของฉัน เขาทำงานอยู่ในฐานทัพ ครั้งนี้ฉันว่าจะไปอยู่ที่นั่นกับลูกชายคนเล็กสักพัก”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เท่าที่เธอทราบ หากจะนั่งรถไฟขบวนนี้ไปฐานทัพที่มณฑลเหอเป่ย ก็คงเป็นฐานทัพเดียวกับที่อาหลี่ประจำการ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง

แต่ฉินมู่หลานไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “อย่างนี้เองเหรอคะ ดีแล้วค่ะ พวกคุณยายจะได้อยู่ด้วยกัน จะได้ดูแลกันได้”

แต่ถึงอย่างนั้น หญิงชราก็ถอนหายใจด้วยความเศร้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “จริง ๆ แล้วฉันอยู่กับครอบครัวลูกชายคนโต แต่ลูกชายคนโตมันอกตัญญู ตั้งแต่แต่งงานมีลูกมีเมียไปก็ไม่สนใจคนแก่อย่างฉันเลย ตอนนี้ฉันเลยทนอยู่ที่บ้านเกิดไม่ไหวแล้ว ก็เลยมาตามหาลูกชายคนเล็ก โธ่…เดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านเก่า มาขึ้นรถไฟที่ปักกิ่ง สุดท้ายก็ได้ขึ้นรถไฟไปหาลูกชายคนเล็กของฉันเสียที”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงเอ่ยด้วยความแหลกใจ “ลูกชายคนโตไม่เลี้ยงดูคุณยายเหรอคะ แล้วคนอื่นในหมู่บ้านไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ ผู้ใหญ่บ้านกับคนอื่น ๆ ควรจะช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้คุณยายสิ”

“ช่างมันเถอะ ยังไงลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้คนโตของฉันก็ร้ายพอกันนั่นแหละ ต่อหน้าคนข้างนอกก็ดูกตัญญูหรอก แต่ลับหลังคนก็ใจร้ายกับฉันมากเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ฉันโวยวาย คนในหมู่บ้านกลับมาโน้มน้าวฉันแทน ว่าอย่าทำเกินไป เธอคิดดูสิว่าทำไมลูกชายกับลูกสะใภ้ถึงได้ทำแบบนี้”

หลังจากพูดจบ ใบหน้าของหญิงชราก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

และหญิงชราคนนั้นก็ดูเศร้าอยู่สักพักหนึ่ง ไม่นานก็ฟื้นคืนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

“อย่าพูดถึงลูกชายอกตัญญูนั่นของฉันเลย” พูดจบนางก็หันมองแล้วเอ่ยถามฉินมู่หลานอีกครั้ง “แม่หนู ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้ว ดูเหมือนเธอจะอายุยังน้อยนะ มาทำอะไรที่มณฑลเหอเป่ยเหรอ?”

“หนูไปเยี่ยมญาติค่ะ”

ฉินมู่หลานตอบกลับอย่างเรียบง่าย แล้วไม่พูดอะไรอีก

แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงชราคนนี้ช่างพูด ถึงแม้ว่ามู่หลานจะไม่ค่อยพูดอะไร เธอก็ยังพูดกับตัวเอง ดังนั้นฉินมู่หลานจึงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงชราคนนี้ได้อย่างรวดเร็ว

ฉินมู่หลานนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร

ในตอนนั้นเอง คุณป้าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาก็พูดขึ้น “พี่สะใภ้ ลูกชายกับลูกสะใภ้คนโตของพี่สะใภ้นี่ใช้ไม่ได้เลยนะ สามีของคุณด่วนจากไป คุณก็เลยต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกชายคนโตกับลูกชายคนเล็กให้เติบใหญ่ พอลูกชายคนเล็กไปเป็นทหาร ก็ส่งเบี้ยรายเดือนให้ทุกเดือน แต่คุณก็เก็บเอาเงินพวกนั้นมาแต่งเมียให้กับลูกชายคนโต แต่ลูกชายคนโตดูเหมือนจะไม่สำนึกบุญคุณเลย ไม่ยอมเลี้ยงดูคุณยามแก่เฒ่า ลูกชายแบบนี้ไม่มีเสียยังดีกว่านะ”

“ใครว่าไม่ใช่แบบนั้นล่ะ น่าเสียดายที่ฉันโดนพวกเขาบังคับให้ออกจากชีวิต ก็เลยไม่มีทางเลือก ต้องไปขออยู่อาศัยกับลูกชายคนเล็กแทน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ คุณป้าท่านนั้นก็อดพูดไม่ได้ “พี่สะใภ้ ลูกชายคนเล็กของคุณสามารถเข้ากองทัพได้ เพราะนั้นตำแหน่งต้องไม่ธรรมดาแน่เลยใช่ไหม”

แต่ถึงอย่างนั้น หญิงชราก็รีบโบกมือแล้วบอกกล่าว “เปล่าหรอก เปล่าหรอก ลูกชายคนเล็กของฉันยังไม่ได้บรรจุเข้ากองทัพ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ คุณป้ากับฉินมู่หลานก็หันมองด้วยความสงสัย

หญิงชรารีบอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “ลูกชายคนเล็กของฉันมาสมัครเข้าร่วมกองทัพพร้อมกับเด็กจากหมู่บ้านอีกคน ทั้งสองตำแหน่งยังไม่ค่อยสูง จึงยังบรรจุเข้ากองทัพไม่ได้ ภรรยาของเด็กอีกคนเพิ่งมาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ก็เลยเช่าบ้านของชาสนาที่อยู่ใกล้ ๆ กองทัพ ค่าเช่าถูกมาก ครั้งนี้ฉันมาที่นี่ ก็คิดจะเช่าบ้านของชาวนาด้วยเหมือนกัน แบบนี้ฉันจะได้อยู่กับลูกชายคนเล็กมากขึ้น ถ้ามีเวลาเขาก็จะมาหาฉันได้”

เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ฉินมู่หลานกับคุณป้าคนนั้นจึงพากันพยักหน้า

คุณป้าคนนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ก็เป็นไปได้นะ ดีแล้วที่ได้อยู่ใกล้กัน และยังมีภรรยาของเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ด้วย พวกคุณก็สามารถช่วยดูแลกันได้”

“ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมาหาลูกชายคนเล็กนี่แหละ”

ป้าคนนั้นกับหญิงชราพูดคุยเข้าขากันได้ดีมาก และฉินมู่หลานก็ได้ทราบว่าหญิงชราคนนั้นแซ่ผาง ส่วนป้าคนนั้นชื่อแซ่ว่าลวี่ต้านี ทั้งสองเรียกกันว่าคุณผางและต้าหนี่ และบางครั้งก็ดึงมู่หลานไปร่วมด้วย

ฉินมู่หลานเองก็ตอบเมื่อถูกถาม ทั้งสามคนจึงดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง ลวี่ต้านีก็เชื้อเชิญให้คุณยายผางและฉินมู่หลานกินแป้งจี่

ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ จึงยิ้มแล้วโบกมือ ก่อนจะบอกกล่าว “ป้าลวี่ หนูนำอาหารมาเองค่ะ” ขณะพูดเธอก็นำซยงโหยวปิ่งและที่ซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งเจอเตรียมไว้ให้เมื่อตอนเช้าออกมา

ลวี่ต้านีเห็นสิ่งที่ฉินมู่หลานหยิบออกมา จึงเอ่ยพูดด้วยความเคอะเขินนิดหน่อย “มู่หลาน ที่แท้เธอก็นำอาหารมาด้วยนี่เอง แพนเค้กต้นหอมกับชาไข่นั่นก็หอมด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ชวนเธอแล้วล่ะ” หลังจากพูดจบ หล่อนก็ชวนคุณยายผางกินแป้งจี่

ตอนแรกพวกหล่อนไม่ทราบว่าฉินมู่หลานชื่อแซ่อะไร แต่เมื่อได้พูดคุยกันในเวลาต่อมา ก็ได้เอ่ยถามฉินมู่หลานด้วย ในตอนนั้นจึงได้ทราบชื่อของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า

คุณยายผางปฏิเสธในตอนแรก แต่ลวี่ต้านียังคงคะยั้นคะยอ ในที่สุดนางจึงยอมกินแป้งจี่หนึ่งชิ้น

และคุณยายผางก็ไม่ลืมตอบแทน ให้เกี๊ยวผักกับลวี่ต้านี “ต้าหนี่ เกี๊ยวผักนี้ฉันทำเอง ถึงจะดูไม่ค่อยสวย แต่รสชาติค่อนข้างดีเลยนะ”

ลวี่ต้านีก็ไม่ปฏิเสธ ยอมรับมันพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากนั้นคุณยายผางก็มอบอีกชิ้นหนึ่งให้ฉินมู่หลาน ก่อนที่ฉินมู่หลานจะทันได้ปฏิเสธก็ได้กล่าวขึ้น “มู่หลาน เธอก็กินสักอันเถอะ ฉันรู้ว่าเธอเอาของกินมาด้วย แต่เธอลองชิมฝีมือของพวกเราหน่อยก็ได้”

ฉินมู่หลานไม่มีความตั้งใจจะกินของจากคนแปลกหน้า ขณะที่กำลังปฏิเสธ ก็ได้กลิ่นน่าสงสัยลอยมา ดังนั้นริมฝีปากของเธอจึงขยับเป็นการตอบรับแทน

“ได้ค่ะคุณยาย ถ้าอย่างนั้นคุณยายกับคุณป้าก็กินของที่หนูเอามาด้วยนะคะ”

ขณะพูด ฉินมู่หลานก็ส่งซยงโหยวปิ่งกับไข่ต้มใบชาให้กับพวกหล่อน และเธอเองก็รับเกี๊ยวผักนั้นมาด้วย

คุณยายผางเห็นฉินมู่หลานยอมรับ ก็ยิ้มพลางรับซยงโหยวปิ่งกับไข่ต้มใบชาไปด้วย ส่วนลวี่ต้านีก็ยอมรับของฉินมู่หลานไปเหมือนกัน ขณะเดียวกันก็ส่งแป้งจี่หนึ่งชิ้นให้กับฉินมู่หลานด้วย

ฉินมู่หลานถือแป้งจี่เอาไว้ในมือซ้าย ส่วนมือขวามีเกี๊ยวผัก และในที่สุดเธอก็ได้รับการยืนยันแล้ว ว่ากลิ่นประหลาดนั้นลอยออกมาจากเกี๊ยวผัก

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ โชคดีที่มู่หลานไหวตัวทัน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท