ที่ 356 คลี่คลายอย่างง่ายดาย
ในทันทีที่พูดจบ หลี่เฟิงใช้มือกดไปที่อกของตนเองก็จะมีเงาที่มีความสูงพอๆกับเขาพุ่งออกมาจากร่างและพุ่งตรงไปหาเฉินเฉียง
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นทำตัวราวกับหูหนวกตาบาดไม่รับรู้ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนเอง นี่ทำให้หลี่เฟิงแสยะยิ้มออกมา ราวกับว่าเห็นร่างเฉินเฉียงถูกสูบจนแห้งเหือดไปแล้ว
ในตอนที่เลือดปีศาจพุ่งออกมาจากร่าง เฉินเฉียงก็ได้เห็นถึงความสามารถของหุ่นเชิดโลหิต
สิ่งที่เรียกว่าหุ่นเชิดโลหิตนี้แตกต่างจากของหลี่ฉิง หากเทียบกันแล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือนกับไอ้ตัวยึกยือที่เขาเคยพบเจอก่อนหน้านี้มากกว่า
หากเป็นสถานการณ์ปกติ การโจมตีจากสัตว์ไม่มีกระดูกย่อมอ่อนแอกว่าสัตว์ที่มีกระดูก
แต่ด้วยการที่พวกมันคือสัตว์ปีศาจ พวกมันเพียงแค่สัมผัสก็เพียงพอ หลังจากนั้นมันก็แค่รอให้สิ่งที่โดนถูกเลือดของมันกลืนกินไปก็เพียงพอ
จะให้พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าสัตว์ปีศาจที่มีกระดูกหรือไม่มีก็ตาม เพียงแค่พวกมันสัมผัสร่างของใครสักคน คนคนนั้นจะไม่อาจต้านทานความตายที่รุกล้ำเข้ามา
แต่เฉินเฉียงหาใช่คนธรรมดาไม่
อย่าว่าแต่ถูกเลือดของสัตว์ปีศาจพวกนี้ดูดกลืนเลย ตัวเขาเองมีทักษะกลืนกินเลือดปีศาจอยู่เลยด้วยซ้ำ
เฉกเช่นเดียวกับหลิวเซียงที่ตกตายโดยบอลเลือดปีศาจของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่เพียงเขาจะไม่แยแสต่อบอลเลือดปีศาจเหล่านี้ เขายังใช้มันเป็นอาวุธเสียด้วยซ้ำ
นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่ได้กลัวการโจมตีจากสัตว์ปีศาจแต่อย่างใด
เฉกเช่นในตอนนี้
เมื่อเห็นว่าบอลเลือดปีศาจของตนเกาะไปเต็มตัวของเฉินเฉียงแล้วเขาไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนแล้วนั้น หลี่เฟิงก็หัวเราะอย่างไม่หยุดยั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ไอ้ตัวหยิ่งยโสโอหัง นี่แกไม่รู้ความทรงพลังของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเลยรึไงวะ”
“แต่ช่างแม่…เถอะ มันไม่สำคัญแล้ว”
“เพราะอีกไม่นานแกจะเหลือแต่ซาก”
“แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ ข้าจะเอาซากของแกไปทำหุ่นเชิดโลหิตซะ ต่อให้แกได้ตกตายไปข้าก็จะไม่ยอมให้แกได้ตายอย่างสงบสุขอย่างแน่นอน”
เฉินเฉียงที่แต่เดิมที่ต้องการแกล้งเป็นบทคนโง่หลอกกินหมูนั้น เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการทำให้ตนเป็นหุ่นเชิดโลหิต นี่ทำให้เขาแสดงออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยียบ
“โฮ่ อยากจะเปลี่ยนข้าให้เป็นหุ่นเชิดโลหิต ชาติหน้าก็ยังไม่ได้หรอกว่ะ”
เมื่อพูดจบ หลี่เฟิงที่ได้ยินก็แข็งค้างจ้องมองไปที่เฉินเฉียงที่ใช้มือซ้ายปัดหุ่นเชิดโลหิตที่เกาะติดบนร่างเขาออกไปหน้าตาเฉย
“นี่…..เป็น…..ไปได้ยังไง”
เมือ่เห็นฉากนี้ หลี่เฟิงก็หน้าถอดสี
นั่นก็เพราะตัวเขานั้นมีความแข็งแกร่งเพียงนักรบขั้นกลางเพียงเท่านั้น
หากเลือดปีศาจใช้ไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ต่างไปจากไก่ที่รอโดนเชือดทิ้ง
แล้วศัตรูของเขาทำได้กระทั่งจับหุ่นเชิดโลหิตด้วยมือเปล่า แล้วจะให้เขามีความสุขได้ยังไง
ยิ่งไปกว่านั้นคือที่เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะว่าเฉินเฉียงไม่ได้ถูกกลืนกินโดยบอลเลือดปีศาจแต่อย่างใด
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน
เป็นไปได้ว่า….
“แก แกเป็นใคร”
“แกไปได้สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตมาจากไหนกัน”
หลี่เฟิงคิดออกแต่เพียงเหตุผลนี้เหตุผลเดียวเท่านั้น
เท่าที่เขารู้มานั้น มีเพียงผู้ที่ได้กินสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตเข้าไปถึงสามารถต้านทานการกลืนกินของเลือดปีศาจได้
ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ทางทฤษฎี แต่ในโลกปีศาจนี้ ผู้ที่สามารถได้รับสมุนไพรเลือดปีศาจนี้ได้มีเพียงคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์และครอบครัว รวมถึงสมาชิกกิตติมศักดิ์ไม่กี่คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถได้รับมันไป
และคนที่ว่านั้นจะอยู่ในพื้นที่ของวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น ซึ่งกับเฉินเฉียงนั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่ใช่อย่างแน่นอน
หรือว่าเฉินเฉียงเป็นคนของตระกูลบางตระกูลที่ทรงพลัง
แต่นั่นยิ่งไม่น่าเป็นไปได้เข้าไปใหญ่
เฉินเฉียงนั้นอย่างมากก็เป็นเพียงคนที่มาจากตระกูลระดับกลางเพียงเท่านั้น หากมาจากตระกูลที่ทรงพลังจริงก็ไม่ควรจะมาเมืองเล็กๆอย่างเฉินหลิวและกลายมาเป็นผู้ติดตามของศิษย์ภายนอกของสำนักเต๋าแบบนี้
เฉินเฉียงนั้นแม้ไม่รู้ว่าหลี่เฟิงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เขาในตอนนี้กำลังมองดูหลี่เฟิงอย่างดูแคลน ก่อนที่จะสร้างเปลวไฟหนึ่งขึ้นมาบนมือซ้าย และบังคับให้มันเผาไหม้หุ่นเชิดโลหิตให้กลายเป็นเถ้าธุลี
นอกจากการปรุงยาแล้ว เฉินเฉียงนั้นแทบจะไม่เคยคิดใช้เปลวไฟของตนโจมตีศัตรู เอาจริงๆนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
และนี่ทำให้หลี่เฟิงถึงกับหน้าถอดสีจนซีดเผือดเมื่อเห็นว่าหุ่นเชิดโลหิตที่ตนภูมิใจกลายเป็นเถ้าธุลีต่อหน้า
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าเขานั้นจะไม่อาจเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้กับสัตว์ปีศาจในร่างหลังจากที่มันกลืนกินสิ่งมีชีวิตแรกลงไปได้อีก หรือแม้แต่การที่เขาจะไม่มีหุ่นเชิดโลหิตไว้ใช้อีกต่อไป แม้จะมีทางแก้แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดในตอนที่เขาได้ฝังตัวอ่อนสัตว์ปีศาจในร่างแล้ว ไม่ว่าใครก็ย่อมไม่อยากจะกลับไปผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายนั่นอีกครั้ง
แต่หากไม่มีหุ่นเชิดโลหิต ต่อให้หลี่เฟิงจะเปลี่ยนไปเดินบนเส้นทางแห่งวิชายุทธ มันก็ไม่มีทางทำให้เขาไปได้ถึงฝั่งฝัน
การกระทำของเฉินเฉียงเปรียบได้ดั่งการตัดเส้นทางการบ่มเพาะของหลี่เฟิงทั้งชีวิต
แต่ไม่ว่าหัวใจของเขาจะแตกสลายขนาดไหนก็ตาม เขาก็ไม่อาจแสดงออกมาให้ศัตรูได้เห็น
นั่นก็เพราะในตอนนี้ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของเฉินเฉียง
หลังจากจัดการหุ่นเชิดโลหิตของหลี่เฟิงไปได้อย่างง่ายดาย เฉินเฉียงก็ได้ก้าวเดินไปหาหลี่เฟิงพลางสะกดข่มบอลเลือดปีศาจที่พึ่งจะเข้าไปเพิ่มในร่างให้หดเล็กลงในทันที
“ไม่ อย่านะ อย่าเข้ามา”
หลีเฟิงมีใบหน้าที่ถอดสีพลางก้าวถอยหลังออกไปอย่างร้อนรน
แต่เดิมด้วยการที่สำนักเต๋าของทั้งสองนั้นต่างก็ประชันขันแข่งกันอย่างเป็นทางการมาโดยตลอด นี่ทำให้พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะส่วนตัวจนเป็นที่รับรู้กันทั่ว
แต่ในความจริงแล้วศิษย์ของทั้งสองสำนักต่างก็หาวิธีตัดกำลังของทั้งสองฝ่ายอยู่มากมายหลายหน
และนี่จึงทำให้ในทุกๆครั้งที่ศิษย์ของทั้งสองสำนักที่ออกไปเดินทางฝึกตนและปฏิบัติภารกิจ ยามที่ศิษย์ทั้งสองสำนักเผชิญหน้ากัน ล้วนจบลงด้วยการตกตาย
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าในครั้งนี้ หลี่เฟิงเป็นฝ่ายหาเรื่องเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยก่อนนี่อีก
ในเมื่อเขาในตอนนี้ไม่มีพลังที่จะต้านทานแล้วอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปทำไมกัน
“ไอ้น้อง ข้าว่าเจ้าต้องคิดให้ดีก่อนนา” หลี่เฟิงพยายามข่มขู่ออกมาด้วยท่าทางที่หวาดกลัวและค่อยๆถอยร่น “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงศิษย์นอกของสำนัก แต่พี่ชายของข้า หลี่ฉิงคือศิษย์ภายใน”
“หากพี่ชายของข้ารับรู้เรื่องนี้ เขาต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
“ในเมื่อเจ้าเองก็รู้จักพี่ชายของข้า หลี่ฉิง ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องรู้ว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน”
“ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีๆ ยังไงซะ เขาก็เป็นคนที่เจ้านั้นไม่ควรจะไปหาเรื่องด้วยได้”
เฉินเฉียงแสยะยิ้มออกมาในทันทีเมื่อได้ยินก่อนที่จะพูดออกมาอย่างดูถูก “หลี่ฉิงรึ โทษทีนะ ข้านั้นไม่ได้สนิทสนมกับมันผู้นั้น”
“แล้วหากพี่ชายของเจ้าคิดจะทำให้ข้าต้องยุ่งยาก ก็ปล่อยให้มันผู้นั้นลองดู”
“แต่เจ้านั้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องตกตายอยู่ที่นี่แหละ”
เมื่อพูดจบ เพียงชั่วความคิด คลื่นอัดกระแทกอันทรงพลังของเฉินเฉียงได้พุ่งเข้าไปยังจิตใต้สำนึกของหลี่เฟิง
ด้วยความทรงพลังของพลังจิต กับอีแค่นักรบขั้นกลางคนหนึ่งจะทำอะไรได้
ระดับของหลี่เฟิงนั้นห่างจากเฉินเฉียงมากเกินไป
และนี่ก็เพียงพอให้หลี่เฟิงต้องตกตาย
กับมดแมลงตัวเล็กๆอย่างหลี่เฟิง เฉินเฉียงไม่คิดที่จะเก็บเอาไว้ให้ขุ่นเคืองใจอย่างแน่นอน
เป็นตอนนี้ที่หยานเสวี่ยได้เดินออกมาจากด้านหลังของเฉินเฉียง
“เจ้าก็มีขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วเจ้าจะกลัวไปทำไมกัน”
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่พูดอะไรออกมา
เหตุผลที่เธอซ่อนตัวนั้นไม่ใช่เพราะเธอกลัวหุ่นเชิดโลหิตของหลี่เฟิงแต่อย่างใด
มันเป็นไปตามที่เฉินเฉียงบอก ด้วยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเธอ หุ่นเชิดโลหิตนั้นไม่อาจจะทะลุผ่านมาได้
แต่เธอนั้นก็ยังอยากได้รับการปกป้องจากเฉินเฉียงอยู่ดี
แม้แต่เธอเองก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเช่นเดียวกัน
ในตอนที่เฉินเทียนเว่ยยังคงอยู่นั้น หยานเสวี่ยติดสอยห้อยตามเฉินเฉียงไปทั่วเพียงเพราะคำขอของเฉินเทียนเว่ย
แต่ในโลกปีศาจแห่งนี้ หยานเสวี่ยก็นึกไม่ถึงว่าตนเองจะบังเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา