ฮูหยินซือขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ส่วนคุณหนูสามซือก็มองไปทางฮูหยินติงอย่างขี้ขลาด
ฮูหยินติงก้มหน้าดื่มชา เหมือนไม่ได้ยิน
ความผิดหวังฉายวาบผ่านไปบนหน้าของฮูหยินซือกับคุณหนูสามตระกูลซือ
แต่ไม่มีใครช่วยพูดให้แม่ลูกสกุลซือสักคำ
ในโถงบุปผานอกจากเจียงเซี่ยนแล้วก็ล้วนเป็นคนที่อายุมากกว่าคุณหนูสามซือ มีที่ให้นางพูดที่ไหนกัน นางทำแบบนี้เป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก และเจียงเซี่ยนเป็นเจ้าภาพ เจอแขกที่ไม่รู้ธรรมเนียมแบบนี้ก็เสียหน้าเช่นกัน ทุกคนจึงจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็น
คุณหนูสามซือจำเป็นต้องตามสาวใช้ไปที่ห้องเล็กด้านหลัง
ทุกคนเริ่มคุยกันเบาๆ ทักทายกันแล้วก็พูดคุยและหัวเราะอย่างจริงใจ พลางถามสารทุกข์สุขดิบคนที่สนิทกัน บรรยากาศเป็นมิตรโดยยังคงความสุภาพและมีมารยาท
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางฟัง
ในเมื่อต้องคบหากับเหล่าสตรีชนชั้นสูงของซานซี พวกอย่างสตรีชนชั้นสูงเหล่านี้มาจากตระกูลอะไร ความสัมพันธ์กับสามีเป็นอย่างไร และมีลูกกี่คนย่อมต้องสืบให้แน่ชัด ทว่าตระกูลหลี่ไม่เหมือนหน่วยองครักษ์เมื่อก่อน สืบมาต้องไม่มีประสิทธิภาพสูง ละเอียด และถูกต้องเท่าตอนที่นางเป็นไทเฮาอย่างแน่นอน นี่จึงต้องใช้ประสบการณ์ในชาติก่อนของนางเป็นตัวตัดสินแล้ว
เพียงแต่วางแผนการรบบนกระดาษถึงอย่างไรก็ตื้น จับคู่คนกับชื่อ แล้วฟังว่าพวกนางคุยอะไรกันบ้าง จะจำได้แม่นกว่า
ป้าเหอฟังอยู่ข้างๆ มือไม้ต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะวางไว้ตรงไหนดี
ทุกคนในนี้ไม่เพียงแต่เป็นภรรยาของขุนนาง ทว่าพวกนางพูดจาและทำอะไรล้วนดูสุภาพและอ่อนโยนมาก เสียงที่พูดก็เบาจนเหมือนกลัวจะทำให้นกตกใจและบิน นางต้องตั้งหูขึ้นถึงจะได้ยินชัด นี่ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนนกขุนทองที่บุกเข้าไปท่ามกลางนกคีรีบูนอย่างบุ่มบ่ามและเสียเกียรติ
ฮูหยินเหอก็ไม่ได้ดีไปกว่าป้าเหอสักเท่าไร
ถึงแม้เจียงเซี่ยนจะลากฮูหยินทุกคนมาแนะนำให้นางต่อหน้านางแล้ว ทว่านางก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไม่รู้ว่าทำไมเจียงเซี่ยนต้องใช้อำนาจไล่คุณหนูสามตระกูลซือไปที่ห้องเล็ก แถมฮูหยินติงก็ยังเหมือนมองไม่เห็น
ในความคิดของนาง แม้คุณหนูสามตระกูลซือทำแบบนี้จะเสียมารยาท แต่คนที่เสียหน้าก็คือคุณหนูสามตระกูลซือ ทำไมเจียงเซี่ยนจะต้องไปยุ่ง จนกลายเป็นล่วงเกินฮูหยินซือเปล่าๆ
นางถอนหายใจในใจ และตัดสินใจทำเหมือนที่ในหนังสือบอก ‘แสร้งทำเป็นหูหนวก ไม่เป็นแม่สามี’ นางก็เป็นแม่สามีที่หูหนวกแล้วกัน
ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา พวกฮูหยินของผู้ช่วยขวากับซ้ายต่างก็มาแล้ว
ฮูหยินเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลที่ธรรมดามาก แล้วก็ไม่ค่อยออกมาเข้าสังคม สามีเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น จะเฉยชากับนางก็ปกติเช่นกัน
ทุกคนนั่งอีกพักหนึ่ง เจียงเซี่ยนเป็นหน้าใหม่ คนอื่นเคยพบกันตอนที่เข้าสังคมไม่มากก็น้อย ทุกคนสนิทกันอย่างเร็วมาก เจียงเซี่ยนเห็นว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว จึงลุกขึ้นเชิญทุกคนเดินไปที่โถงบุปผาของเรือนตะวันออก “…จัดงานเลี้ยงและตั้งเวทีที่นั่นแล้ว”
ทุกคนลุกขึ้น
ฉิงเค่อไปเชิญพวกคุณหนูที่พักผ่อนอยู่ในห้องเล็ก
เหอถงเหนียงนำทางอยู่ข้างหน้าเหมือนเจ้าภาพ ส่วนหลี่ตงจื้อเดินเคียงข้างติงหวั่นคุณหนูรองของตระกูลติงกับคุณหนูสามตระกูลซือ ส่วนพวกคุณหนูคนอื่นๆ ตามอยู่ข้างหลังพวกนาง
เจียงเซี่ยนปรายตามองไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด แล้วพาพวกฮูหยินไปที่เรือนตะวันออก
ระหว่างทาง พวกนางผ่านกำแพงดอกไม้ สุดกำแพงดอกไม้เป็นประตูพระจันทร์
ตอนที่พวกเจียงเซี่ยนผ่านประตูพระจันทร์ สาวใช้สองคนที่ถือกระเช้าดอกไม้อยู่เดินมาจากหลังประตูพระจันทร์
พอเห็นพวกเจียงเซี่ยน สาวใช้ทั้งสองก็ไม่ได้ลนลาน แต่ยืนชิดกำแพง และก้มหน้าก้มตาย่อตัวคารวะ พลางเรียก “ท่านหญิง” “ฮูหยิน” แล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างนอบน้อม
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “อืม” แล้วพาแขกเข้าไปในประตูพระจันทร์
หลังประตูพระจันทร์เป็นลานบ้านที่เล็กมาก ทางซ้ายและขวาของลานบ้านต่างมีแปลงดอกไม้ฝั่งแปลง
เวลานี้เดือนห้าพอดี ดอกไม้แต่ละสีบานได้งดงามและสดใสมาก ดอกไม้ทุกชนิดสดใสและสวยงาม สะดุดตามาก
“ดอกไม้นี้เติบโตได้ดีจริงๆ!” ฮูหยินของผู้บัญชาการหวังยิ้มพลางชมว่า “นี่ใครเป็นคนปลูกหรือ? กุหลาบหนูนี้บานได้ดีทีเดียว ใกล้จะสูงเท่าคนแล้ว!”
อากาศร้อน และปกติเจียงเซี่ยนไม่ค่อยออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ จึงย่อมไม่รู้เช่นกันว่ากุหลาบหนูตรงนี้เติบโตได้ดี
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าต้องกลับไปถาม ไม่รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของภูเขาหลู เพียงเพราะอยู่ในภูเขาแห่งนี้ หากไม่ใช่เพราะฮูหยินหวังเตือน เกรงว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็คงจะไม่ได้สังเกตเช่นกัน”
ฮูหยินหวังยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิงเพิ่งมาถึง ย่อมไม่รู้ ไว้อีกไม่นานก็รู้แล้ว”
เจียงเซี่ยนคุยกับฮูหยินหวัง พลางผ่านแปลงดอกไม้เข้าไปในโถงบุปผา
ฮูหยินหวังเอ่ยว่า “มิน่าเล่าพวกนางถึงปลูกพวกตั้งโอ๋ในแปลงดอกไม้อย่างอิสระมาก และดูมีความชนบทเป็นอย่างมาก ที่แท้ก็เพื่อให้หน้าต่างในโถงบุปผาเปิดออกไปเป็นทิวทัศน์นี้ ช่างจัดดอกไม้นี้คงจะไม่ใช่คนธรรมดา!”
เจียงเซี่ยนแปลกใจเล็กน้อย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่าฮูหยินหวังยังรู้วิธีจัดสวนด้วย”
“ไม่หรอก ไม่หรอก” ฮูหยินหวังเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ท่านพ่อชอบเรื่องพวกนี้มาก ตอนข้าเด็กๆ มักจะอุ้มข้าและชี้ทิวทัศน์ในลานบ้านแล้วอธิบายว่าดีอย่างไร ฟังมามากแล้ว ก็จำได้แม่นเช่นกัน จึงพอรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง”
การจัดสวนไม่ใช่เรื่องง่าย มีผู้ชายมากมายที่ทำไม่เป็น
เจียงเซี่ยนมองฮูหยินหวังใหม่
ส่วนฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่อยู่ข้างหลังหนึ่งก้าว เดินอยู่หลังเจียงเซี่ยนกับฮูหยินหวัง
เทียบกับการชมทิวทัศน์ ฮูหยินติงอยากรู้มากกว่าว่าพวกสาวใช้ที่เข้าเวรอยู่ในลานนี้เป็นคนที่เจียงเซี่ยนสั่งสอนมาใหม่เองหรือเป็นคนที่เจียงเซี่ยนพาออกมาจากในวัง
ฮูหยินหลี่มองรอบหนึ่ง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่มีคนที่รู้จักสักคน ข้าเดาว่าน่าจะเป็นคนที่สั่งสอนมาใหม่”
ฮูหยินติงตกใจ และสนใจความเคลื่อนไหวโดยรอบมากขึ้น
ก็ได้ยินคุณหนูสามซือคุยกับติงหวั่นอย่างจ้อกแจ้กจอแจ “…เช่นนั้นพี่หญิงยังจะกลับไปที่บ้านเกิดอีกหรือไม่? อีกไม่นานจะเป็นวันเกิดของข้า ท่านแม่บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงให้ข้า ข้าจะส่งเทียบเชิญให้พี่หญิง พี่หญิงต้องมาให้ได้นะ!”
“ได้สิ!” ติงหวั่นตอบรับอย่างอ่อนโยนมาก พูดน้อยมาก แลดูสุภาพและสงบเสงี่ยมมาก
คุณหนูสามซือได้ยินก็พยักหน้าพลางยิ้มตาหยี ท่าทางดีใจมาก และเอ่ยกับพวกหลี่ตงจื้อว่า “ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ต้องมาด้วยนะ!”
หลี่ตงจื้อพยักหน้า
แต่คุณหนูใหญ่ของอาจารย์ลู่กลับเบ้ปาก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันเกิดของคุณหนูสามตระกูลซือเป็นวันไหนกันแน่? อีกสองวันคุณหนูสามของตระกูลหยวนออกเรือน ข้าอาจจะต้องตามท่านแม่ไปดื่มเหล้ามงคล ไม่รู้จะพอดีหรือเปล่า”
คุณหนูสามซือสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก และเอ่ยว่า “คุณหนูสามตระกูลหยวนจะออกเรือนหรือ? ทำไมข้าไม่รู้? นางออกเรือนวันไหน?”
คุณหนูสามของตระกูลหยวนถึงแม้จะอยู่อันดับสาม ทว่าพี่สาวทั้งสองคนก่อนหน้านางต่างก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนออกเรือน ความจริงแล้วนางเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหยวน ตระกูลหยวนร่ำรวยที่ไท่หยวนมาหลายรุ่น และมีญาติที่เกี่ยวดองกันทุกที่ แล้วก็เคยมีซิ่วไฉหลายคน จึงค่อนข้างมีอิทธิพลที่ไท่หยวนทีเดียว ไม่ว่าใครมาเป็นขุนนางที่ไท่หยวน ก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับตระกูลหยวน ดังนั้นไม่ว่าจะคนของผู้ว่าราชการมณฑลหรือคนของเจ้าเมืองไท่หยวน ต่างก็ไปมาหาสู่กับตระกูลหยวนทั้งนั้น
หากคุณหนูสามตระกูลหยวนออกเรือน คนของไท่หยวนครึ่งหนึ่งต้องไปดื่มเหล้ามงคล สำหรับเมืองไท่หยวนก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน
คุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแค่ได้ยินท่านแม่บอกว่า อยากเพิ่มเครื่องประดับให้ข้าสักสองสามชิ้น บอกว่าใส่ตอนที่ไปอวยพร” นางพูดอยู่ก็เปลี่ยนเรื่องไปเอ่ยกับเหอถงเหนียงว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเครื่องประดับของร้านขายเครื่องประดับเงินทองร้านไหนดีนะ ข้าจะให้ท่านแม่ไปดูสักหน่อย”
จู่ๆ เหอถงเหนียงก็ถูกเรียกชื่อ ในใจยังคงประหม่าเล็กน้อย แต่นางไม่ได้โง่ นางรู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่กำลังเหยียบคุณหนูสามตระกูลซือ ถึงแม้การกระทำของคุณหนูสามตระกูลซือเมื่อครู่จะทำให้นางไม่สบายใจมาก ทว่านางก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเช่นกัน จึงจำเป็นต้องเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “พอเจ้าถามแบบนี้ ข้ากลับนึกไม่ออกไปชั่วขณะ ไว้ข้านึกออกแล้วค่อยบอกเจ้า นั่นเป็นร้านขายเครื่องประดับเงินทองของฝูเจี้ยน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไท่หยวนมีหรือไม่…”