ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น – ตอนที่ 1.4

ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น

28 กันยายน 2028 (วันศุกร์)

โตเกียว

“ชิบหายแล้ว”

ผมวิ่งจากสถานีรถไฟไปยังที่ทำงาน เพราะเมื่อวานนั่งหาข้อมูลในเนตจนดึกก็เลยตื่นสาย เเต่สุดท้ายก็มาตอกบัตรเข้างานได้ทันแบบเฉียดฉิว หลังจากนั้นก็มีคนเรียกผมจากด้านหลัง

“โยชิมูระ”

“อะ อรุณสวัสดิ์ครับ เอโนกิซัง”

ทำใจร่มๆเข้าไว้ ตีเนียนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“สะดวกมาที่ห้องประชุมสักหน่อยได้ไหม” เอโนกิถาม

“ได้ครับ”

ตามคาด

“เกิดอะไรขึ้นหรอ เคย์”

ผู้หญิงที่นั่งข้างผม – มิโยชิ อาซึสะ – อายุยี่สิบสองปี กระซิบถามผมด้วยความเป็นห่วง เธอเป็นพนักงานใหม่ของบริษัทเราและผมก็เคยเป็นคนคอยดูแลเธอด้วย เธอเลยค่อนข้างสนิทกับผม

มิโยชิเป็นคนน่ารัก ไว้ผมบ๊อบธรรมชาติ เธอให้ความรู้สึกเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆที่วิ่งไปมารอบๆขา เก่งคณิตศาสตร์มากโดยเฉพาะส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข ถือว่าเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของแผนกเราเเม้ว่าจะมีข้อเสียคือเป็นพวกคลั่งไวน์ตัวยง

“เอโนกิหงุดหงิดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” มิโยชิพูด “ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย”

“เอโนกิให้ฉันไปขอโทษลูกค้าจากความผิดพลาดของคนอื่น” ผมอธิบาย “พอรู้ตัวอีกที ลูกค้าก็ยุติสัญญากับเราแล้ว แล้วฉันก็กลายเป็นคนผิดซะอย่างนั้น”

“หา ไม่เห็นเข้าใจเลย”

“ใช่ไหมล่ะ”

มิโยชิหยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนถามขึ้นมา “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม เคย์?”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“โยชิมูระ!!” เสียงเรียกแบบโมโหดังมาจากห้องประชุม ความสุภาพจอมปลอมตอนแรกหายไปหมดแล้ว “มานี่เดี๋ยวนี้!”

“ต้องไปแล้วล่ะ” ผมพูด

“อื้อ” มิโยชิตอบ “ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง แต่ก็โชคดีละกัน”

***

 

ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจยาว

ตลอดเช้าวันนี้ เอโนกิมากวนผมอยู่ตลอด คอยว่าผมต่างๆนาๆ ผมอยากจะถามออกไปว่า “ว่างนักรึไง” ถ้าจะพูดเรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ปล่อยให้ผมทำงานไปจะดีกว่าบริษัทมากกว่ารึเปล่า ผมเกือบจะหลุดปากพูดไปหลายรอบแล้ว

ไม่ไหวละ ลาออกดีกว่า

“ลำบากหน่อยนะ” มิโยชิพูด

“อืม โคตรแย่เลย” ผมตอบ “แล้วที่สำคัญกว่านั้น ฉันอยู่แผนกวิจัย ทำไมต้องมาทำงานขายด้วย”

“ใจเย็นๆนะ เคย์ เราไปหาอะไรกินกันดีมั้ย”

“ความหิวเพื่อนยาก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยังหิวได้ เอาสิ ไปกันเหอะ”

อีกไม่กี่นาทีถัดมา พวกเราก็นั่งอยู่ในร้านอาหารอิตาเลียนใกล้ๆ ที่นี่ราคาแพงเกินกว่าที่จะมาทานทุกวัน ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เจอใครที่มาจากที่ทำงาน เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการคุยโดยไม่ให้มีใครรู้

“นายจะลาออกหรอ” มิโยชิถามพลางจิ้มส้อมลงไปในจานสตรอทซาเพรตติพาสตาราดด้วยซอสโบลอกเนสเนื้อแพะที่ปรุงด้วยไวน์ขาว

“ไม่คิดว่าทำเกินไปหน่อยหรอ น่าจะลองไปคุยกับหัวหน้าแผนกดูก่อน”

“พอกันทีกับการตามล้างตามเช็ดก้นให้เอโนกิ” ผมตอบ “หมดความอดทนแล้ว”

มิโยชิทำหน้าย่น “ต้องพูดแบบนั้นตอนนี้ด้วยหรอ”

จริงอยู่ที่ซอสโบลอกเนสอาจจะดูคล้ายกับอะไรที่ผมพูดไปเมื่อกี๊ หรือไม่ก็เหมือนกันเลย

“โทษที” ผมขอโทษ พลางใช้ส้อมหมุน คาโช เอ เปเป้พาสต้า

“เเล้วก็ถ้าออกตอนนี้ จะกลายเป็นการสมัครใจลาออกเอง จะไม่ได้เงินชดเชยว่างงานสามเดือนนะ”

“โธ่ เธอไม่คิดว่าพนักงานประจำอายุยี่สิบแปดปีจะไม่มีเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนสามเดือนเลยรี… เดี๋ยวก่อน ฉันมีเงินเก็บรึปล่าวเนี่ย”

“จะไปรู้ได้ไง” มิโยชิพูดอย่างเหนื่อยใจ “ที่สำคัญกว่านั้น วันนี้จะทำยังไง”

“ก็ กะว่าจะลาออกอยู่เเล้ว วันนี้ก็เป็นวันศุกร์ด้วย น่ารำคาญพอเเล้ว เลยคิดว่าจะตรงกลับบ้านเลย”

“เเล้วของล่ะ”

“อืมม มิโยชิ ฝากเธอเก็บของแล้วเอามาให้ที่บ้านฉันทีสิ”

“ฉันไม่รู้ว่าของนายมีอะไรบ้างนะ!”

“จริงด้วย ถ้างั้นก็ไปรับเงินเดือนวันจันทร์ เก็บของให้เรียบร้อย แล้วไปยื่นซองขาวใส่หน้า เป็นไงล่ะ”

“นายจะออกจริงๆหรอเคย์”

มิโยชิวางส้อมลง เเล้วมองช้อนมาที่ผม ผมบ๊อบของเธอค่อยๆร่วงลงไปอีกด้านหนึ่ง ทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ

“อึก มิโยชิ เธอไปเรียนท่าทางแบบนั้นมาจากไหน”

เธอหัวเราะ “นี่เป็นมารยาหญิงอย่างนึงนะ แต่เอาจริงๆ ถ้านายออก คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโปรเจคที่เราทำกันอยู่ล่ะ”

นอกหน้าต่าง ผมสังเกตเห็นต้นไม้ข้างทาง ใบของมันพึ่งเริ่มเปลี่ยนสีเละถูกพัดไปตามลม เป็นสัญญาณของฤดูใบไม้ร่วง

“ใครจะไปรู้ เอโนกิคงไปจัดการเอาเองใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่มีทางเด็ดขาด เห้อ ถ้าเขาเริ่มมาขอให้ทำอะไรที่เป็นไม่ได้ ฉันอาจจะลาออกด้วยมั้ง”

“เห้ เดี๋ยวก่อน เธอมีงานอื่นรออยู่เเล้วรึไง”

“มีรุ่นพี่สมัยมหาวิทยาลัยมาชวนไปทำงานด้วยหลายครั้งแล้ว เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างเครื่องมือการวัดทางยา”

“แล้วเธอจะมาทำที่บริษัทเราทำไมล่ะเนี่ย”

สมัยนี้บริษัทที่ทำเกี่ยวกับการผลิตสารเคมีนั้นกำไรไม่ค่อยดีเท่าไร

ระหว่างที่เราคุยกันอยู่ พนังงานเสิร์ฟก็นำมีดเพอซีวาล 9.47(1) ที่เอาไว้ใช้สำหรับบนโต๊ะอาหารมาแทนมีดที่อยู่บนโต๊ะ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีร้านอาหารจำนวนมากขึ้นที่เริ่มใช้มีดแบบนี้สำหรับอาหารจานเนื้อ ทำให้หั่นเนื้อได้อย่างราบรื่นเเละเนื้อจะไม่เสียความชุ่มชื้นอีกด้วย จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก

หลังจากนั้น พนักงงานก็นำอาหารจานที่สองในคอร์สมาเสิร์ฟ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเนื้อแกะ เนื้อสีชมพูที่ปรุงรสมาเเล้วดูน่าทาน เคียงด้วยเห็ดทรัมเป็ตและเห็ดชานเทอเรล

“ฉันเป็นห่วงนายมากกว่า” มิโยชิพูด “นายจะไปทำอะไรหลังจากออกไปแล้ว”

“ตอนนี้คิดว่าจะลองไปลงดันเจี้ยนดู”

“หา”

เฮ้ ไม่เห็นต้องทำหน้าสงสัยขนาดนั้นเลย แต่ว่านะ ไม่แปลกที่จะตกใจ ตัวผมเองยังตกใจเลย

“ไม่รู้จักดันเจียนรึไง” ผมถาม

“ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วไม่ใช่หรอ แค่…ทำไมอยู่ๆถึงตัดสินใจแบบนั้นล่ะ เเทนที่จะวิจัยวัตถุดิบ เเต่จะเริ่มรวมรวมมันเองเเทนหรอ นี่อยากจะลงดันเจี้ยนมาตลอดเลยรึปล่าว”

ก็นะ ผมทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์มาตลอด เลยดูไม่เหมือนคนที่จะชอบทำกิจกรรมกลางเเจ้งอะไรแบบนั้น แต่ทว่าผมรู้สึกอยากจะอวดมิโยชินิดหน่อย เเล้วเธอก็น่าจะเก็บความลับให้ผมด้วย

“หยาบคายน่า รู้จักดันเจี้ยนการ์ดรึปล่าว”

“รู้จักสิ ฉันก็มีอยู่”

 “ว่าไงนะ”

“ตอนสมัยอยู่มหาลัย มีคนชวนไปโยโยกิบ่อยเลยแหละ แต่ตอนที่ลงครั้งคือตอนที่ไปกับทัวร์นะ”

“เเล้วไปดันเจี้ยนทำไมตอนนั้น”

“ก็มันมีโอกาสได้ออร์บนี่นา แต่ตอนนั้นคงเป็นแฟชั่น”

“ลงดันเจี้ยนเป็นแฟชั่นงั้นหรอ เด็กสมัยนี้นี่บ้าไปแล้ว”

“เเรงค์อะไรล่ะ” ผมถาม

“จำไม่ค่อยได้นะ แต่น่าจะประมาณช่วงเก้าสิบล้านกว่าๆ”

ผมสะอึกนิดหน่อย “เก้าสิบล้านงั้นหรอ ความจริงแล้ว ฉันก็มีดันเจี้ยนการ์ดเหมือนกัน”

“ก็เเน่นอนอยู่เเล้วนี่” มิโยฃิพูดพร้อมใช้มีดหั่นเนื้อเเกะอย่างกับหั่นเนย “ถ้าไม่มีคงไม่คิดอะไรอย่างจะไปลงดันเจี้ยนหรอก”

ถึงเเม้ว่าชิ้นเนื้อสีชมพูจะชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำจากเนื้อ มิโยชินำมันเข้าปากโดยน้ำนั้นไม่หกเลยสักหยด

“มิโยชิ” ผมพูด “ทุกอย่างที่ฉันกำลังจะบอกนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคน สาบานได้ไหมว่าเธอจะไม่เอาไปบอกใคร”

“จะให้สาบานกับอะไรล่ะ”

“หา เอ่อ อืม จริงด้วย พระเจ้าล่ะ ใช้ได้ไหม”

“ฉันไม่เชื่อในพระเจ้านะ”

“งั้นก็ช่างมันเถอะ ถือว่าเป้นความลับละกัน”

“งั้นฉันสาบานต่ออาเนอ(เนื้อลูกแกะในภาษาฝรั่งเศษ)ชิ้นนี้” มิโยชิพูดเเล้วใช้มีดชี้ไปที่จานของเธอ “ถึงกินไปเเล้วครึ่งจานก็เถอะ ขอโทษนะ”

“ชักรู้สึกแล้วสิว่าเป็นการสาบานส่งๆ”

“อะไรกัน นี่จริงจังนะ ไม่เห็นรึไงว่าคอร์สกลางวันนี้ราคาเท่าไร ทีนี้นายจะเลี้ยงใช่มั้ยล่ะ ใช่มั้ย”

“นี่เธอกะจะรีดไถคนที่กำลังจะว่างงานงั้นหรอ ทำไมถึงไร้หัวใจขนาดนี้”

“ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ” มิโยชิล้อก่อนที่จะทำน้ำเสียงจริงจัง “เเล้ว ความลับที่ว่าคืออะไรล่ะ”

“อย่าลืมนะ เธอสาบานต่ออัลเนลโล(เนื้อลูกแกะในภาษาอิตาลี)ชิ้นนั้นเเล้ว” ผมพูด “แถมตอนนี้เราอยู่ในร้านอาหารอิตาเลียน ฉันเลยใช้ภาษาอิตาลี เธอจะใช้ภาษาฝรั่งเศสทำไม”

มิโยชิทำแก้มป่องเล็กน้อย “เคย์ เพราะเป็นแบบนี้นายเลยยังโสดอยู่ไงล่ะ”

“โธ่ เงียบน่า” ผมพูดเเละฟาดดันเจี้ยนการ์ดของผมลงตรงหน้าของมิโยชิ “จงดูเเละตกใจซะ!”

“ดันเจี้ยนการ์ดของนายหรอ คิดจะทำอะไรกั-” มิโยชิหยุดพูดและร้องเบาๆด้วยความตกใจ

 

 

ด้วยเสียงตกใจของเธอ ทำให้ลูกค้าในร้านพากันหันมามอง เเต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนพวกนั้นก็กลับไปสนใจจานอาหารตรงหน้าต่อ

“หน่ะ-นี่มันยังไงกัน” มิโยชิกระซิบถาม โน้มตัวมาหาผมอย่างรวดเร็ว “การ์ดปลอมหรอ”

“นี่คิดแล้วหรอ จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”

“อืม…เพื่อมาหลอกเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยกว่า?”

“งั้นคงเป็นมุกที่แย่มากๆ”

“ก็ตรงเเรงค์มันมีเลขหนึ่งอยู่นี่นา”

“สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ”

“ดูการ์ดก็น่าจะเป็นของจริง แถมมีชื่อของนายอยู่ด้วย…เดี๋ยวก่อนนะ”

เธอหยิบมือถือออกมาเเละค้นหาในเวปไซต์ “จริงๆด้วย” เธอพูดยื่นมือถือให้ดู “เเรงค์หนึ่งจากเวปไซต์ WDARL เป็นนักสำรวจที่ไม่เปิดเผยตัวตน”

“โธ่ ยังคิดว่าเป็นของปลอมอยู่อีกหรอ”

“จะไม่ให้คิดอย่างงั้นได้ยังไงเล่า นายยุ่งจนหัวหมุนขนาดนั้น จะหาเวลาที่ไหนไปลงดันเจี้ยน”

“เธอคิดถูกแล้วเรื่องที่ไม่มีเวลา”

“คิดออกเเค่ว่านายต้องใช้วิธีชั่วร้ายอะไรสักอย่าง”

“เฮ้ คิดว่าฉันเป็นใครกัน”

“ตลอดสามปีที่ผ่านมา ทหารหัวกะทิแนวหน้าลงดันเจี้ยนทุกวัน แต่ตอนนี้ นาย เนี่ยนะเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าไม่ได้ใช้วิธีสกปรกล่ะก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”

“ก็นะ เกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่างน่ะ เเต่ต้องเก็บเป็นความลับนะ โอเคมั้ย”

“ถึงบอกไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี”

“…ก็จริง”

พนักงานเสิร์ฟนำของขวานมาเสิร์ฟ ของขึ้นชื่อของที่นี่คือมองบลังค์ – ไม่ใช่สิ ต้องเป็นมอนเต บียังโค – โดยทำจากเกาลัด เเน่นอนว่าถึงมันจะหวานมากๆแล้ว แต่รสสัมผัสก็ไม่เหนียว สำหรับผม ของหวานจะต้องใส่น้ำตาลให้เหมาะสม

“นายยังมีสกิลอีกนี่นา” มิโยชิร้อง “ก็นะ เเรงค์หนึ่งก็ต้องมีสกิลอยู่เเล้ว เเต่ว่า เมย์คิงหรอ ฟังดูเหมือนเป็นคู่สมรสของมันฝรั่งเมย์ควีนอะไรแบบนั้น เป็นสกิลยังไงหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“หา”

เป็นครั้งที่สองของวันนี้ที่มิโยชิทำหน้าตกใจ

“เธอรู้วิธีใช้สกิลรึปล่าว” ผมถาม

“ไม่รู้ ฉันไม่มีสกิลสักหน่อย”

“ความผิดพลาดนั้น มิโยชิที่แสนรักยิ่ง มิได้เป็นเพราะทักษะของเรา แต่อยู่ที่เราเอง(2)”

“นายเป็นเช็คสเปียร์รึไง ฉันเคยอ่านบล็อคของคนที่เคยใช้สกิลนะ อืม ถ้าจำไม่ผิด กดไปที่ตรงชื่อสกิลในการ์ดเเล้วพุดชื่อสกิลออกมา ให้ทำจนกว่าจะคุ้นเคย นี่เป็นวิธีฝึกการเรียกใช้สกิล”

“อย่างนั้นหรอ ขอบคุณสำหรับข้อมูล จะลองเดี่ยวนี้แหละ”

“จะลองงั้นหรอ หมายความว่านายยังไม่เคยสกิลนี่มาก่อนเลยหรอ”

“หืม ใช่ ยังไม่เคยใช้เลย เเล้วอย่าลืมเก็บเป็นความลับล่ะ”

ผมบอกให้มิโยชิไม่ให้บอกใครเรื่องสกิลของผม “หมอนี่เนี่ยนะเป็นเเรงค์หนึ่ง..” เธอพึมพำ, แต่ช่างเถอะ

“จิ้มไปที่การ์ดเเล้วท่องชื่อสกิลงั้นหรอ” ผมก็ทำเเล้วนี่นา ผมพูดคำว่า เมย์คิงออกมาเสียงเบา

ชิ้งงง

ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กอายุสิบสี่ที่ชอบเล่นสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆในสนามเด็กเล่น

“นายทำให้ฉันนึกถึงเด็กอายุสิบสี่ที่ชอบเล่นสวมบทบาทในสนามเด็กเล่นเลย” มิโยชิพูด “ทำเอาฉันเขินไปด้วย”

“ง่ะ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากได้ยินตอนนี้เลย เงียบหน่อยสิ”

“เคย์ นายกำลังใช้สกิลที่ไม่รู้ว่าทำอะไรได้กลางร้านอาหารนะ ถ้าเกิดสกิลมันเป็นเวทมนตร์โจมตีจะทำยังไง”

จริงด้วยแฮะ

การอยากที่จะทดลองทุกอย่างในทันทีนี่เป็นนิสัยเสียที่พวกนักวิจัยมีนี่นะ เอ๊ะหรือว่าเป็นเเค่ผมคนเดียว

“โทษที ถูกของเธอ” ผมเห็นด้วย

“เเต่ว่า” มิโยชิหัวเราะคิกคัก “ฟังนายพูดว่า เมย์คิง เเล้วมัน…”

“พอได้เเล้วน่า!”

เธอเป็นคนบอกให้ฉันทำเองนี่

“เเล้ว ก็เลยเป็นสาเหตุที่นายสนใจจะลงดันเจี้ยนงั้นหรอ” มิโยชิพูดต่อ “งั้น ถ้านายเป็นนักสำรวจอันดับหนึ่ง น่าจะหาเงินได้มหาศาลเเน่”

“เธอคิดงั้นหรอ”

“คิงเเซลมอนจากแอเรียสอง ใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเดินทางรอบโลกนะ”

“ใครนะ”

“ก่อนที่นายจะเป็นเเรงค์หนึ่ง เขาเป็นนักสำรวจที่ไม่เปิดเผยตัวตนคนเดียวที่ลำดับเป็นเลขตัวเดียว”

“ไม่เปิดเผยตัวตน เเต่ทำไมเธอถึงรู้ชื่อล่ะ”

“พออันดับสูงขึ้น ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้น” มิโยชิอธิบาย “แอเรียในรายงานอันดับสามารถบอกได้นะ”

“เพราะรู้ว่าเขามาจากแอเรียสอง เลยทำให้รู้ว่าเป็นใครงั้นหรอ”

“ใช่”

โพชันนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดจากดันเจี้ยนที่สามารถนำมาเเจกจ่ายได้ เเต่อย่างไรก็ตาม โพชันที่ได้จากกองทัพโดยส่วนมากเเล้วจะถูกใช้ภายในหรือถูกเก็บไว้เป็นทรัพยาการของชาติ ไม่มีทางที่จะหลุดสู่สาธารณะชน โพชันที่ไหลเวียนอยู่ในท้องตลาดเกือบทั้งหมดมาจากนักสำรวจที่เป็นคนธรรมดา เเละมีผู้ซื้อที่พร้อมจะจ่ายเงินมหาศาลเพื่อให้ได้มันมา บางทีผมน่าจะลองดูสักตั้ง

“เคย์” มิโยชิพูด “ฉันกำลังลองดูส่วนของคอมเมนต์ นายทำให้คนในเนตเป็นบ้ากันไปหมด นักสำรวจเเรงค์หนึ่งคนใหม่ที่อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมา แต่ไม่มีใครในแอเรียสิบสองที่ข้อมูลตรงกันเลย”

“จริงหรอ เเถวนี้ไม่มีนักสำรวจดังๆเลยรึไง”

“เพราว่าดันเจี้ยนของญี่ปุ่นนั้น อยู่ใต้การจัดการของJDAตั้งเเต่เเรกๆ เลยเเทบไม่มีใครลงดันเจี้ยนได้ด้วยตนเองเลย เพราะฉะนั้นพวกอันดับสูงของแอเรีย12เลยเป็นSDFเเทบทั้งหมด นักสำรวจที่เป้นคนธรรมดานั้นลำดับต่ำกว่านั้นมากๆ ขนาดกลุ่มที่อันดับสูงสุดยังอยู่เเค่สี่หลัก”

“หลักพันน่ะหรอ”

“ใช่ บางทีก็ขึ้นไปอยู่ช่วงล่วงของเลขสามหลัก เเต่ก็นานๆที”

“แอเรียสิบสองมีรัสเซีย อินโดนีเซียเเละออสเตรเลียด้วยใช่มั้ย” ผมถาม

“ตามลองจิจูดจริงๆเเล้ว แอเรียนี้มีคนที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นน้อยมาก”

ขณะที่ผมถอนหายใจยาว อยู่ดีๆมิโยชิก็ยืดหลังตรง ทำตัวเป็นทางการ “เคย์”

“มีอะไร”

“ถ้าฉันลาออกจากบริษัท จ้างฉันจะได้ไหม”

“หืม จ้างเธอ?”

“คือว่า นายจะเริ่มหาเงินจากการลงดันเจี้ยนใช่ไหม”

“ก็น่าจะอย่างงั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำเเล้ว”

“เเต่นายไม่อยากมีชื่อเสียงใช่ไหมล่ะ” มิโยชิถามพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

หลังจากหยุดคิดสักพัก ผมก็ตอบออกไป “ใช่เเล้ว” ว้าว เด็กคนนี้รู้จักผมดีกว่าที่คิดเเฮะ

“เพราะฉะนั้น นายต้องมีตัวเเทน”

“ตัวเเทน?”

“ถ้าอยากจะขายของที่ได้มาจากดันเจี้ยน นายต้องมีใบอนุญาตทำการค้าที่ออกโดยJDA”

“นี่เป็นกฏเลยใช่ไหม”

“เเละถ้านายซื้อขายโดยใช้ใบอนุญาต ตัวตนของนายก็จะถูกเปิดเผยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ใช่” ผมพูด “มันมีกฏหมายเกี่ยวกับการทำการค้าเเบบเจาะจงอยู่”

“เเล้วถ้า ถ้าฉันเป็นคนขอใบอนุญาตการค้า ถ้าฉันเป็นคนขายของที่นายหามา”

“ถ้าสืบจากใบอนุญาต ก็จะเจอเเค่เธอ”

“ถูกต้อง” มิโยชิชี้ไปที่ตัวเอง “เธอคนนี้คือตัวเเทนและผู้จัดการผู้เก่งกาจ เเต่ว่าร่างที่เเท้จริงของเธอล่ะ?”

“ร่างที่เเท้จริง?”

“เธอคือเเม่ค้าปรสิต เป็นปลิงที่คอยดูดเงินจากนายไงล่ะ”

“เธอนี่มัน…”

ระหว่างที่ผมกำลังเหนื่อยใจ พนักงานก็นำมีนยาร์ดีส์(3)มาเสิร์ฟ มีทั้งมาการองหน้าตาน่ารัก ขนมอบเเละช็อกโกเเลตชิ้นเล็กๆ ส่วนกาแฟเป็นดับเบิ้ลเอสเปรสโซ

“เเน่อนนว่าพวกเราไม่สามารถซ่อนจากJDAไปได้ตลอด” มิโยชิพูดเเล้วใช้นิ้วคีบขนมอบขึ้นมา

เพราะการมีอยู่ของภาษีดันเจี้ยน ทำให้WDAควบคุมการซื้อขายของจากดันเจี้ยนอย่างเข้มงวด ทำให้ถ้ามีการตรวจสอบ ก็จะสามารถไล่กระเเสของเงินไปถึงปลายทางได้ เเต่ถึงจะสืบจากเงินจริงๆ ก็ไม่มีทางรู้เเน่ชัดว่าคนๆนั้นได้ของจริงไหม อย่างมากก็เเค่น่าสงสัย

“ก็นะ ฉันคงขอบคุณถ้าไม่ต้องเป็นจุดสนใจ”

ท่าทางมิโยชิจะช่วยเก็บความลับให้ เเละเธอก็เข้ากับเราได้ด้วย น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ

“ข้อเสนอของเธอฉันรับทราบเเล้ว” ผมพูด “ไว้จะเก็บเอาไปคิด”

“เยี่ยมเลย ขอบคุณนะเคย์”

“เเต่ฉันการันตีอะไรให้ไม่ได้นะ อย่าพึ่งออกจากงานล่ะถ้ายังทำไหวอยู่ ฉันเองก็ไม่ได้จะเริ่มลงดันเจี้ยนเลย ดูเหมือนว่าจะต้องเข้าคอร์สฝึกอะไรก่อน”

ถ้าจะเริ่มสำรวจดันเจี้ยน คุณจะต้องลงทะเบียนนักสำรวจเเละเข้าคอร์สสั้นๆ หลังจากนั้น บัตรนักสำรวจจะถูกออกให้หลังจากนั้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อการจัดการ ทำหน้าที่เป็นรหัสของนักสำรวจ

งั้นดี-การ์ดมันเอาไว้ทำอะไรล่ะ

มือค้างอยู่ที่เเก้วเอสเปรสโซ มิโยชิทำหน้าสงสัย “เดี๋ยวนะ”

“หืม”

“ทำไมนายถึงมีดี-การ์ดเเต่ว่าไม่มีบัตรนักสำรวจล่ะ”

“อ๋อ ฉันฆ่าก๊อบลินป่าไปมั้งนะ”

“มั้งนะ หรอ หมายความว่ายังไง ที่สำคัญ อะไรคือก๊อบลินป่ายะ ถ้ามีก๊อบลินออกมาเดินเพ่นพ่านที่น่ากลัวเเย่! น่าสงสัยชะมัด”

“เอาน่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไว้ค่อยเล่าให้ฟัง ไปกันเถอะ เวลาพักกลางวันจะหมดเเล้ว”

“…สัญญานะ”

“เเน่นอน”

มิโยชิโยนมาการองชิ้นสุดท้ายเข้าปาก – เอ๊ย ขอโทษที โยนบาชี ดี ดามา ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เเละตามด้วยเอสเปรสโซ 

“’งั้นก็ ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ”

 

(1) มีดเพอซีวาล 9.47 Perceval 9.47s เป็นมีดสำหรับใช้บนโต๊ะอาหาร เเละเป็นมีดที่ออกเเบบโดยเชฟระดับมิชลินตาร์ อีฟ ชาร์ลส์ โดยได้เเรงบันดาลใจมาจากมีดพับ

(2) ความผิดพลาดนั้น มิได้เป็นเพราะทักษะของเรา แต่อยู่ที่เราเอง : มาจากเเม็คเบธ บทประพันธ์ของวิลเลียน เชคสเปียร์

(3) มีนยาร์ดีส์ : เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า เมนูอาหารหรือของหวานเล็กๆ ที่เสิร์ฟเป็นคู่กับเมนูหลักหลังจากมื้ออาหารหลักเสร็จ 

ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น

ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น

Status: Ongoing
สามปีที่เเล้ว เพราะการทดลองที่ผิดพลาดที่แอเรีย51 ดันเจียนเเห่งเเรกได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ตอนนี้ทุกคน /ไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนธรรมดาหรือทหาร ก็ต่างออกสำรวจดันเจียนที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์เพื่อความร่ำรวย พลัง และเวทมนตร์ โยขิมูระ เคโกะ เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาที่ห่างไกลกับการผจญภัย ผู้มีความฝันอยากจะลาออกจากงานมาใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ ระหว่างออกไปทำงาน เขาก็ได้พบกับดันเจี้ยนกำเนิดใหม่และได้รับพลังที่ทำให้การสำรวจดันเจียนนั้นกลายเป็นเหมือนกับเกมRPG เรื่องมากมายเกิดขึ้นและเขาก็จับพลัดจับผลูกลายเป็นนักสำรวจเเรงค์หนึ่งของโลก ด้วยความช่วยเหลือจากมิโยชิ อาซึสะ ผู้ร่วมงานที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ เขาได้ใช้ประโยชน์จากหน้าจอสเตตัสของเขาทำเงินได้อย่างมากมาย เเต่ทว่า เคโกะต้องตกอยู่ภายใต้การจับตามองของกองทัพ รัฐบาลหรือสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับความฝันของเขาที่อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่ายกันเนี่ย!?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท