ตอนที่ 885 นัดบอดของเฝิงเยว่จู๋
วันเวลาผ่านไปจวบจนมาถึงเดือนเมษายนอย่างรวดเร็ว
ต้นหลิวดอกแดงพร้อมกับดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานไปทั่วเมืองหลวง ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกถึงบรรยากาศแห่งความสุข
การมีที่พักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ดี และสามารถกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารเย็นในตอนมื้อเที่ยงได้
แม้การรับประทานมื้อเที่ยงกับเพื่อนร่วมชั้นจะเป็นเรื่องที่ดี แต่หลินม่ายก็ยังชื่นชอบที่จะกลับมารับประทานอาหารที่บ้านกับครอบครัวของตนเอง
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่อาคารสไตล์ตะวันตกใกล้มหาวิทยาลัย มันค่อนข้างอยู่ไกลจากโรงพยาบาลที่ฟางจั๋วหรานทำงาน ถ้าวันไหนเขาไม่ค่อยยุ่งมาก เขาจึงมีโอกาสกลับมารับประทานมื้อเที่ยงที่บ้าน
ทุกวันในตอนเที่ยง เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่หายไปจากบ้าน และกลับมาในมื้อเย็น
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนานหลายปี และวิถีชีวิตของพวกเขาก็ยังปนเปวิถีของทางเหนือและใต้รวมกัน
จนกระทั่งเธอย้ายกลับมาที่หูเป่ย จึงได้รับประทานอาหารทางตอนใต้เป็นหลัก
นับตั้งแต่ที่เธอย้ายเข้าสู่เมืองหลวง วิถีชีวิตของเธอก็แปรเปลี่ยน เป็นกึ่งเหนือกึ่งใต้ไปโดยปริยาย บางวันก็กินข้าว บางวันก็กินแป้ง
หลินม่ายไม่คิดมากสำหรับมื้ออาหารของตนเอง ตราบใดที่เธอไม่ถูกบีบบังคับให้กินเนื้อชุ่มเลือด เนื้อสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารกลิ่นคาว เธอกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้เธอยังคุ้นชินกับการรับประทานบะหมี่ของทางเหนือเช่นเดียวกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
ทางเหนือมีขนมจีบ ซาลาเปาเนื้อแกะ บะหมี่ อาหารพวกแป้งเหล่านี้ล้วนแต่รสเลิศทั้งสิ้น
ในมื้อเที่ยงวันนี้ หลังจากหลินม่ายกลับมาจากมหาวิทยาลัย ก็มีเกี๊ยวนึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร
โต้วโต้วถูกคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพากลับจากมหาวิทยาลัย
ขณะเดินวนไปรอบโต๊ะอาหาร หล่อนพึมพำด้วยริมฝีปากบางเรียว “ทำไมแม่ยังไม่เลิกเรียนอีกคะ?”
จากนั้นหลินม่ายเดินเข้ามาภายในห้อง คุณย่าฟางขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้นในห้องอาหาร
“แม่คะ มากินขนมจีบกันค่ะ มีไส้กุยช่าย ไส้เนื้อแกะ เรารีบกินมันตอนที่ยังร้อนดีกว่า”
หลินม่ายยิ้มกว้าง “เดี๋ยวลูกกินก่อนเลยนะ แม่ต้องไปล้างมือ ป้อนข้าวน้องชายก่อน เดี๋ยวจะกลับมานั่งกินด้วย”
หลังจากหลินม่ายล้างมือและป้อนข้าวทารกน้อยเสร็จ เธอกลับมาที่ห้องอาหารและเห็นว่าโต้วโต้วยังไม่เคลื่อนไหว เวลานี้กำลังรอเธออยู่กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
เมื่อเห็นสถานการณ์อย่างนั้นแล้ว หัวใจของหลินม่ายพลันอบอุ่นขึ้นมา นี่คือครอบครัวที่เรียกว่าบ้านอย่างแท้จริง
ทันทีที่หลินม่ายนั่งลงบนโต๊ะ โต้วโต้วคีบเกี๊ยวที่น้าถูเตรียมไว้ให้กับทุกคน
โต้วโต้ววางเกี๊ยวที่มีต้นหอมมากมายให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง และวางเกี๊ยวเนื้อแกะให้กับหลินม่าย เพราะรู้ดีว่าหลินม่ายชอบกินเนื้อแกะ
หลินม่ายสัมผัสได้ว่าเด็กน้อยคนนี้รู้จักวิธีการเอาอกเอาใจคนในครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย และหล่อนจะไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไป๋ซวงแน่นอน
ขณะหลินม่ายกำลังกินเกี๊ยวตรงหน้า ทารกที่อิ่มแล้วกำลังกล่าวเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของหลินม่าย
หลินม่ายหยอกล้อกับเขาขณะรับประทานอาหาร และเด็กน้อยก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะพูด
ขณะที่แม่ลูกกำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข เสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น
น้าถูวิ่งเข้าไปรับสาย เป็นเยวี่ยกั๋วเวยผู้อำนวยการโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอที่โทรหาหลินม่ายเพราะมีเรื่องด่วนต้องพูดคุย
เยวี่ยกั๋วเวยเพียงแค่พิการแต่ไม่ร้ายแรง มีขาข้างเดียวที่พิการเล็กน้อย แต่เขายังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า และยังสามารถวิ่งเหยาะ ๆ ได้ในระยะสั้น ๆ หากรีบร้อน
เพราะหลินม่ายเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และยังมีอาชีพการงานที่มากมาย เขาจึงถูกเลื่อนขั้นให้เป็นผู้อำนวยการโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอ รับผิดชอบกิจการไป๋เหอจิวเวอรี่ทั้งหมด
เยวี่ยกั๋วเวยพยายามทำตามความคาดหวังของหลินม่าย และเขาสามารถเพิ่มยอดขายให้กับโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอได้หลายเปอร์เซ็นต์
หลินม่ายรับโทรศัพท์พร้อมอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน
เยว่กั๋วเว่ยบอกเธอไว้ว่านับตั้งแต่ละครคลื่นทะเลผกผันของ TVB ฮ่องกงได้รับความนิยมในต่างประเทศ เครื่องประดับของโรงงานไป๋เหอก็กลายเป็นที่นิยมทันที
ชื่อเสียงของเหมิงตานซึ่งเป็นหัวหน้าดีไซน์เนอร์ของโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายหล่อนก็ถอนตัวไป
โรงงานเครื่องประดับจิวเวอรี่แห่งหนึ่งคิดจ้างหล่อนให้เป็นดีไซน์เนอร์ของโรงงานโดยเสนอเงินเดือนที่สูงกว่าให้
หล่อนไม่คิดบอกกล่าวล่วงหน้า และลาออกทันทีในวันที่แจ้ง
เมื่อจากไปแล้วก็ยังนำภาพที่ตนออกแบบเครื่องประดับใหม่ ๆ ให้กับโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอที่ยังไม่ได้ผลิตออกไปด้วย
บริษัทมีข้อกำหนดไว้ชัดเจน ไม่ว่าใครต้องการจะลาออกจะต้องแจ้งล่วงหน้า 1 เดือนเพื่อให้บริษัทจัดหาคนมาแทนที่คนที่ลาออก
อีกทั้งเมื่อลาออก จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำเอกสารใด ๆ ภายในออกไปทั้งสิ้น และไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยความลับของบริษัทต่อผู้อื่น
การที่เหมิงตานทำเช่นนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงในการจ้างงานสองข้ออย่างเห็นชัด
หลินม่ายแกะมือเด็กทารกที่กำลังเล่นสายโทรศัพท์ออกแล้วพูดว่า “แล้วเหมิงตานจัดการค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือยัง? ถ้ายัง ก็คิดค่าเสียหายส่งไปให้หล่อน”
บริษัททำสัญญาการจ้าง ย่อมมีการเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีที่อีกฝ่ายผิดสัญญา
หากว่านทงกรุ๊ปผิดสัญญา แน่นอนว่าพวกเขาก็จะจ่ายชดเชยให้กับพนักงานเช่นกัน
แต่หากพนักงานผิดสัญญา พนักงานจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัท
ซึ่งจำนวนของเงินที่ต้องจ่ายขึ้นอยู่กับความสำคัญของพนักงานที่มีต่อบริษัทในเวลานั้น ๆ
เหมิงตานเป็นหัวหน้านักออกแบบของโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอ และมีความสำคัญมาก เพราะเหตุผลนี้ค่าเสียหายของหล่อนจึงสูงมากถึง 50,000 หยวน
แม้เหมิงตานจะมีเงินเดือนสูงมากในโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอ และทำงานมานานหลายปี แต่เวลานี้หล่อนมีรายได้เพียง 50,000 หยวนเท่านั้น
ทันทีที่ชำระค่าเสียหายเสร็จ หล่อนจะกลับสู่สภาวะทางการเงินตึงมืออีกครั้ง
สิ่งที่หลินม่ายต้องการไม่ใช่ค่าเสียหายจากหล่อน แต่เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
ลาออกได้แต่ต้องลาออกตามเงื่อนไข ห้ามผิดสัญญาและนำเอกสารในบริษัทออกสู่โลกภายนอก
เหมิงตานลาออกจากโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอ และสูญเสียเงินมากกว่า 50,000 หยวน
เยวี่ยกั๋วเวยตอบกลับทางโทรศัพท์ “หายไปแล้วครับ”
หลินม่ายกลายเป็นประหลาดใจ “เธอจ่ายน้อยไปเหรอ?”
เยว่กั๋วเว่ยกล่าวด้วยความเหยียดหยาม “ผมไม่ได้อยากให้หล่อนจ่าย มันเป็นค่าเสียหายที่โรงงานเครื่องประดับอื่นจ่ายให้หล่อน และล่อลวงหล่อนไปด้วยเงินเดือนที่สูงกว่า”
“โรงงานเครื่องประดับที่เหมิงตานไปทำงานตอนนี้ร่ำรวยแล้วก็มีอำนาจจริง ๆ นั่นแหละ” หลินม่ายถอนหายใจก่อนจะตอบกลับด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วโรงงานนั้นชื่ออะไรเหรอคะ?”
“เครื่องประดับเป่าตี๋ลา”
หลินม่ายขมวดคิ้ว “ดูเหมือนฉันจะเคยได้ยินชื่อนี้นะ…”
“เป่าตี๋ลาเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับที่เคยขโมยงานไป๋เหอของเรามาก่อนครับ”
เวลานี้หลินม่ายจดจำได้ทันที
เธอจำได้แล้ว ในตอนนั้นเธอมองภาพเป่าตี๋ลาเป็นปลาเค็มตากแห้ง
ตอนนี้เธอถึงกับเผยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เป่าตี๋ลากลับมาเหรอ? แล้วยังคิดต่อสู้กับไป๋เหอจิวเวอรี่ด้วย?”
เธอครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดต่อว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก รอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปดีกว่า ตอนนี้หานักออกแบบใหม่เถอะ”
แม้เหมิงตานจะพอมีพรสวรรค์ แต่งานของหล่อนก็ยังขาดเสน่ห์
หลากหลายสไตล์ที่หล่อนออกแบบล้วนถูกปรับแก้ทีหลังด้วยฝีมือของหลินม่าย
หลินม่ายได้เปรียบตรงที่เกิดใหม่อีกครั้ง ในชีวิตที่แล้วเธอชื่นชอบเครื่องประดับมาก และมักจะไปร้านเครื่องประดับต่าง ๆ เพื่อดูสไตล์การออกแบบ เคยเห็นเครื่องประดับระดับสุดยอดมาแล้วนับไม่ถ้วน
ตอนนี้ยังมีอีกหลากหลายแบบที่ยังไม่ถูกดึงออกมาจากในใจของเธอ
หากเหมิงตานไปร่วมงานกับคู่แข่งของเธอและเปิดตัวเครื่องประดับชุดใหม่ เธอก็จะเปิดตัวเครื่องประดับชุดใหม่ด้วย ให้วัดกันไปเลยว่าใครจะเหนือกว่า!
เวลานี้หลินม่ายเพียงบอกกล่าวกับเยวี่ยกั๋วเวยว่าไม่ต้องรีบร้อน แต่เขาจะไม่รีบร้อนได้อย่างไร? เพราะเหมิงตานนำเครื่องประดับจำนวนมากที่ยังไม่เปิดตัวออกไปด้วย
แต่เมื่อหลินม่ายตอบกลับเช่นนี้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น
หลินม่ายวางสายโทรศัพท์ และเดินกลับมากินเกี๊ยวที่เกือบจะเย็นแล้ว
น้าถูรู้ดีว่าหลินม่ายไม่ชอบกินอาหารที่เย็นแล้ว จึงนำเกี๊ยวไปทอดใหม่ในกระทะร้อนให้เป็นเกี๊ยวทอดแทน
หลินม่ายกินเกี๊ยวทอดสองสามคำ ก่อนจะขึ้นไปบนห้องนอน จากนั้นก็เริ่มวาดภาพในหัวที่เธอเคยจดจำได้ในช่วงชีวิตก่อนหน้าออกมา
เธอวาดภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกือบจะถึงเวลากลับไปที่มหาวิทยาลัย เวลานี้เธอจึงวางปากกาพร้อมขับรถไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับน้าถูและเด็กชายตัวน้อย
ตอนนี้อากาศภายนอกค่อนข้างอุ่นขึ้น หลินม่ายอยู่ในชั้นเรียน ส่วนน้าทังและเป่าเป่าไม่จำเป็นต้องอยู่ในรถอีกต่อไป พวกเขาสามารถเดินเล่นไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยได้
เสี่ยวมู่ตงเป็นเด็กชายแสนจะน่ารัก ไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรักใคร่
เด็กชายตัวน้อยมีความสุขมาก และเขาชื่นชอบให้น้าทังอุ้มเขาไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัย
เพียงพริบตา วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันเกิดปีที่สิบเก้าของเหมียวเหมียว
แม้จะไม่ใช่วันเกิดที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่หลังจากวันเกิดปีที่สิบเก้า หลังจากนี้จะเข้าสู่เลขสองอย่างเป็นทางการแล้ว
เหมียวเหมียวต้องการฉลองวันเกิดของตนเอง เวลานี้เธอจึงตรงไปที่ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วในเขตซีเฉิง
เพื่อนร่วมชั้นทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ
ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วของหลินม่ายเปิดกิจการในเมืองหลวงมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว มีชื่อเสียงเลื่องลือ และมีร้านสาขาเป็นสิบๆ ร้าน
หลังจากเลิกเรียนในตอนบ่าย เพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดก็เรียกรถแท็กซี่ พร้อมด้วยรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของหลินม่าย แปดคนกับรถสองคันมุ่งสู่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วในเขตซีเฉิง
หลังจากจอดรถที่ทางเข้าร้านเหรินเจียนเยียนหั่วแล้ว สาว ๆ ยังคงพูดคุยกันว่าจะนั่งกินอาหารต่าง ๆ ด้านนอกหรือห้องส่วนตัว
ในที่สุดทุกคนก็ลงความเห็นว่าควรจะนั่งกินด้านนอก เพราะการเข้าไปนั่งกินในห้องอาหารส่วนตัวจะมีค่าบริการแยกต่างหาก
หลินม่ายอุ้มเสี่ยวมู่ตงเข้าไปในร้านพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นของตน
เหมียวเหมียวหันมองโดยรอบของบริเวณร้านและเห็นว่ามีโต๊ะว่างอยู่ในมุมด้านใน
เธอชี้ไปที่โต๊ะนั้นก่อนจะพูดขึ้นว่า “เร็วเข้า มีโต๊ะว่างอยู่ตรงนั้น รีบก้าวเท้าเร็วเข้า”
สิ่งที่เธอพูดออกมาไม่เกินจริง ร้านอาหารเหรินเจียนเยียนหั่วนั้นขายดีมาก หากมัวชักช้าจะไม่ทันคนอื่น ๆ ที่แทรกคิวเข้ามา
เพื่อนร่วมชั้นรีบพุ่งตรงไปที่โต๊ะเหล่านั้นทันที
หลินม่ายเป็นแม่คนแล้ว เธอจึงไม่สามารถทำตัวบ้าคลั่งเช่นสาวน้อยเหล่านั้นได้
เธอเดินตรงไปที่โต๊ะว่างนั้นทีหลัง เวลานี้เธอก็บังเอิญเห็นเฝิงเยว่จู๋และชายวัยสามสิบกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน พวกเขากำลังกินเซาเข่าและพูดคุยกันอย่างมีความสุขในเวลานี้
เฝิงเยว่จู๋เห็นหลินม่ายแล้ว ใบหน้าของหล่อนพลันแข็งทื่อราวกับพบเจอหายนะครั้งใหญ่
แต่ไม่นานหล่อนก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง พร้อมกล่าวทักทายหลินม่ายด้วย “ม่ายจื่อ คุณมากินบาร์บีคิวที่นี่ด้วยเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้ารับอย่างสุภาพ สายตาของเธอสบเข้ากับชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
เธอเดินเข้าไปถามด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “สหายคนนี้เป็นใครเหรอคะ? คุณเฝิงจะไม่แนะนำเพื่อนคนนี้หน่อยเหรอ?”
สีหน้าของเฝิงเยว่จู๋กลายเป็นบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ยังกล้าหาญที่จะแนะนำอีกฝ่าย “เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนของเพื่อนสนิทแม่ฉันน่ะ ชื่อลู่เวย”
หลินม่ายยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปทักทายผู้ชายคนนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลินม่าย เป็นน้องสะใภ้ในอนาคตของพี่สาวเฝิง”
เมื่อเฝิงเยวจู๋ได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัวเองอย่างนั้น ใบหน้าของหล่อนพลันซีดลงในทันที
สีหน้าของผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เขาเอ่ยปากถามเฝิงเยว่จู๋ต่อหน้าหลินม่าย “คุณมีแฟนแล้วเหรอครับ? แล้วมานัดบอดกับผมที่นี่เนี่ยนะครับ?”
เฝิงเยว่จู๋ยิ่งอับอายก่อนจะกล่าวคำแผ่วเบา “ฟังฉันอธิบายก่อนนะคะ”
แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่เปิดโอกาสให้หล่อนอธิบายและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เฝิงเยว่จู๋หันมองหลินม่าย
มุมปากของหลินม่ายยกยิ้มอย่างมีความหมาย และเวลานี้เธอก็หันหลังกลับไปหาเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองโดยไม่คิดจะกล่าวอะไรต่อ
แต่เฝิงเยว่จู๋วิ่งตามมา พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ากระตือรือร้น “ม่ายจื่อ ฟังฉันอธิบายก่อน”
หลินม่ายกล่าวขณะที่เท้ายังคงเคลื่อนไหว “คุณควรจะไปอธิบายเรื่องนี้กับพี่ชายของฉันค่ะ ไม่ต้องอธิบายให้ฉันฟังหรอก”
เฝิงเยว่จู๋หยุดก่อนจะมองหลินม่ายเดินไปหาเพื่อนร่วมชั้นของตัวเอง
หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิม เวลานี้ก็มองโต๊ะที่เต็มไปด้วยเซาเข่าและเครื่องดื่มด้วยท่าทางกังวล
เหรินเจียนเยียนหั่วเป็นร้านอาหารระดับสูง เครื่องดื่มกับอาหารในนี้จึงค่อนข้างมีราคาแพง
ทุกสิ่งบนโต๊ะนี้มีราคาสี่สิบหรือห้าสิบหยวน
ลู่เวยตระหนี่เกินไป แม้เขาโกรธและต้องการลุกออกไป อย่างน้อยก็ควรจะจ่ายค่าอาหารทั้งหมดด้วย
เฝิงเยว่จู๋หันมองหลินม่าย
หล่อนต้องการให้หลินม่ายจ่ายเงินให้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเปิดปากพูดออกไป สุดท้ายทำได้เพียงกัดฟันพร้อมควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงินทั้งหมด และกำลังจะจากไป
บริกรยังถามหล่อนอีกครั้งว่าจะห่อสิ่งเหล่านี้กลับด้วยหรือไม่
ผู้คนในยุคนี้มักจะขี้อายและหน้าใหญ่ พวกเขาคิดว่าการห่ออาหารกลับบ้านเป็นเรื่องที่น่าอับอาย
แม้เฝิงเยว่จู่จะไม่ได้อับอายเรื่องนั้น แต่เวลานี้หลินม่ายยังคงอยู่ที่นี่
เมื่อหลินม่ายอยู่ที่นี่ด้วย หล่อนจึงอับอายที่จะห่ออาหารทั้งหมดกลับบ้านและกลัวว่าคนด้านหลังจะหัวเราะเยาะ
เป็นเพราะพวกเขาไม่ทราบว่าร้านเหรินเจียนเยียนหั่วนี้คือธุรกิจของหลินม่าย
เธอไม่ต้องการให้ลูกค้าจ่ายเงินโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน หากมีอาหารเหลือเต็มโต๊ะ บริกรจะต้องกล่าวถามว่าต้องการห่ออาหารกลับหรือไม่
ทว่าเฝิงเยว่จู๋แสร้งทำเป็นเหลือกินเหลือใช้ หล่อนโบกมือปฏิเสธโดยพลัน
เวลานี้ที่โต๊ะของหลินม่าย เพื่อนร่วมชั้นของเธอเริ่มซุบซิบและกล่าวถามว่าผู้หญิงที่หลินม่ายเดินเข้าไปหาเป็นใคร
หลินม่ายเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แต่ไม่ได้ตอบคำใดกลับ เวลานี้เพื่อนร่วมชั้นจึงไม่ถามอะไรต่อไป
พวกเขารวมตัวกันสุมหัวลงที่เมนูอาหาร ก่อนจะเริ่มสั่งเซาเข่า เครื่องดื่ม น้ำหวานอย่างสนุกสนาน
หลินม่ายเรียกบริกรมาใกล้ ก่อนจะพูดกับเขาสองสามคำ จากนั้นก็มอบเงินให้กับเขาสองใบ
บริกรหันหลังกลับและออกไปพร้อมกับเงิน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าว ยัยเฝิงคิดไม่ซื่อเสียแล้วสิ อย่าบอกนะว่านี่เป็นคำสั่งของแม่ ต่อให้เป็นคำสั่งของแม่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรือไง พี่ไป๋เซี่ยตัดชื่อยัยคนนี้ออกจากสารบบแฟนไปได้เลยค่ะไม่ต้องรอ แค่หมั้นกันยังทำขนาดนี้ ถ้าแต่งไปจริงๆ น่าจะบรรลัยกว่านี้แน่นอน
ไหหม่า(海馬)