My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 125 หัวใจที่ค่อยๆเปลี่ยนไป

My Death Flags Show No Sign of Ending

จากทั่วทุกมุมของถนน มีควันสีขาวคลุ้งที่มาพร้อมกับกลิ่นอะไรบางอย่างไหม้ชวนแสบจมูกลอยขึ้นมาจากทั่วทุกพื้นที่ หากจะให้อธิบายสั้นๆ นี่คือสภาพของเมืองทราวิส

 

จากเนินเขาที่ถูกใช้เป็นศูนย์อพยพและโรงพยาบาลชั่วคราว หากมองลงไปที่ด้านล่างก็จะเห็นภาพของเมืองทราวิสที่ถูกทำลายจนย่อยยับ แค่เห็นภาพเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำตาไหลออกมาได้

ถึงกระนั้น เอริกะก็ยังกัดปากของเธอไว้แน่น และสลักภาพเหล่านั้นเข้าไปในจิตใจของเธอ

เพราะว่านี่คือความเป็นจริงที่เธอไม่สามารถปกป้องเมืองนี้เอาไว้ได้ และถ้าไม่ใช่เพราะฮาโรลด์และเพื่อนๆของเธอ ดินแดนสุเมรากิ ก็อาจจะต้องพบชะตากรรมเช่นเดียวกับเมืองทราวิส เธอทำได้เพียงแค่สลักความจริงเหล่านี้ลงไปภายในจิตใจ

 

[ เอริกะ ] – ลีฟา

[ …….. ถึงเวลาเปลี่ยนกะแล้วหรือคะ? ลีฟาซัง ] – เอริกะ

[ อ่าห๊ะ ฉันเองก็จะพักเช่นกัน ] – ลีฟา

 

ลีฟามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างๆเอริกะ พร้อมกับเหยียดร่างกายเล็กๆของเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทั้งสองได้แต่จ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า ภาพของเมืองทราวิสที่ถูกทำลายจนย่อยยับ

 

[ มันเป็นภาพที่โหดร้ายจริงๆ ] – ลีฟา

[ ใช่ค่ะ … ] – เอริกะ

[ … บอกตามตรง ฉันเองก็กำลังสงสัยอยู่ว่านี่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆหรือ ? ] – ลีฟา

[ ดิฉันก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกันค่ะ ดิฉันตระหนักดีถึงความไร้ซึ่งพลังของตนเอง … ] – เอริกะ

 

เมื่อ 2-3 วันก่อน จู่ๆมอนเตอร์จำนวนมากก็เข้าจู่โจมเมืองทราวิส จำนวนของพวกมันที่ตรวจพบมีมากว่าที่ดินแดนสุเมรากิหลายเท่า ซึ่งเหล่าอัศวินได้รับข้อมูลแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการจู่โจมครั้งนี้จึงนำกำลังมาเสริมการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าว และดำเนินแผนเป็น 2 ทางคือหยุดยั้งพวกมอนเตอร์และอพยพเหล่าชาวเมืองทั้งทางบกและทางทะเลไปพร้อมกัน

และนั้นทำให้เหล่าอัศวินสามารถช่วยชีวิตผู้คนไว้ได้มากมายแม้ว่าเมืองแห่งนี้จะถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีก็ตาม ถึงกระนั้น ก็ยังมีอีกหลายๆชีวิตที่ไม่สามารถช่วยได้ทัน แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากก็ตาม

นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไม เอริกะ ลีฟา รวมถึงเพื่อนๆของพวกเธอ และเหล่าอัศวิน ต่างมีความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน

….ว่าจะต้องทำยังไง ถึงจะสามารถช่วยผู้คนเอาไว้ได้มากกว่านี้

 

[ แต่ว่า … นั้นคงจะเป็นแค่ความคิดที่อวดดีใช่ไหมคะ ? ] – เอริกะ

 

เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดคำเหล่านั้นออกมา และลีฟาเองก็ยอมรับโดยไม่ปฎิเสธแต่อย่างใด

 

[ ใช่แล้วล่ะ พวกเราไม่ใช่วีรบุรุษหรือเทพเจ้าจากในนิทานหรือตำนาน เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเราจะสามารถช่วยเหลือทุกๆคนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราได้ ] – ลีฟา

[ เป็นงั้นสินะคะ ถ้าหากพวกเรามัวแต่จมอยู่กับความเสียใจ แบบนั้นก็เหมือนกับการดูหมิ่นความรู้สึกขอบคุณของคนที่พวกเราช่วยเหลือเอาไว้ได้ ] – เอริกะ

 

ในบรรดาคนที่รอดชีวิต มีหลายคนที่บาดเจ็บสาหัส และถ้าหากปล่อยทิ้งเอาไว้ คนเหล่านั้นส่วนใหญ่คงตายไปแล้ว

เพราะเหตุนี้เอริกะและลีฟาผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์เยียวยาได้ จึงพยายามรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยมามากว่า 2 วันเต็มแม้ว่าการโจมตีของพวกมอนเตอร์จะสิ้นสุดแล้วก็ตาม และคงต้องขอบคุณพวกเธอทั้ง 2 ที่ทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายๆต่อหลายคนสามารถรอดชีวิตมาได้

นอกจากนี้ ยังต้องขอบคุณเอลล์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อค้าและนักเดินทางที่กลุ่มของพวกเธอได้พบปะกันระหว่างการเดินทางหลายต่อหลายครั้ง เอลล์ได้แนะนำวิธีการคัดแยกผู้บาดเจ็บตามอาการ เพื่อที่พวกเธอจะสามารถช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอลล์กล่าวว่าเขาได้เรียนรู้วิธีเหล่านี้มาจากคนรู้จัก และถ้าสถาการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลายมากว่านี้ เอริกะตั้งใจว่าจะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติมกับเอลล์อีกซักหน่อย

สำหรับตอนนี้ สถานการณ์เริ่มที่จะคงที่ ยังคงมีความต้องการที่จะต้องใช้เวทมนตร์รักษาอยู่บ้างแต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร และพวกเธอยังมีส่วนร่วมในงานอื่นๆของศูนย์อพยพแห่งนี้ อธิเช่นการทำอาหารและแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยคนอื่นๆ

ทุกๆคนต่างเข้าใจถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์กันเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามภาพที่อยู่ตรงหน้าได้ พวกผู้หญิงต่างยุ่งอยู่กับการแจกจ่ายอาหาร ในขณะที่พวกผู้ชายต่างออกค้นหาภายในเมือง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เพราะว่ากลุ่มของพวกเธอรู้ดีว่าจะมัวมาทำอะไรอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ และนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกลุ่มของพวกเธอถึงทุ่มเทที่จะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ แม้กระทั้ง เวทโทส และ ลิเลี่ยม ที่ขอเดินทางไปพร้อมกับพวกเธอด้วยจนกว่าจะเจอกับฮาโรลด์อีกครั้ง ก็พยายามอย่างหนักเช่นเดียวกัน

 แน่นอนว่าตอนนี้ ทั้ง เวนโทสและลิเลี่ยม ต่างมีความนึกคิดเป็นของตนเองแล้ว คงเพราะรู้สึกผิดอะไรบางอย่าง ทำให้พวกเขาทั้ง 2 ยิ่งทำงานหนักกว่าใครๆในกลุ่มของพวกเธอ

 

[ ดิฉันคงต้องขอตัวกลับเข้าไปทำงานต่อแล้วล่ะค่ะ ลีฟาซัง เชิญพักผ่อ– ] – เอริกะ

[ รอเดี่ยว! อยู่กับฉันอีกสักเดี่ยวเถอะนะ ] – ลีฟา

[ เอ๊ะ? อ่าได้ค่ะ ] – เอริกะ

 

ลีฟาและเอริกะนั่งลงบนก้อนหินที่ดูเรียบๆก้อนหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่แข็งแรงพอที่จะเรียกว่าม้านั่งได้ แต่มันก็ยังพอรับน้ำหนักคนสองคนไหว แม้ว่ามันอาจจะดูไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก แต่พอได้ปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง

อาจเพราะมองออกว่าเอริกะยังคงดูกดดันอยู่บ้าง ลีฟาจึงกล่าวกับเธอราวกับว่าสามารถอ่านอารมณ์ของเธอได้

 

[ ช่วงนี้มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมายเลยนะ พวกเราแทบจะไม่มีเวลาได้ผ่อนคลายกันบ้างเลย ] – ลีฟา

[ ค่ะ… ในเมื่อมันเป็นปัญหาที่เร่งด่วน ก็คงช่วยอะไรไม่ได้จริงแหละค่ะ … ] – เอริกะ

[ นั้นสินะ เช่นนั้นพวกเราควรถือโอกาสนี้แหละในการพักผ่อน ] – ลีฟา

 

 แทบจะพร้อมกับคำที่เธอกล่าวออกมา ลีฟาก็เอนตัวลงนอนหนุนที่ตักของเอริกะ ราวกับต้องการที่จะใช้มันแทนหมอน

 

[ อ่า~ อย่างที่คิดไว้เลย นุ่มสบายเหมาะแก่การนอนจริงๆด้วย ~ ] – ลีฟา

[ ละ-ลีฟาซัง? อะไรคะเนี้ย จู่ๆก็ …. ] – เอริกะ

[ ฉันอยากจะมีเพลิดเพลินกับการหนุนตักเอริกะน่ะ อ้อใช่ มันคงจะดีกว่านะถ้าเธอยอมเรียกฉันว่าลีฟาเฉยๆ ] – ลีฟา

[ เอ๊ะ ? ] – เอริกะ

[ ลีฟา ฉันชื่อลีฟา ก็เธอเล่นเรียกฉันว่า ลีฟาซัง อยู่ตลอดเลย ] – ลีฟา

[ อ-เอ่อ คือว่า… ] – เอริกะ

[ ที่ฉันอยากคุยกับเธอไม่ใข่ว่าฉันจะตำหนิอะไรเธอหรอกนะ เพียงแค่ฉันรู้สึกว่าความคิดและหัวใจของเอริกะน่ะเปลี่ยนไป ] – ลีฟา

 

ไอ้คำว่า “หัวใจเปลี่ยนไป” ทำให้จิตใจของเอริกะสั่นไหว เพราะมันคือวันที่เธอตระหนักได้ว่าเธอไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยืนเคียงข้างฮาโรลด์ได้ มันเป็นช่วงเวลาที่เธอได้เข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดนั้นมันไร้ความหมาย

เอริกะรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอนั้นมันแหลกสลายไปแล้ว และดูเหมือนว่าลีฟาจะสัมผัสถึงความรู้สึกของเอริกะได้ เธอมองเข้าไปในดวงตาของเอริกะพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

 

[ แต่ที่ถูก จริงๆแล้วเอริกะน่ะ…. เธอแค่ยึดติดจนเกินไปต่างหาก ] – ลีฟา

[ … เป็นเช่นนั้นหรือคะ ? ] – เอริกะ

[ ใช่แล้วล่ะ และนั้นคือสิ่งที่เธอเป็น แต่ว่า ในเมื่อเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของความรัก เธอน่าจะยอมเห็นแก่ตัวมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ ? ] – ลีฟา

 

เอริกะเข้าใจดีถึงสิ่งที่ลีฟาพยายามจะพูดว่าให้เธอนั้นยอมแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมากกว่านี้เสียหน่อย โดยไม่ต้องยึดติดกับบทบาทหรือตำแหน่งหน้าที่อะไรให้มากนัก

ซึ่งเอริกะเชื่อว่าฮาโรลด์คงไม่ต้องการแบบนั้นแน่นอน และนั้นทำให้เธอเก็บซ่อนความรู้สึกของเธอที่มีต่อฮาโรลด์เอาไว้ และหลอกตัวเองว่าแบบนี้แหละคือสิ่งที่ฮาโรลด์ต้องการจริงๆ

แต่ลึกๆแล้ว เธอก็แค่กลัวที่จะสารภาพความรู้สึกและถูกปฎิเสธกลับมา เรื่องที่ฮาโรลด์นั้นไม่ต้องการเธอเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น

 

[ ดิฉันไม่มีความมั่นใจหรือความกล้าเลยค่ะ ลีฟา … ] – เอริกะ

[ นี่เธอ ยั่วโมโหฉันรึไง ? ] – ลีฟา

[ ด-ดิฉันไม่! ดิฉันไม่เคยมีความคิดที่จะยั่วโมโหคุณเลยนะคะ ! ] – เอริกะ

[ แล้ว ถ้าขนาดเอริกะยังไม่สามารถรวบรวมความกล้าได้ แล้วใครกันล่ะจะทำได้ ?? ] – ลีฟา

 

ลีฟาหน้ามุ่ยจนคิ้วขมวด ซึ่งทุกๆคำพูดและการกระทำนั้นเธอยังคงหนุนอยู่บนตักของเอริกะ

ภาพเหล่านั้นทำให้เอริกะนึกถึงแมวตัวเล็กๆ จนรู้สึกอยากที่จะลูบผมของลีฟา แม้ว่าพวกเธอทั้ง 2 จะพูดคุยเรื่องที่ดูจริงจัง แต่ดูเหมือนว่าตัวตนของลีฟาจะช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลงไปมาก

มันให้ความรู้สึกเหมือนช่วงเวลาที่คุยกันสบายๆ ตัดขาดจากความเป็นจริงที่โหดร้าย ขณะที่ลีฟายังคงถูกลูบเส้นผมอยู่พักหนึ่ง จู่ๆเธอก็พูดออกมาราวกับนึกอะไรดีๆออก

 

[ เอางี้มั้ย สารภาพรักไปเลยสิ สารภาพความในใจไปเรื่อยๆจนกว่าฮาโรลด์จะตอบตกลง แบบนี้เป็นไง ? ] – ลีฟา

[ อ-เอ๊ะ คุณหมายถึงอะไรคะ ? ] – เอริกะ

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลีฟานั้นเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ และสมควรที่จะได้รับฉายาว่าอัจฉริยะ แม้ว่าพวกเธอทั้ง 2 พึ่งจะได้ใช้เวลาร่วมกันไม่นานนัก แต่เอริกะก็เคยได้เห็นด้านที่ชาญฉลาดของลีฟาอยู่หลายต่อหลายครั้ง บางทีอาจเพราะความเชี่ยวชาญในสาขาวิทยาศาสตร์ของเธอทำให้เธอมักจะมีความคิดที่แปลกๆแหวกแนวที่เอริกะคาดไม่ถึงมาก่อน แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว แนวคิดของลีฟาเหล่านั้นล้วนมีพื้นฐานมาจากการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลโดยอาศัยข้อมูลและความรู้

ดังนั้น ไอ้ข้อเสนอแนะที่ฟังดูราวกับแกมบังคับนั้น มันน่าจะมีเจตนาใดๆแอบแฝงรึปล่าวนะ ?

 

[ เธอก็แค่กลัวเพราะเธอคิดว่ามันคงจะจบลงทันทีหากหมอนั้นปฎิเสธเธอ แต่แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง เธอต้องรุกให้มากขึ้น เปลี่ยนความคิดและสารภาพรักไปเลย! สารภาพต่อไปเรื่อยๆให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนกว่าหมอนั้นจะตอบตกลง ! ]

 

ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรแอบแฝงมาจริงๆ …

แม้ว่าการลองผิดลองถูกทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นจะมีความเป็นวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก แต่เอริกะก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกกังวลออกมา

 

[ ถ้าแบบนั้น มันคงก่อปัญหาและรบกวนท่านฮาโรลด์จนเกิ—- ] – เอริกะ

[ ไม่เป็นไรหรอกน่า~~ ] – ลีฟา

 

ลีฟาลุกขึ้นยืนต่อหน้าเอริกะและจับแก้มของเธอเบาๆด้วยมือทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับมองตรงเข้าไปในดวงตาของเอริกะ

 

[ < เพราะเธอน่ะงดงามราวกับดอกไม้ที่เริงระบำท่ามกลางแสงจันทร์ > ] – ลีฟา

[ เอ๊ะ จู่ๆก็ทำอะไรคะเนี้ย ? ] – เอริกะ

[ นี่คือพรวิเศษที่ส่งต่อกันมาในหมู่บ้านของฉันเพื่อมอบความกล้าให้หญิงสาวที่กำลังมีความรัก นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันทำให้คนอื่น แม้ว่าพวกเขาจะบอกว่ามันเป็นพรวิเศษ แต่ทำไมฉันรู้สึกว่ามันฟังดูราวกับการสารภาพรักเสียมากกว่า ] – ลีฟา

 

ลีฟาเอามือออกจากแก้มของเอริกะพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างซุกซน

 

[ แต่มันก็ช่วยเพิ่มความกล้าและความมั่นใจให้กับเธอใช่ไหมล่ะ ? ] – ลีฟา

[ …. ทำไมคุณถึงพยายามเชียร์ดิฉันขนาดนี้คะ ? คุณเองก็ชอบท่านฮาโรลด์เหมือนกันไม่ใช่ไง ] – เอริกะ

[ ฉันคิดว่าฉันเองก็รู้สึกชอบหมอนั้นเหมือนกัน แต่ฉันพูดไม่ได้เป็นเต็มปากหรอกนะว่ารักหมอนั้นอย่างชัดเจนแบบเดียวกับเธอ ] – ลีฟา

[ ถ้าเช่นนั้น ทำไมล่ะคะ? ] – เอริกะ

[ เพราะว่าฉันเองก็ชอบเอริกะเหมือนกัน ] – ลีฟา

 

ลีฟากล่าวออกมาโดยไร้ซึ่งความลังเลหรือเขิลอายใดๆ แม้ว่าเอริกะจะรู้ดีว่าความหมายของคำว่าชอบนั้นเป็นไม่ได้หมายความไปในเชิงแบบนั้น แต่นั้นก็ทำให้เอริกะถึงกับเขิลอายพอสมควรเมื่อได้ยินที่ลีฟาบอกว่าชอบเธอออกมาตรงๆ

 

[ พูดตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าการที่เชียร์เธอแบบนี้เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องหรือไม่ บางทีตัวเลือกที่จะนิ่งๆไว้และคอยสังเกตสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอทั้งคู่คงจะถูกต้องมากกว่าก็ได้ ] – ลีฟา

 

สีหน้าของลีฟาดูเศร้าหมองลงเล็กน้อย เอริกะคิดว่าลีฟาเองก็คงมีเรื่องหนักใจที่พูดไม่ได้อยู่เช่นกัน เพราะการแสดงออกของเธอดูเหมือนว่ากำลังตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก

 

[ แต่ฉันไม่อยากที่จะนิ่งดูดายอยู่แบบนั้น!!  ฉันไม่อยากเสียใจที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย แม้ว่ามันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดพลาดก็ตาม! ฉันน่ะ อยากให้ทุกๆคนที่ฉันรัก ได้มีความสุขและหัวเราะร่วมกันตลอดไป! ] – ลีฟา

[ ลีฟา … ] – เอริกะ

[ แม้ใครจะไม่พอใจหรือเกลียดฉันก็ช่าง ฉันไม่สนใจ เพราะนั้นคือความรู้สึกที่แท้จริงของฉันคนนี้ ลีฟา กู๊ดริดจ์ ] – ลีฟา

 

คำพูดเหล่านั้นมีความมุ่งมั่นของเธอแฝงอยู่มากมายขนาดไหนกัน ? เรื่องนี้เอริกะก็ไม่ทางรู้ได้ แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่คุ้มค่ามากพอที่จะเป็นตัวกำหนดวิถีการใช้ชีวิตของลีฟา ซึ่งเอริกะเองก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาเส้นทางการใช้ชีวิตของลีฟาเช่นกันที่มันสามารถทับซ้อนกับเส้นทางของฮาโรลด์ได้

 

[ ….. ดิฉันคงต้องขอแสดงความขอบคุณต่อคุณอีกครั้งค่ะ ลีฟา ] – เอริกะ

[ ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนที่พูดขอบคุณ เพราะเป็นเอริกะ ฉันถึงได้กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ออกมาจากหัวใจได้ คงเป็นเพราะฉันเองชอบเอริกะมากเช่นกัน ] – ลีฟา

[ ? ] – เอริกะ

 

เอริกะถึงกับเอียงคอสงสัยกับความหมายของคำพูดเหล่านั้น

เมื่อสังเกตเห็นถึงสีหน้างุนงงของเอริกะ ลีฟาก็แสดงสีหน้ามุ่ยๆเล็กน้อย

 

[ ต่อให้เป็นคำพูดให้กำลังใจของฉัน เธอก็ควรที่จะสงสัยบ้างหน่อยนะ รู้รึปล่าว ? ] – ลีฟา

[ สงสัย … หรือคะ ? ] – เอริกะ

[ ลองคิดดูสิ ไม่ใช่ว่าฉันกำลังปลุกปั่นคู่แข่งทางความรัก โดยการทำให้ฮาโรลด์ปฎิเสธเธอหรอกรึไง ? ] – ลีฟา

 

เอริกะถึงกับประหลาดใจกับความจริงที่ถูกลีฟาชี้ให้เห็น นั้นเพราะถ้าหากมองจากมุมของคนอื่นก็อาจจะตีความเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ แต่เอริกะกับมองข้ามมันไปอย้างสิ้นเชิง

ถ้าหากเอริกะถูกฮาโรลด์ปฎิเสธ มันก็จะลดจำนวนคู่แข่งทางความรักของลีฟาลงได้อีก 1 แม้ว่าลีฟาจะแสดงออกทำเป็นเห็นอกเห็นใจเธอ แต่จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อที่ลีฟาจะได้เตะตัดขาคู่แข่งอย่างเอริกะลงได้

 

[ ลีฟาคะ … บางที คุณอาจจะเหมาะกับการไปเล่นการเมืองนะคะ ] – เอริกะ

[ ขนาดนั้นเลยหรอ ? ] – ลีฟา

[ ค่ะ ต้องเหมาะมากอย่างแน่นอน ] – เอริกะ

 

พวกเธอทั้งสองต่างประสานสายตาซึ่งกันและกัน ซักพักลีฟาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา และเอริกะก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

ซึ่งเอริกะก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอสามารถยิ้มออกมาจากภานใต้หน้ากากของเธอได้อย่างจริงใจ

การได้พบกับลีฟาและได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน สำหรับเอริกะแล้วมันถือเป็นสิ่งที่ค่ามากๆสำหรับเธออย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้เธอเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฮาโรลด์ ความคิดที่อยากจะเป็นคนที่ประโยชน์ต่อเขาให้ได้ แม้จะทีละนิด ทีละนิด แต่เธอก็จะยอมเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฮาโรลด์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อฮาโรลด์ แต่เพื่อตัวของเธอเอง

 

( คงไม่ง่ายเท่าไหร่ที่จะพบคำตอบของคำถามเหล่านั้นได้ แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ฉันได้พบคำตอบก่อนจบการเดินทางครั้งนี้ด้วยเถิด … ) – เอริกะ

 

ด้วยเหตุนี้ เอริกะจึงสามารถกลับไปทำงานต่อได้ด้วยหัวใจที่สดใสขึ้นเล็กน้อย 

เธอรู้สึกว่า เธอสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนความคิดได้ และไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอะไร เธอรู้เช่นนั้นจริงๆ

และในเช้าวันถัดมา ยูโนะก็เข้ามาพบกับเธอเพื่อรายงานเรื่องเมืองเล็กๆที่ชื่อบาร์สตันถูกโจมตีโดยฝูงมอนเตอร์ ซึ่งเหตุการณ์คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองทราวิส และฮาโรลด์มีส่วนเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้และได้หายตัวไปท่ามกลางความวุ่นวาย

 

————————–

จบเล่ม 5 

เอริกะกำลังจะดีขึ้น ก็มีข่าวร้ายมาทำร้ายจิตใจอีกแล้ว T T 

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท