ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 173 ข้าคิดว่าองค์ชายพูดถูก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 173 ข้าคิดว่าองค์ชายพูดถูก

เว่ยเชียงมองเว่ยหาน รู้สึกประหลาดใจ นี่คือไคหยางอ๋องที่แต่ไรมาไม่ชอบเรื่องครึกครื้นหรือ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่าคนของหอสุราแห่งนี้ล้วนไม่ปกติ อย่างเช่นคุณหนูลั่วที่ไม่เห็นเขาผู้เป็นรัชทายาทคนนี้ในสายตา อย่างเช่นสาวใช้ที่กล้าชี้หน้าด่าขันทีของเขาว่าสารเลว

อย่างเช่นไคหยางอ๋องที่จู่ๆ ก็ชอบเรื่องครึกครื้นขึ้นมา…

เว่ยหานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “องค์ชายคิดว่าอย่างไร”

เว่ยเชียงยิ้มแห้ง “เสด็จอาเต็มใจที่จะเป็นพยานให้ย่อมดี เชิญคุณหนูลั่วยื่นเงื่อนไขเถิด”

“มิสู้องค์ชายประทานนางสนมคนนั้นให้หม่อมฉันเถอะเพคะ” ลั่วเซิงวางมือข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ

เว่ยเชียงเกือบจะรักษาสีหน้าอ่อนโยนไว้ไม่ได้

แม้แต่คนยังจะขอ นี่เพราะต้องการกำไลวงนั้นอยู่ดีมิใช่หรือ!

เมื่อสงบอารมณ์ลงได้ เว่ยเชียงจึงกัดฟันพูดว่า “คุณหนูลั่วอย่าล้อเล่นเลย”

ลั่วเซิงกะพริบตา “ขอสนมคนหนึ่งกลายเป็นเรื่องพูดเล่นไปได้อย่างไร ก็แค่นางสนมคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังมีคนมอบนายบำเรอให้หม่อมฉันเลยนะเพคะ”

เว่ยเชียง “…”

เว่ยหาน “…”

ลั่วเซิงเม้มปากแน่น แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “เห็นทีองค์ชายคงไม่ยินยอมสินะเพคะ”

เว่ยเชียงผู้สง่าอ่อนโยนมาโดยตลอดโมโหจนอยากกลอกตา

เขาไม่ยินยอมแน่นอนอยู่แล้ว!

หากจะให้เขามอบอวี้เหนียงให้คุณหนูลั่ว เขามอบกำไลให้เสียยังจะดีกว่า

ช้าก่อน ปล่อยให้สตรีคนนี้เรียกร้องเกินเหตุจนตกหลุมพรางของนางไม่ได้

กำไลก็ให้ไม่ได้เช่นกัน

“คุณหนูลั่ว คนไม่ใช่สิ่งของ ข้าไม่มีความชอบเช่นการส่งต่อนางสนมให้” เว่ยเชียงหน้าตึง

เขาเป็นองค์รัชทายาท ไม่ใช่พวกบัณฑิตที่แสวงหาความสง่างามเสียหน่อย

จะว่าไปแล้วคุณหนูลั่วรู้หรือไม่ว่าเขาคือรัชทายาท

ลั่วเซิงแค่นเสียงเบาๆ ในลำคอ ไม่ไว้หน้าเว่ยเชียงอีก “กำไลคือสิ่งของ องค์ชายก็ให้ไม่ได้มิใช่หรือ เพคะ กำไลให้ไม่ได้ คนก็ให้ไม่ได้ เช่นนั้นองค์ชายทรงตรัสมาเองเลยดีกว่าว่าทรงให้อะไรได้บ้าง หม่อมฉันค่อยเสนอเงื่อนไข”

คำหยอกล้อนี้ทำให้เว่ยเชียงรู้สึกจุกจนกำหมัดแน่น

ตีน่ะตีไม่ได้แน่นอน รู้เช่นนี้แต่แรก เขาไปเชิญหมอเทวดาเองดีกว่า

ใช่ว่าจะเชิญมาได้ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว การถูกหมอเทวดาปฏิเสธนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องอับอายเช่นนี้

ลั่วเซิงมองเว่ยเชียงที่กำลังโกรธเกี้ยวด้วยสายตาเย็นชาก็รู้สึกสะใจ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ในเมื่อองค์ชายไม่ตกลงกับข้อแลกเปลี่ยนนี้ ตอนนี้หม่อมฉันเองก็คิดไม่ออกแล้วว่าต้องการสิ่งใดอีก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ติดเอาไว้ก่อน รอหม่อมฉันคิดได้แล้วค่อยขอ”

ถึงอย่างไรก็มีไคหยางอ๋องเป็นพยาน ไม่ต้องกลัวเว่ยเชียงจะเบี้ยว

“ได้” เว่ยเชียงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

แค่จัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อน

เว่ยหานขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่า คุณหนูลั่วใจกว้างกับรัชทายาทจริงๆ

“แต่ว่า…”

ทันทีที่เว่ยเชียงได้ยินสองคำนี้ก็ตกใจ

ทำไมยังมี ‘แต่ว่า’ อีกเล่า

“ยื่นเงื่อนไขมาสองข้อแต่โดนพระองค์ปฏิเสธไปหมด หม่อมฉันอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก มิสู้องค์ชายช่วยทำตามข้อเรียกร้องเล็กๆ น้อยๆ ของหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ”

เว่ยเชียงเงียบไปครู่หนึ่ง

เจรจามาทั้งวัน เงื่อนไขที่ติดค้างยังแยกกับข้อเรียกร้องด้วยหรือ

“เชิญคุณหนูลั่วพูด”

“หม่อมฉันอยากพบนางสนมขององค์ชาย อยากเห็นว่านางเป็นสตรีที่งดงามเพียงใดจึงทำให้องค์ชายทรงหวงแหนเช่นนี้”

เว่ยเชียงรู้สึกทั้งประหลาดใจและขบขัน

สุดท้ายก็เป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง ข้อเรียกร้องยังแฝงความเป็นเด็กน้อย

“เรื่องนี้คงไม่ทำให้พระองค์ลำบากพระทัยใช่หรือไม่เพคะ” ลั่วเซิงเหลือบมองเว่ยเชียง

เว่ยเชียงยิ้มๆ “หากแค่ต้องการพบ ย่อมไม่ลำบากใจ ถึงครานั้นจะให้พระชายารัชทายาทเชิญคุณหนูลั่วเข้าไปเดินเล่นในวัง”

เข้าวัง?

เว่ยหานดื่มชาคำหนึ่ง

แน่นอนว่าชาที่ดื่มครั้งนี้คือน้ำชาที่รินใหม่ มีรสชาติขมที่ปลายลิ้น ไม่ลื่นคอเมื่อจอกเมื่อครู่นี้

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ตามนี้เพคะ”

อาหารยกขึ้นมาแล้ว นางลุกขึ้น “องค์ชายและท่านอ๋องเชิญตามสบาย ไม่รบกวนทั้งสองดื่มสุราแล้ว”

หลังจากมองส่งร่างในชุดสีพื้นออกจากห้องโถงไปแล้ว เว่ยเชียงก็เก็บสายตากลับมาแล้วยกจอกให้เว่ยหาน “เสด็จอา นานแล้วที่เราไม่ได้ดื่มสุราเช่นนี้ด้วยกัน หลานขอดื่มอวยพรท่าน”

“องค์ชายเกรงใจแล้ว” เว่ยหานยกจอกขึ้น ดื่มหมดจอก

เว่ยเชียงดื่มสุรา อดชมไม่ได้ว่า “สุราดี”

ผ่านไปสิบปีแล้ว เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่ดื่มสุราแล้วไอด้วยความทรมานคนนั้นอีกต่อไป แต่ว่าเขายังคงชอบสุราส้มมากกว่า

เมื่อคิดถึงกลิ่นหอมของสุราส้มในหอสุราครั้งที่แล้ว เว่ยเชียงก็สั่งหงโต้วที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ “สุราส้มกาหนึ่ง”

ขณะที่รอสุราส้ม เว่ยเชียงก็คีบเนื้อตุ๋นขึ้นมากิน

พอเนื้อตุ๋นเข้าปาก เขาก็รู้ทันทีว่าเนื้อตุ๋นนี้ไม่ธรรมดาเลย

รสชาติดีมาก

“เสด็จอา…” ครั้นกำลังจะคุยเรื่องรสชาติอาหารกับเว่ยหาน เว่ยเชียงก็พบว่าขาหมูตุ๋นมันวาวสีสันน่าทานจานหนึ่งในนั้นหายไปแล้วหลายชิ้น

เขาขมวดคิ้ว คีบขาหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมา

ขาหมูตุ๋นนี้เป็นอาหารที่เสด็จพ่อแท้ๆ ของเขาชอบกิน

ขณะที่ครุ่นคิดเช่นนี้ เว่ยเชียงก็คีบเนื้อขาหมูตุ๋นที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำเข้าปาก

รสเค็มเจือกลิ่นหอมละมุน นุ่มละลายในปากและยังไม่เลี่ยน

เว่ยเชียงกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงไปโดยที่แทบจะไม่ต้องเคี้ยว จากนั้นเขาก็คีบอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาและตั้งใจลิ้มลองรสชาติอย่างละเอียด

เขาได้ลิ้มรสความแปลกใหม่แต่ก็คุ้นเคย

ที่บอกว่าแปลก เพราะเขาไม่ได้กินขาหมูตุ๋นรสชาติเช่นนี้มาหลายปีแล้ว

ที่บอกว่าคุ้นเคย เพราะความทรงจำอันล้ำค่าเหล่านั้นจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูธรรมดาในตอนนั้นก็กลายเป็นสิ่งพิเศษ

เขาเคยทานอาหารจานนี้หลายครั้งในจวนเจิ้นหนานอ๋อง มีจานที่คนครัวของจวนอ๋องทำและมีจานที่ลั่วเอ๋อร์ทำ

ขาหมูตุ๋นที่ลั่วเอ๋อร์เป็นคนทำก็มีรสชาติแบบนี้

หอสุราแห่งนี้ปลุกความทรงจำของเขาขึ้นมามากมาย

เว่ยเชียงตกอยู่ในความทรงจำมากมาย เมื่อตั้งสติได้อีกครั้งก็พบว่าขาหมูจะหมดจานแล้ว เสด็จอาผู้สำรวมและสงบนิ่งของเขากำลังเริ่มกินจานที่สองอย่างแข็งขัน

เหมือนกับว่าเขาจะรู้แล้วว่าเหตุใดไคหยางอ๋องจึงสั่งอาหารมามากมายขนาดนี้

เมื่อเห็นปริมาณและได้ชิมรสชาติจึงรู้ว่าอันที่จริงที่สั่งมานี้ไม่มากเกินไปเลย

เว่ยเชียงไม่เหม่อลอยอีก เขาเริ่มตั้งใจกินอาหาร

ครานี้เสนาบดีจ้าวเดินเข้ามา เมื่อเห็นโต๊ะประจำของไคหยางอ๋องมีคนนั่งเพิ่มมาอีกคนหนึ่งจึงตั้งใจมองอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเป็นองค์รัชทายาทก็รีบเข้าไปทักทาย

“องค์ชาย ท่านอ๋อง ทั้งสองดื่มสุราอยู่หรือ”

เว่ยเชียงเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงเลยว่าแขกที่มาดื่มสุราในหอสุราจะมีฐานะสูงส่งกันเช่นนี้

“เสนาบดีจ้าวมาคนเดียวหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีจ้าวพยักหน้าหนักแน่น

เขาพาสองพี่น้องหลินเถิงและหลินซูมากิน เดิมเพราะอยากใช้สิทธิ์กินครึ่งราคา แต่หลังจากกินไปสองคราก็พบว่าไม่คุ้ม เพราะถึงแม้จะกินในราคาครึ่งหนึ่งได้ แต่ก็ห้ามทั้งสองที่กินเก่งเกินไปไม่ได้

มีคนกินจุสองคนอยู่ สุดท้ายเขาก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอยู่ดี

ช่วยไม่ได้ มากินคนเดียวดีกว่า

“ในเมื่อเสนาบดีจ้าวมากินคนเดียว เช่นนั้นก็มานั่งกินด้วยกันเถอะ” เว่ยเชียงถือโอกาสเชิญชวน

ไม่รู้ว่าเสนาบดีจ้าวมีเรื่องไม่สบายใจหรือไม่สีหน้าจึงตึงเครียดเล็กน้อย

ขุนนางสำคัญเช่นเสนาบดีจ้าวคงเจอเรื่องใหญ่มากจึงแสดงออกมาทางสีหน้าเช่นนี้

เว่ยเชียงอาศัยความเข้าใจที่มีต่อเสนาบดีจ้าวคิดเช่นนี้

ทันทีที่เสนาบดีจ้าวได้ยินก็ตื่นเต้นจนเคราสั่น แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าดีใจจนเกินไป เขากระแอมเบาๆ แล้วกล่าวว่า “รบกวนองค์ชายและท่านอ๋องดื่มสุราแล้ว กระหม่อมเกรงใจจริงๆ”

เว่ยเชียงยิ้ม “เสนาบดีจ้าวเกรงใจแล้ว คนมากถึงจะดื่มสนุก เสด็จอา ท่านคิดว่าอย่างไร”

เขาไม่รังเกียจหากจะมีตะเกียบเพิ่มมาอีกหนึ่งคู่ แต่ว่าเสด็จอาท่านนี้ชอบเก็บตัว หากเสด็จอาปฏิเสธขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว

เว่ยหานยิ้มเล็กน้อย “ข้าคิดว่าองค์ชายพูดถูก”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท