ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 176 ไร้วาสนา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 176 ไร้วาสนา

ลั่วเซิงยิ้ม “ดื่มมากไปแล้วจะจับมือข้าก็ได้หรือ”

เว่ยหานถูกถามจนอ้ำอึ้ง

นั่นน่ะสิ ดื่มมากไปก็จับมือสตรีไม่ได้นี่นา

เมื่อครู่นี้เขาเป็นอะไรไปนะ

ชายหนุ่มยืนรับลม ในใจรู้สึกสับสน

เรื่องที่มิอาจควบคุมได้และหาสาเหตุไม่ได้เช่นนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

เมื่อตั้งสติได้อีกครั้ง เด็กสาวที่หน้าตาบูดบึ้งก็เดินจากไปแล้ว เห็นเพียงแผ่นหลังในชุดสีพื้นค่อยๆห่างไกลออกไป

เขาเฝ้าดูร่างนั้นหายเข้าไปในประตูหอสุราที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีส้ม

ราวกับหน้าประตูเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าอ้างว้าง เช่นเดียวกับเขาที่รู้สึกว่างเปล่าในยามนี้

เว่ยหานยื่นมือออกมากดบริเวณหัวใจ

เขารู้สึกว่าตรงนี้แปลกๆ อย่างไรไม่รู้

ลั่วเซิงกลับมาที่หอสุราพร้อมเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ทันทีที่เข้าไปก็โยนตั๋วเงินปึกหนึ่งให้ผู้ดูแลหญิง

ผู้ดูแลหญิงตาโต “ถะ เถ้าแก่ เงินมาจากไหนเจ้าคะ”

แม้จะไล่ตามองค์รัชทายาทไปเก็บเงินก็ยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นตำลึงนี่

“เงินค่าอาหารล่วงหน้าของไคหยางอ๋อง” ลั่วเซิงตอบอย่างเยือกเย็น

ผู้ดูแลหญิงเอามือเท้าคาง พึมพำว่า “ไคหยางอ๋องรวยจริงๆ…”

แค่ออกมากินข้าว ต้องพกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเลยหรือ

แวดวงเครื่องประทินโฉมที่นางคลุกคลีในอดีต ไม่มีลูกค้าร่ำรวยเช่นนี้หรอกนะ

คิดถูกจริงๆ ที่ติดตามเถ้าแก่คนใหม่

ลั่วเซิงเลือกที่นั่งใกล้ๆ แล้วนั่งลง สั่งหงโต้วให้ยกสุราส้มกาหนึ่งมา

สุราส้มเข้าปาก รสเปรี้ยวอมหวาน

ลั่วเซิงไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความหงุดหงิดที่สลัดทิ้งไม่ได้เท่านั้น

ไคหยางอ๋องชอบนางงั้นหรือ

นางไม่ได้โง่จนไม่สังเกตอะไรเลยหรอกนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแสร้งใสซื่อไม่รู้เรื่องทั้งๆ ที่รู้ตัวอยู่แล้ว

แต่นางไม่คิดจะมีความรัก ถึงแม้จะมี คนผู้นั้นก็ห้ามแซ่เว่ย

นางและจวนผิงหนานอ๋องถูกลิขิตไว้แล้วว่าทั้งสองมีเพียงจุดจบที่ต้องตายกันไปข้าง แม้ไคหยางอ๋องจะไม่แยแส แต่ฮ่องเต้เล่า

นางยังไม่แน่ใจว่าจุดยืนของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันกับการสังหารล้างจวนเจิ้นหนานอ๋องเป็นอย่างไร

เขาถูกหลอก หรือเป็นผู้บงการที่แท้จริง

แม้จะเป็นอย่างแรก นางก็ไม่มีทางแต่งเข้าตระกูลเว่ย

ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ทุกคนจะมีความแค้นกับนาง แต่คำว่า ‘เว่ย’ นี้ไม่สามารถเขียนถึงสองครั้งได้

ในวันข้างหน้าเมื่อนางลงไปเจอเสด็จพ่อเสด็จแม่ จะให้นางบอกว่าลูกสาวของพวกเขาแต่งงานกับท่านอาของศัตรูที่ฆ่าล้างจวนตนหรือ

หากเป็นอย่างหลัง…

ลั่วเซิงยกจอกขึ้น ดื่มจนหมดในอึกเดียว

หากเป็นอย่างหลัง ตราบใดที่นางไม่ตาย นางก็จะขอสู้กับจักรพรรดิหย่งอันจนตัวตาย

บรรพบุรุษส่งมอบดินแดนต้าโจวอันยิ่งใหญ่นี้ให้กับคนแซ่เว่ย แม้ไม่อาจเอากลับคืนมาได้ แต่ก็จะไม่มีวันเสียเปรียบให้กับคนจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่าเหล่านี้!

ถึงครานั้น ในฐานะที่ไคหยางอ๋องเป็นสมาชิกหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ พระอนุชาผู้เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิหย่งอันยังจะมองดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชาได้หรือ

นางและชายที่ชอบสวมชุดสีแดงเข้มคนนั้น บางทีอาจจะต้องหันดาบเข้าประหัตประหารกันในวันใดวันหนึ่ง

ลั่วเซิงหันไปมองประตูหอสุรา

โคมไฟสีแดงที่อยู่นอกประตูแกว่งไปมาตามสายลม ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง

แสงสีส้มอุ่นกว่าลมในคืนฤดูร้อน

แต่ไม่มีใครรู้ดีกว่าลั่วเซิงว่าหอสุราเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของอาหารแห่งนี้เป็นเพียงหยาดน้ำค้างในเช้าของฤดูร้อน

และด้วยเหตุนี้ นางจะปล่อยให้ตนเองใกล้ชิดกับชายที่มาหอสุราทุกวันผู้นั้นได้อย่างไร

เขาเป็นแขกหอสุรา นางเป็นเจ้าของหอสุรา แบบนี้ดีแล้ว

เมื่อเว่ยเชียงกลับถึงวัง เขาเกือบถูกขังไว้ข้างนอก

โคมไฟถูกจุดจนสว่างไปทั่วทุกแห่งในพระราชวัง

เขาถือไชเท้าดองโถหนึ่ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตรงไปหาเฉาฮวา

พระชายารัชทายาททราบข่าวก็โมโห

ช่วงนี้รัชทายาททำเกินไปจริงๆ ไปหาอวี้เสวี่ยนซื่อในวันขึ้นหนึ่งค่ำไม่พอ วันนี้ออกไปจนดึกดื่น กลับมายังไปที่นั่นทันทีอีกและยังนำอาหารจากนอกวังไปด้วย!

การนำอาหารจากนอกวังเข้ามาในวังเป็นเรื่องที่เคร่งครัดที่สุด แม้จะเป็นองค์รัชทายาทนำเข้ามาก็ต้องให้เจ้าหน้าที่วังที่รับผิดชอบโดยตรงตรวจสอบและจดบันทึก

ข่าวที่ได้ยินบอกว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทนำเข้ามาคือไชเท้าดองโถหนึ่ง

ไชเท้าดอง…

พระชายารัชทายาทหลับตาลง โมโหจนหน้าดำหน้าแดง

ในฐานะที่เป็นนายหญิงของวังบูรพา นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าใครชอบกินไชเท้าดอง

คืออวี้เสวี่ยนซื่อ นังสารเลวนั่น!

รสชาติที่ถูกปากคนสารเลวก็คือรสจัญไร

เป็นถึงองค์รัชทายาท ออกวังไปแล้วนำอาหารที่เสวี่ยนซื่อตัวน้อยๆ คนหนึ่งชอบทานกลับมาโดยเฉพาะ ตกลงว่าเขาเห็นนางอยู่ในสายตาหรือไม่

เมื่อก่อน องค์รัชทายาทไม่ได้ทำเกินเลยเช่นนี้หรือว่าองค์รัชทายาทชอบอวี้เสวี่ยนซื่อเข้าแล้วจริงๆ

พระชายารัชทายาทถามหมัวหมัวภักดีด้วยสีหน้าเยือกเย็น “คนที่จับตาดูที่นั่นไม่ได้ส่งข่าวที่เป็นประโยชน์มาบ้างเลยหรือ”

“ทูลพระชายา ยังไม่มีเพคะ”

พระชายารัชทายาทเคร่งขรึมลงในทันใด “บอกชุ่ยหงว่าหากนางทำไม่ได้ก็เปลี่ยนคนเสีย”

“เพคะ”

เฉาฮวากำลังหวีผมอยู่หน้ากระจก

นางมีพรสวรรค์ด้านการแต่งหน้าทำผมตั้งแต่เล็ก นี่เป็นสิ่งที่ทำให้นางได้เป็นหนึ่งในสี่สาวใช้ของท่านหญิง

นางไม่อยากเสียทักษะนี้ไป นางคือเฉาฮวาผู้ที่ช่วยแต่งตัวให้ท่านหญิง ไม่ใช่อวี้เสวี่ยนซื่อขององค์รัชทายาท

“เวลานี้ก็อาบน้ำแล้วหรือ” ในคันฉ่องส่องสะท้อนใบหน้าอันหล่อเหลาของบุรุษ

เฉาฮวาลุกขึ้นหันกลับไป คารวะอย่างนอบน้อม “ถวายพระพรองค์ชายเพคะ”

“กินข้าวหรือยัง” เว่ยเชียงจับมือที่เล็กและเย็นนั้นของเฉาฮวา

เว่ยเชียงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ร่างกายของอวี้เหนียงอ่อนแอมากจริงๆ ทำให้เขารู้สึกกังวล

เขาไม่อยากสูญเสียอวี้เหนียงไป

หากแม้แต่อวี้เหนียงก็ไม่อยู่แล้ว เขาและลั่วเอ๋อร์ก็จะไม่มีวันเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว

จะไม่มีใครคิดถึงลั่วเอ๋อร์ไปกับเขา

เว่ยเชียงชูโถกระเบื้องในมือขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าได้กินไชเท้าดองอร่อยๆ ที่หอสุราแห่งหนึ่งเลยซื้อกลับมาให้เจ้าลองชิมดู”

นางกำนัลที่คอยรับใช้ในห้องได้ยินดังนั้น ความอิจฉาในดวงตาก็แทบจะล้นทะลักออกมา

เฉาฮวายังคงนิ่งไม่สะทกสะท้าน “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”

เว่ยเชียงสั่งให้นางกำนัลนำตะเกียบมา เปิดฝาโถออก

“อวี้เหนียง เจ้าลองชิมดูสิ”

เฉาฮวารับตะเกียบเงินมาเงียบๆ คีบไชเท้าดองชิ้นหนึ่งเข้าปาก

จากนั้น นางก็อดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้

“เป็นอะไรไปหรือ” เว่ยเชียงตกใจ

เฉาฮวากะพริบตาสองสามที เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ฝ่าบาทตั้งใจนำไชเท้าดองที่อร่อยเช่นนี้มาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันอดรู้สึก…”

เว่ยเชียงยิ้ม “ข้าคิดว่าเป็นอะไรไปเสียอีก เจ้าชอบกินก็ดีแล้ว”

“หม่อมฉันชอบมากเพคะ ฝ่าบาท ไชเท้าดองนี่ซื้อมาจากร้านไหนหรือ”

เว่ยเชียงไม่ได้คิดมากตอบว่า “จากหอสุราที่อยู่บนถนนชิงซิ่งนี่เอง ชื่อร้านน่าสนใจมาก ชื่อว่ามีหอสุรา”

“มีหอสุรา?” เฉาฮวามือสั่น ตะเกียบเงินร่วงลงบนพื้น

นางเก็บอาการไม่อยู่อีกแล้ว ความคิดของนางย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว

นานแค่ไหนน่ะหรือ นางเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ครานั้นนางยังเล็ก ท่านหญิงเองก็ยังเล็ก

พวกนางสี่คนทานขนมที่ท่านหญิงเพิ่งเรียนมาอย่างตะกละตะกลาม เจี้ยงเสวี่ยถอนหายใจพร้อมกับขนมที่ติดมุมปาก “ขนมที่ท่านหญิงทำอร่อยจริงๆ หากท่านหญิงไม่ใช่ท่านหญิงคงเปิดหอสุราได้แล้ว”

ซิ่วเย่ว์ที่เป็นลูกมือของท่านหญิงมาโดยตลอดเป็นคนไร้เดียงสา นางถามอย่างจริงจังว่า “ท่านหญิง หากเปิดหอสุราจริงๆ ท่านว่าหอสุราของเราจะชื่ออะไรดีเจ้าคะ”

ท่านหญิงยิ้มแล้วพูดว่า “ชื่อมีหอสุราแล้วกัน”

มีหอสุรางั้นหรือ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท