ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 181 ใจกว้างและเอาใจใส่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 181 ใจกว้างและเอาใจใส่

มองดูเด็กสาวที่ย่อกายคารวะ พระชายากลับไม่ได้บอกให้นางลุกขึ้นในทันที

คุณหนูลั่วในยามนี้ไม่ใช่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบแล้ว ควรจะรู้ว่าพระชายารัชทายาทนั้นมีความหมายว่าอะไร

น้องสาวเข้าวังเป็นครั้งคราว บางครั้งก็จะพูดถึงคุณหนูลั่วผู้นี้ด้วยน้ำเสียงดูแคลน

อย่างเช่นว่าคุณหนูลั่วฉุดผู้ชายบนถนนมาเป็นนายบำเรอ หรืออย่างเช่นคุณหนูลั่วตบตีคุณหนูจวนอัครเสนาบดี

เอาเข้าจริงแล้วทั้งหมดเป็นเพราะคุณหนูลั่วมีบิดาที่มีตำแหน่งและอำนาจสูง นางจึงกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้

ทว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วจะมีตำแหน่งและอำนาจสูงเพียงใดก็เป็นเพียงขุนนางคนหนึ่ง คุณหนูลั่วที่อยู่ในวัยปักปิ่นแล้วไม่มีทางไม่เข้าใจในเรื่องนี้

หากนางไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ เหตุใดจึงไม่เห็นนางตบตีองค์หญิงฉางเล่อเล่า

ลั่วเซิงเงยหน้ามองพระชายาที่มีสีหน้าคาดเดาไม่ได้ นางยืดกายขึ้นสั่งนางกำนัลที่มีสีหน้าตกตะลึง “ยังไม่หาเก้าอี้มาให้ข้านั่งอีก หรือว่าต้องให้แขกที่พระชายาของพวกเจ้าเชิญมายืนรอ”

น้ำเสียงจู้จี้และดูหมิ่นนั่นยิ่งทำให้นางกำนัลรู้เพียงว่าต้องมองพระชายา

ใบหน้าพระชายาเหยเกอย่างควบคุมไม่ได้

เจ็ดแปดปีแล้ว คุณหนูลั่วยังคงเป็นคุณหนูลั่วผู้นั้น!

“ไปหาเก้าอี้มา” พระชายาสั่งนางกำนัล

เมื่อนางกำนัลยกเก้าอี้มา ลั่วเซิงก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ ยิ้มให้พระชายา “ไม่เจอกันหลายปี คิดไม่ถึงว่าพระองค์ยังคงใจกว้างและเอาใจใส่เช่นนี้เพคะ”

พระชายากระตุกมุมปาก

คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนจะฝืนเล็กน้อย

นางไม่ได้ตำหนิคุณหนูลั่วว่าไร้มารยาท พูดได้ว่าใจกว้าง แต่เกี่ยวอะไรกับเอาใจใส่กัน

เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าเด็กสาวตรงหน้านางมีชื่อเสียงในด้านไร้การศึกษา พระชายาก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้

ในเมื่อเป็นคำชม ก็ปล่อยให้นางพูดไปแล้วกัน

“เหตุใดจึงไม่เห็นอวี้เสวี่ยนซื่อเล่าเพคะ” ลั่วเซิงมองไปรอบๆ เอ่ยถามขึ้นตรงๆ

พระชายาอดกระตุกมุมปากอีกครั้งไม่ได้

นี่มันตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว!

นางคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องคุยกับอีกฝ่ายสักเล็กน้อยก่อนถึงจะพูดถึงอวี้เสวี่ยนซื่อ

“รัชทายาทไม่ได้บอกพระองค์หรือเพคะ”

“รัชทายาททรงบอกข้าแล้ว” พระชายาแทบจะเก็บอาการไว้ไม่ได้แล้ว

หากรัชทายาทไม่บอก นางจะเชิญนังคนไร้มารยาทและหยาบคายมาสร้างปัญหาที่วังบูรพาหรือ นางไม่ได้ว่างขนาดนั้นเสียหน่อย

“ไปเชิญอวี้เสวี่ยนซื่อมา” พระชายาสั่งนางกำนัลเสร็จก็เห็นลั่วเซิงก้มหน้าก้มตา เห็นได้ชัดว่าไม่มีความต้องการที่จะสนทนาต่อ

พระชายาอดรู้สึกโมโหไม่ได้

จะใช้แล้วสลัดทิ้งก็ไม่เร็วขนาดนี้หรือไม่

พระชายาใบหน้านิ่งขรึมไม่พูดไม่จา

ลั่วเซิงไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย นางดูสบายใจมาก

พระชายามองนางด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเห็นอีกฝ่ายสบายใจมาก นางกลับทนเงียบต่อไปไม่ไหว

คนอย่างคุณหนูลั่วน่ะหรือช่วยองค์รัชทายาทได้?

พระชายาใจกระตุก เรื่องบางเรื่องคงไม่ดีหากต้องถามรัชทายาท แต่นางถามคุณหนูลั่วได้

ถึงอย่างไรด้วยนิสัยแบบนี้ของคุณหนูลั่ว หลอกถามสักสองสามเรื่องก็คงไม่เป็นไร

“ได้ยินรัชทายาทกล่าวว่าคุณหนูลั่วช่วยเหลือพระองค์”

“ใช่เพคะ” ลั่วเซิงพยักหน้า

พระชายาเห็นนางตอบสั้นๆ เสร็จก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นางบีบจอกชาในมือแน่น

ช่างเถอะ อย่าคาดหวังอะไรมากกับท่อนไม้เช่นนี้เลย

พระชายาถามขึ้นตรงๆ ว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูลั่วช่วยเหลืออะไรองค์รัชทายาทหรือ”

ลั่วเซิงประหลาดใจ “องค์รัชทายาทไม่ได้บอกพระองค์หรือเพคะ”

พระชายาสงบอารมณ์ลง อดกลั้นความหงุดหงิดเอ่ยว่า “รัชทายาททรงงานยุ่งมาก ข้าไม่ได้ถามรายละเอียด”

“อย่างนี้นี่เอง…” ลั่วเซิงลากเสียงยาว โค้งริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น เรื่องวันก่อนที่องค์รัชทายาทเลี้ยงอาหารที่หอสุราของหม่อมฉัน พระองค์ก็ยังไม่รู้สินะเพคะ”

“เลี้ยงอาหารหรือ” พระชายาถูกดึงดูดความสนใจไปในทันที

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “ใช่เพคะ วันก่อนรัชทายาททรงเลี้ยงอาหารที่หอสุรา กลายเป็นแขกที่ใช้จ่ายมากที่สุดในหนึ่งมื้อ หม่อมฉันก็เลยประทับใจมากเพคะ”

พระชายาคิดถึงเรื่องที่รัชทายาทมาขอเงินสองพันตำลึงจากนาง

รัชทายาทบอกว่ามีเรื่องต้องใช้จ่าย คงไม่ใช่จ่ายค่าอาหารที่ใช้เลี้ยงแขกหรอกนะ

รัชทายาทเลี้ยงคนไปจำนวนเท่าไรกัน ถึงต้องใช้เงินถึงสองพันตำลึง

งานเลี้ยงขนาดนี้ นี่มันเท่ากับงานเลี้ยงมงคลสมรสของครอบครัวร่ำรวยแล้วนะ

ลั่วเซิงยกมือขึ้นปัดผมที่ปรกหน้าเล็กน้อย ยิ้มพูดว่า “พระชายาทรงอย่ากังวลเลยเพคะ รัชทายาทส่งขันทีไปส่งเงินไปที่หอสุราให้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แม้เริ่มแรกจะขาดอีกหนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึง แต่ก็นำมาคืนครบอย่างรวดเร็วเพคะ”

พระชายาบีบจอกชาในมือแน่น สีหน้าเคร่งขรึม

ไม่ต้องพูดถึงว่าอาหารมื้อหนึ่งรัชทายาทใช้เงินไปเท่าไหร่ ที่แท้เขาถอนเงินจากนางเพื่อจ่ายส่วนที่เหลือ

ขาดอีกหนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึง ถอนจากนางสองพันตำลึง… หากนับไม่ผิด เท่ากับว่าเขาได้กำไรไปเก้าร้อยตำลึง?

เมื่อเห็นถึงความพยายามในการอดกลั้นโทสะของพระชายา ลั่วเซิงก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย

นางรับปากเพียงว่าจะไม่เรียกเก็บเงินกับพระชายา แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่พูดถึงต่อหน้าพระชายาเสียหน่อย

นางต้องพูดถึงแน่นอนอยู่แล้ว จะไว้หน้าคนใจทรามนั่นไปทำไม

จากนั้นพระชายาก็หมดอารมณ์จะสนทนาต่อไปแล้วจริงๆ

จนเมื่อบ่าวรับใช้ในวังที่อยู่หน้าประตูประกาศขึ้นเสียงดัง “อวี้เสวี่ยนซื่อมาถึงแล้ว…”

ลั่วเซิงมองไปที่ประตู

หญิงสาวที่เดินเข้ามาก้มศีรษะเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นจึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัด

ลั่วเซิงมองนางเดินเข้ามาทีละก้าว ยอบกายให้พระชายาอย่างนอบน้อม “ถวายพระพรพระชายาเพคะ”

ลั่วเซิงกำมือใต้แขนเสื้อกว้างแน่น

นี่คือเสียงของเฉาฮวาและรูปร่างของเฉาฮวา

แต่ว่าดูต่างจากเฉาฮวาในความทรงจำ

สำหรับนางแล้ว เป็นช่วงเวลาไม่นานเท่านั้นที่นางแยกจากสาวใช้ทั้งสี่ แต่สำหรับสาวใช้ทั้งสี่แล้วเวลากลับผันผ่านไปอย่างโหดร้ายถึงสิบสองปี

เฉาฮวาสาวใช้ของนางเป็นคนเย่อหยิ่งและหลักแหลม ไม่ใช่คนที่จะปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและปราศจากความกระตือรือร้นเช่นนี้

ลั่วเซิงคิดถึงซิ่วเย่ว์อีกครั้ง

ซิ่วเย่ว์ผู้มีรูปโฉมงดงามโดดเด่นทำให้ตัวเองเสียโฉมและถูกคนคุ้นเคยที่มากินเต้าฮวยในเมืองหนานหยางเรียกว่าท่านยายขี้เหร่มานานกว่าสิบปี

คิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางจะไม่แค้นได้อย่างไร

“อวี้เสวี่ยนซื่อ ท่านนี้คือคุณหนูลั่วบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ยังไม่คารวะอีก”

เฉาฮวาก้มหน้าหันไปยอบกายให้ลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว”

นางอยากจะมองคุณหนูลั่วที่เปิดร้านชื่อมีหอสุราท่านนี้ให้ละเอียด

กระทั่งอยากถามว่าแม่ครัวของหอสุราชื่อซิ่วเย่ว์ใช่หรือไม่

แต่นางก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม

องค์รัชทายาทบอกว่า คุณหนูลั่วชอบกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสี

น้ำเสียงไม่ไยดีสายหนึ่งดังขึ้น “เสวี่ยนซื่อเงยหน้าให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”

พระชายาหลุบตาลงปิดบังรอยยิ้ม

ได้ฟังน้ำเสียงบ้าตัณหาของคุณหนูลั่ว ช่างฟังแล้วคุ้นหูจริงๆ

นางอยากจะเห็นจริงๆ ว่าอวี้เสวี่ยนซื่อจะรับมือไหวหรือไม่

เฉาฮวาเงยหน้าขึ้น มองไปที่ลั่วเซิง

ทั้งสองสบตากัน เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ

ลั่วเซิงยกข้อมือขึ้นแล้วยิ้มหวาน “มิน่าองค์รัชทายาทจึงไม่ยอมมอบกำไลของเสวี่ยนซื่อให้แก่ข้า วันนี้ได้เจออวี้เสวี่ยนซื่อแล้วข้าจึงเข้าใจ”

“คุณหนูลั่วกล่าวเกินไปแล้ว”

พระชายายิ้มค้าง

เหตุใดนางได้ยินประโยคนี้แล้วรู้สึกแทงใจเช่นนี้นะ

หางตาของลั่วเซิงเห็นสีหน้าของพระชายา นางละสายตาจากเฉาฮวา

เหมือนกับว่าต้องการมาดูแค่อวี้เสวี่ยนซื่อ เมื่อได้สนองความต้องการแล้วก็หมดความสนใจ

“หากพระชายามีโอกาสออกนอกวัง ไปชิมอาหารที่หอสุราของหม่อมฉันได้นะเพคะ อาหารที่องค์รัชทายาททรงโปรด คิดว่าน่าจะถูกปากพระองค์เช่นกัน”

“รัชทายาททรงโปรดมากเลยหรือ” พระชายาถาม

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนเพคะ ไม่เช่นนั้นจะยอมจ่ายห้าพันหกร้อยกว่าตำลึงเพื่ออาหารมื้อเดียวหรือเพคะ”

“เท่าไหร่นะ” พระชายาร้องถามเสียงหลง

“ห้าพันหกร้อยยี่สิบตำลึงเพคะ พระองค์ลองไปชิมดูก็จะรู้ว่าคุ้มค่าเงินนัก” ลั่วเซิงยิ้มอย่างจริงใจ “หม่อมฉันยังตั้งใจตั้งชื่อหอสุราอันสง่างามไว้ด้วย ทรงเคยได้ยินหรือยังเพคะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท