ตอนที่ 97 ถูกชะตา
สายตาหลายคู่มองมาที่ซินโย่ว แต่ในสายตาซินโย่วมีเพียงเด็กหญิงตรงหน้า
ก็มิใช่คำพูดของเด็กหญิง แต่เพราะมีภาพปรากฏขึ้นตรงหน้าจนนางไม่ทันตั้งตัว
คนผู้หนึ่งพุ่งหลบไปด้านข้างอย่างทุลักทุเล สัตว์ป่าที่ตามเขามาไม่ทันเลี้ยวตาม ตรงเข้าพุ่งชนด้านหน้าใส่เด็กหญิงที่ตกใจยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่
คล้ายว่าแค่พริบตา เด็กหญิงก็ถูกสัตว์ป่าชนกระเด็นลอยไป จากนั้นก็กระแทกลงพื้นอย่างแรง
ซินโย่วทันได้เห็นดาบยาวฟันใส่สัตว์ป่า ภาพพลันหายไป
ตรงหน้าเป็นเด็กหญิงน่ารักผิวขาวราวหิมะ ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมองมา
องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่ได้หยุดเดิน แต่สายตาอดมองใบหน้าซินโย่วไม่ได้
โอ้ สาวน้อยผู้นี้เหมือนนางมากจริงๆ มองแค่ใบหน้าเหมือนนางยิ่งกว่าฝูเอ๋อร์ผู้เป็นบุตรสาวนางเสียอีก
สถานะเช่นองค์หญิงใหญ่เจาหยาง ได้เห็นคนที่หน้าตาคล้ายตนเองก็ยากจะไม่เกิดความใคร่รู้ พอใคร่รู้ก็กลายเป็นนึกสงสัย
ดูจากการแต่งกายแล้วเป็นสตรีมีตระกูล เหตุใดนางไม่เคยพานพบมาก่อน
เห็นองค์หญิงใหญ่เจาหยางเดินเข้ามาใกล้ ซินโย่วกับต้วนอวิ๋นหลิงก็ย่อกายถอยไปยืนด้านข้าง เปิดทางให้
องค์หญิงใหญ่เจาหยางกลับหยุดลง ถามซินโย่วว่า “เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลใด”
ซินโย่วก้มหน้าลงตอบว่า “หม่อมฉันเป็นหลานสาวรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเพคะ”
พอได้ยินว่าเป็นหลานสาวรองเจ้ากรมต้วน คนรอบกายองค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่น้อยต่างมีปฏิกิริยากันขึ้นมาทันที
เอ๋ นี่ไม่ใช่คุณหนูนอกที่ลือกันหรือ ยังเปิดร้านหนังสือที่ระยะนี้เป็นมีชื่อเสียงมากอีกด้วย
สายตาเหล่านั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าซินโย่ว เพราะคำพูดของเด็กหญิง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง
คนไม่น้อยลอบสบตากันไปมา
คุณหนูนอกผู้นี้หน้าตาคล้ายองค์หญิง ก็ไม่รู้เป็นความยุ่งยากหรือเป็นวาสนา
“จวนรองเจ้ากรมหรือ” องค์หญิงใหญ่เจาหยางได้ยินก็ไม่รู้สึกแปลก
หนึ่งปีมานี้นางจัดงานเลี้ยงไม่มาก แทบไม่มีแวดวงสัมพันธ์กับจวนรองเจ้ากรม
“เจ้าชื่ออะไร”
“หม่อมฉันแซ่โค่ว ชื่อว่าชิงชิงเพคะ”
“ชิงชิง…” องค์หญิงใหญ่เจาหยางยิ้ม “ชื่อไพเราะมาก ไปเที่ยวเล่นเถอะ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางพูดจบก็ก้าวไปยังกระโจมที่ตั้งติดกันด้านหน้า
พอกลุ่มคนเดินไปไกลแล้ว ต้วนอวิ๋นหลิงก็ถอนหายใจเฮือก “สวรรค์ พี่ชิง องค์หญิงถึงกับสนทนากับพี่ด้วย!”
“น้องหลิงเมื่อก่อนไม่เคยพบองค์หญิงหรือ”
“สถานะจวนเราจะมีโอกาสสมาคมกับองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไรกัน ตอนออกมาท่องเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ท่านย่าพาพวกเราไปถวายคำนับองค์หญิงใหญ่ก็ไปพร้อมกับหลายคนและยังอยู่ด้านหลัง ท่านย่าไม่มีโอกาสได้พูดคุยอันใดกับองค์หญิงใหญ่ด้วยซ้ำ”
ต้วนอวิ๋นหลิงมองประเมินซินโย่วอย่างละเอียด คล้ายว่ารู้จักนางเป็นครั้งแรก “ปีที่แล้วหากพี่ชิงตามมาถวายคำนับด้วย ไม่แน่ก็คงถูกคนอื่นมองว่าหน้าตาละม้ายองค์หญิงใหญ่ไปแล้ว”
“มีความละม้ายอยู่หลายส่วนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงวาสนาอันใดได้ โลกเรานี้มีคนละม้ายกันอยู่ไม่น้อย”
ซินโย่วเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ อารมณ์ไม่ดีเท่าไร
หน้าตาละม้ายองค์หญิงใหญ่ ก็แสดงว่านางละม้ายคล้ายกับบิดาที่ไม่เคยพบหน้า
คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด ส่วนว่าจะทำให้คนสงสัยเพราะละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่หรือไม่ นางไม่รู้สึกเป็นห่วง ผู้ใดจะคิดว่าคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมหน้าตาคล้ายกับองค์หญิงใหญ่จะมีสายโลหิตสัมพันธ์กัน อย่างไรโค่วชิงชิงก็หน้าตาเช่นนี้มาตลอด
องค์หญิงใหญ่เจาหยางอยู่ในกระโจม ถามคนข้างๆ ว่า “คุณหนูโค่วพักอาศัยอยู่บ้านลุงหรือ เพราะเหตุใด”
โค่วชิงชิงเข้าเมืองหลวงมาเมื่อสี่ปีก่อน เริ่มแรกก็ไว้ทุกข์นานถึงสามปี จนกระทั่งปีที่แล้วครบกำหนดออกทุกข์ จึงได้ออกนอกจวนมาไม่กี่ครั้ง คนที่เคยเห็นนางย่อมน้อยมาก สตรีสูงศักดิ์ที่มักสมาคมกับองค์หญิงใหญ่เจาหยางก็ไม่ค่อยได้ออกงานร่วมกับจวนรองเจ้ากรม
แต่คนในที่นั้นแม้ไม่เคยได้เห็นโค่วชิงชิง แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของคุณหนูนอกผู้นี้มามาก
ไม่นานองค์หญิงใหญ่เจาหยางก็ทำความเข้าใจได้พอสมควร พอหวนนึกถึงเด็กสาวท่าทางเปิดเผย เมื่อครู่ก็รู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย
จากนั้นก็มีคนเข้ามาถวายคำนับกันต่อเนื่อง คนเหล่านี้รวมตัวกันมา ถวายคำนับองค์หญิงใหญ่เจา หยางเสร็จก็ออกไป จะได้ไม่เป็นการรบกวนความเป็นส่วนพระองค์ขององค์หญิงใหญ่
พอกลุ่มคนชุดหนึ่งมาถึง ก็มีคนกระซิบองค์หญิงใหญ่เจาหยาง “ท่านที่สวมชุดสีน้ำตาลก็คือนายหญิงผู้เฒ่าจวนรองเจ้ากรมเพคะ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางเรียกตัวนายหญิงผู้เฒ่าเข้าพบ ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าได้พบหลานสาวท่าน ช่างเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์เสียจริง”
นายหญิงผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความงุนงง แต่ยังคงรักษาสีหน้าไว้ไม่ให้เสียมารยาท “เด็กสาวผู้นั้นงุ่มง่ามไม่คล่องแคล่ว มิกล้ารับคำชมเช่นนี้จากองค์หญิงเพคะ”
“ข้ารู้สึกมีวาสนากับนาง” องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่กล่าวมากต่อ ปล่อยนายหญิงผู้เฒ่ากลับไป
หากมิใช่ได้ยินว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่มาพึ่งพาญาติ องค์หญิงใหญ่ก็คงไม่เรียกตัวนายหญิงผู้เฒ่าจวนรองเจ้ากรมมาคุย ผู้คนในสถานที่นี้ต่างรู้ดีว่าการที่องค์หญิงให้ความสำคัญเช่นนี้ จวนรองเจ้ากรมต้องดูแลคุณหนูนอกผู้นั้นให้ดียิ่งขึ้น
นายหญิงผู้เฒ่ากลับไปด้วยความสงสัยอย่างมาก รีบให้สาวใช้ไปตามซินโย่ว
“ท่านยายเรียกหาข้าหรือ”
“ชิงชิง เมื่อครู่เจ้าได้พบองค์หญิงใหญ่หรือ”
ซินโย่วพยักหน้า
“พูดอันใดต่อหน้าองค์หญิงใหญ่บ้างไหม” ตอนนายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่แววตาแปลกไปเล็กน้อย
“ก็ตรัสถามว่าข้าเป็นคุณหนูตระกูลใด ส่วนที่ทำให้องค์หญิงใหญ่สนพระทัย ก็คงเป็นเพราะบุตรีองค์หญิงพูดจาตามประสาเด็กน้อย อยู่ๆ เอ่ยว่าข้าหน้าตาเหมือนองค์หญิง”
คำพูดนี้ทำเอานายหญิงผู้เฒ่าตกใจพูดไม่ออก อดมองประเมินหลานสาวไม่ได้ พยายามนึกย้อนกลับไปถึงหน้าตาขององค์หญิงใหญ่ เหมือนกันอยู่ไม่น้อยจริงๆ
นายหญิงผู้เฒ่าพลันรู้สึกสับสนในใจขึ้นมา พึมพำว่า “ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าเหมือนกัน…”
ผู้ที่เอ่ยวาจาทำนองเดียวกับนายหญิงผู้เฒ่า ยังมีฮูหยินกู้ชางป๋อ
ฮูหยินกู้ชางป๋อรู้ดีว่าตนเองไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงใหญ่เจาหยาง จึงเพียงแค่ไปถวายคำนับแล้วก็ขอตัวออกมา แต่ข่าวนี้แพร่ไปรวดเร็วมาก ไม่นานก็ได้ยินจากปากคนข้างๆ
“วันนี้ได้พบคุณหนูโค่ว ข้าก็ว่าเหตุใดเหมือนคุ้นๆ หน้า” ฮูหยินกู้ชางป๋อยิ้มเอ่ย
“ก็ใช่น่ะสิ” คนข้างกายตอบรับคำ
ความจริง หากบุตรีองค์หญิงใหญ่ไม่บอก บรรดาคนเหล่านี้ที่ไม่เห็นคุณหนูชาติกำเนิดธรรมดาคนหนึ่งอยู่ในสายตา ย่อมไม่มีทางคิดไปถึงองค์หญิงใหญ่
ฮูหยินกู้ชางป๋อนึกถึงเรื่องท่าทีเย็นชาขององค์หญิงใหญ่เจาหยางต่อบรรดาพระสนมนางใน รวมถึงพระสนมซูเฟยเพราะการจากไปของฮองเฮาซิน ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีต่อคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรม
ไม่มีทางยอมให้บุตรชายเกี่ยวข้องกับคุณหนูโค่วผู้นั้นเป็นแน่
เจ๋อเอ๋อร์ไปไหนอีกแล้วนี่
ฮูหยินกู้ชางป๋อมองไปรอบๆ
ซินโย่วที่กลายเป็นประเด็นในวันนี้ดึงมือต้วนอวิ๋นหลิงมาตามหาสถานที่เกิดเหตุในภาพที่เห็น
หลังจากหวนนึกถึงภาพสัตว์ร้ายในภาพที่เห็น นางก็พลันนึกออกว่าเป็นหมูป่า ส่วนคนที่ถูกหมูป่าวิ่งไล่ก็นางก็จำได้เช่นกัน ว่าคือไต้เจ๋อ ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ
หมายความว่าไต้เจ๋อไม่รู้ว่าไปก่อเรื่องอันใดให้หมูป่าวิ่งไล่ ตนเองหลบพ้น แต่กลับทำให้หนูน้อยที่ชื่อ ‘ฝูเอ๋อร์’ ถูกหมู่ป่าชนกระเด็น เป็นตายเท่ากัน
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ซินโย่วอาจอ้างวิชานรลักษณ์เข้าไปเตือนได้ แต่บุตรีองค์หญิงใหญ่นี้ เกรงว่าแค่เพียงเอ่ยปากก็คงถูกคนไล่
คิดไปคิดมา จึงมารอละแวกที่เกิดเหตุล่วงหน้า รอตอนเกิดอุบัติเหตุ ก็รีบเข้าไปช่วยเด็กน้อยจะเหมาะสมที่สุด
ซินโย่วมองไปยังพุ่มดอกจวี๋ฮวาป่า ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง