บทที่ 99 พี่น้องทั้งหลาย! นี่มันกลิ่นอายเทพเซียน
บทที่ 99 พี่น้องทั้งหลาย! นี่มันกลิ่นอายเทพเซียน
หลังจากขนย้ายสัตว์อสูรเสร็จ หลิงเยว่ก็เงยหน้าขึ้น แล้วยืนประจันหน้ากับทั้งสี่ที่จ้องมองราวกับนางเป็นคนหลอกลวง
หึ! นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ด้วยการกระทำต่อไปนี้ของนาง คงจะทำให้ทั้งสี่คนอยากลงมือทำร้ายเด็กสาวเป็นแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกลั่นโอสถสองคน พวกเขามองหลิงเยว่ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“ท่านเจ้าเมืองซู ขอตกลงกันก่อน ไม่ว่าข้าจะทำอะไรที่อยู่นอกเหนือจากที่พวกท่านทั้งหลายคาดคิด ก็อย่าได้เข้าแทรกแซงโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะพวกท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
“ได้ยินหรือไม่?”
“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง” นักกลั่นโอสถสองคนคำนับซูซวงอย่างเคารพ
จากนั้น ทั้งสี่คนก็ยืนดูหลิงเยว่จัดการกับซากสัตว์อสูรอย่างเย็นชา
ขั้นตอนนี้ไม่ได้ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลง จนกระทั่ง… หลิงเยว่เริ่มลงมือจัดการ ไม่ ไม่เรียกว่าจัดการ นี่เรียกว่าทำลายสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่าชัด ๆ!
นางทำกับสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้ได้อย่างไร!
เด็กสาวนำเนื้อมาต้ม เมื่อต้มเสร็จแล้วยังเอามาหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ก่อนสับอย่างละเอียด!
แทนที่จะใช้แก่นปราณไฟสกัดเอาน้ำมันหอมระเหย แต่กลับเอามาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ!
ในที่สุดซูซวงก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิงเยว่จึงเน้นย้ำสองผู้อาวุโสแห่งสำนักกลั่นโอสถนัก ขนาดว่าซูซวงไม่ได้เป็นนักกลั่นโอสถ ยังรู้สึกอยากเข้าไปห้ามปรามอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงนักกลั่นโอสถที่คลุกคลีอยู่กับสมุนไพรวิญญาณอยู่เป็นประจำเลย
สีหน้าของสองผู้อาวุโสแห่งสำนักกลั่นโอสถยิ่งดูมืดหม่นลง มือของพวกเขาเริ่มสั่นระริก หรือว่านางจะไม่รู้ว่าสมุนไพรวิญญาณในเมืองฮั่วหยางนั้นหายากและมีค่ามากเพียงใด?
ต่อหน้าพวกเขา กลับทำลายสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้ หนำซ้ำท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้ห้ามปรามอีก!
“ท่านเจ้าเมือง ข้าขอตัวก่อน!”
หนึ่งในผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถอดทนดูไม่ได้อีกต่อไป ก่อนจะสลัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป เหลือเพียงนักกลั่นโอสถที่อาวุโสกว่า ขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเดินตามไปดีหรือไม่ ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นสายตาของท่านเจ้าเมืองที่เปี่ยมด้วยคำเตือน สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงยืนนิ่งกับที่เท่านั้น
อย่างมากก็เพียงหลับตาลงข้างหนึ่ง!
ในขณะที่ผู้อาวุโสบางคนโกรธจนเลือกจะเดินจากไป ทว่าก็ไม่ได้ส่งผลอันใดต่อหลิงเยว่ ด้วยการจากไปด้วยดีย่อมดีกว่าลงมือทำร้ายอีกฝ่ายอยู่แล้ว
หลังซากสัตว์อสูรถูกชำระล้างจนสะอาดแล้ว ก็ถูกนำไปแช่ในสมุนไพรวิญญาณที่สับละเอียด จากนั้นหลิงเยว่จึงใส่เครื่องเทศที่เก็บมาบนพื้นดินริมทางลงไปเติม ส่วนเครื่องปรุงรสก็ใช้เท่าที่มี
รสชาติที่ได้อาจจะแย่ลงบ้าง ทว่าจะไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของโอสถแต่อย่างใด
เพื่อให้ผู้คนข้างเคียงได้ลิ้มรสอาหารวิญญาณพิเศษเร็วขึ้น หลิงเยว่จึงตั้งใจหั่นเนื้อสัตว์อสูรเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วหมักไว้
แม้ว่าการที่หลิงเยว่จัดการกับสัตว์อสูรร้ายและสมุนไพรวิญญาณจะดูน่าเบื่อ แต่ซูซวงก็ไม่ได้คิดจะจากไป เพียงนั่งมองหลิงเยว่ทำงานอย่างเงียบ ๆ แทนที่จะตำหนิเด็กสาว นางกลับให้เกียรติ ด้วยอยากจะดูว่าสิ่งที่หลิงเยว่ทำออกมานั้นคือสิ่งใดกันแน่
เปลวไฟจากแก่นปราณบริสุทธิ์เริ่มแผดเผาชิ้นเนื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ ไอร้อนที่แผ่ออกมาทำให้อากาศรอบข้างบิดเบี้ยว จากนั้นชิ้นเนื้อก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนโชยออกมา
เพียงแค่เปลวไฟโอบล้อมเนื้อ กลิ่นหอมเย้ายวนก็เริ่มโชยมาเตะจมูก ช่างเป็นการผสมผสานที่ลงตัว!
เกิดเป็นกลิ่นหอมแปลกประหลาด
คล้ายกลิ่นหอมของโอสถที่พวยพุ่งออกมาจากการกลั่นยาเม็ดรักษาบาดแผล ทว่ากลิ่นหอมนี้ไม่ได้บริสุทธิ์ หากแต่กระตุ้นความอยากอาหารให้มีมากขึ้น
หลิงเยว่ตักชิ้นเนื้อย่างสีน้ำตาลทองวางบนจาน แล้วส่งให้ซูซวงลิ้มรส ก่อนบอกให้คนทั้งหลายได้ลองชิม จากนั้นพวกเขาจึงหยิบจานอื่นขึ้นมา แล้วกัดเนื้อย่างร้อน ๆ เข้าปาก โดยไม่สนใจว่าอาหารจะร้อนเพียงใด
อืม… นี่แหละ รสชาติแบบนี้ เนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ไหนจะสรรพคุณทางโอสถที่สามารถรักษาบาดแผลภายในได้ดีอีก ช่างประเสริฐนัก เป็นอะไรที่วิเศษจริง ๆ!
นางยังมีอาการบาดเจ็บภายในอยู่ เลยต้องกินให้มากขึ้นสักหน่อย
สีหน้าท่าทางของหลิงเยว่ที่ทั้งโอ้อวดและความรื่นรมย์ ทำให้คนทั้งสามที่นั่งอยู่ตรงหน้าจานเนื้อย่างไม่อาจเมินเฉยไปได้
เพียงอาหารย่างธรรมดา เหตุใดเด็กสาวต้องทำท่าทางเช่นนั้นด้วย น่าขายหน้านัก!
ในที่สุดซูซวงก็ขยับตะเกียบคีบอาหาร
นางเคี้ยวเนื้อย่างอย่างเย็นชา ไร้อารมณ์… ก่อนที่จะคีบชิ้นต่อไป “พวกเจ้าทั้งสองก็ลองสิ”
ผู้ช่วยและผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถสบตากัน ลังเลใจก่อนจะคีบชิ้นเนื้อย่างเข้าปาก
ผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถ “!!!”
เนื้อนี่ เนื้อนี่มันอะไรกัน!?
ไม่ได้แล้ว ต้องลองอีกชิ้น
ขณะที่นักกลั่นโอสถกำลังจะลองชิมเนื้ออีกชิ้น ก็กลับคีบได้เพียงอากาศ เพราะซูซวงคีบเนื้อย่างชิ้นสุดท้ายเข้าปากไปเรียบร้อยแล้ว
แม้เนื้อย่างแต่ละชิ้นจะมีสรรพคุณเท่ากับโอสถรักษาบาดแผลเพียงหนึ่งในสาม ทว่าสูตรโอสถหนึ่งชุดสามารถนำไปผสมกับเนื้อของสัตว์อสูรครึ่งตัว ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าโอสถรักษาบาดแผลหลายสิบเท่า อาจจะมากถึงหลายสิบเม็ด ส่วนเนื้อสัตว์อสูรนั้น…
เมืองฮั่วหยางของพวกเขาขาดแคลนสิ่งของมากมาย แต่สิ่งเดียวที่ไม่ขาดแคลนเลยก็คือเนื้อสัตว์อสูร
“พวกท่านมีเครื่องมือที่ใช้งานได้น้อยเกินไป รวมถึงเครื่องครัวด้วยเช่นกัน จึงแทบไม่พอสำหรับการย่างเนื้อเสียแล้ว และอันที่จริง…”
“หากเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าในฐานะเจ้าเมืองสามารถจัดหาให้ได้”
ไม่รอให้หลิงเยว่พูดจบประโยค ซูซวงก็แทรกขึ้น
“ข้านั้นชรามากแล้ว แต่ก็สามารถช่วยเหลือได้เช่นกัน”
“ข้าเองก็… ตามความเห็นของท่านเจ้าเมือง” ผู้ช่วยเหลือบตามองหลิงเยว่แล้วพูดอย่างตะกุกตะกัก
หลิงเยว่พึงพอใจกับผลลัพธ์นี้ นางจึงรีบเขียนสิ่งของที่ตนต้องการลงไปทีละอย่าง และด้วยกลัวว่าช่างตีเหล็กจะไม่เข้าใจคำบรรยาย จึงวาดภาพร่างง่าย ๆ ประกอบด้วย จนกลายเป็นกระดาษปึกใหญ่
ซูซวงเพียงเหลือบมองเล็กน้อย แล้วค่อยส่งต่อให้ผู้ติดตามที่อ้าปากค้างอยู่ด้านหลังไปดำเนินการ
ในส่วนของสมุนไพรวิญญาณวิเศษนั้น เหล่าหัวหน้าผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถต่างก็แย่งหน้าที่กันรับผิดชอบ หวังจัดการให้รวดเร็วที่สุด พวกเขาต้องรีบจัดการให้เสร็จจะได้รีบกลับไป เผื่อว่าจะได้ชิมเนื้อสัตว์อสูรที่ยังไม่ได้ย่างเสียหน่อย
ถ้าหากว่าไม่เคยกินก็คงจะดี แต่ตอนนี้เมื่อได้กินไปแล้ว แม้จะเพียงชิ้นเดียว ทว่ารสชาติของมันกลับติดค้างอยู่ในใจ จนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเนื้อชิ้นนั้นมีสรรพคุณทางยาอย่างไร
“ถ้าหากมีแก่นปราณไฟก็สามารถปรุงได้ใช่หรือไม่?”
ซูซวงชี้ไปยังเนื้อสัตว์อสูรที่กำลังหมักอยู่ สีหน้าของนางไม่เย็นชาเช่นเดิมอีกแล้ว
“นับเป็นส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ แต่หากผู้ใดที่ไม่มีก็ให้ลองใช้ไฟจากสัตว์อสูรดูได้ ทว่า…”
หลิงเยว่เองก็ไม่กล้ารับปากว่าผู้อื่นจะสามารถเรียนรู้และทำมันได้สำเร็จ เพราะการเป็นแม่ครัวเอง ก็ต้องใช้พรสวรรค์ด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ได้มีแต่พรสวรรค์เท่านั้น ยังต้องคุ้นเคยกับสมุนไพรวิญญาณเป็นอย่างดี รวมถึงแม่นยำในเรื่องรสชาติของมันอีกด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทันใดนั้นเด็กสาวก็นึกขึ้นได้ ดูท่าแล้วเวลาหนึ่งปีคงจะน้อยเกินไปจริง ๆ หากเป็นห้าปีหรือสิบปีก็อาจจะดีเสียกว่า
แต่ถ้าหากไม่ได้ต้องการมีทักษะฝีมือมากนัก แล้วเน้นไปที่อาหารวิญญาณพิเศษที่มีสรรพคุณในการรักษาบาดแผล ห้ามเลือด ฟื้นฟูกายา และบำรุงกำลัง ก็จะง่ายกว่ามาก
หลิงเยว่กล่าวคำแนะนำกับซูซวง
“อืม… ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามความคิดของเจ้าก่อนเถิด”
“ท่านตกลงจะให้เวลาข้าหนึ่งปีเพื่อไถ่ตัวเองแล้วหรือเจ้าคะ?” ประกายในแววตาของหลิงเยว่เกือบทำให้ซูซวงตาพร่า
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเจ้า”
หญิงงามผู้นั้นไม่ได้รับปาก ทว่าหลิงเยว่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง
สัตว์อสูรห้าตัวที่กำลังหมักถูกแขวนกลางอากาศ โดยมีเปลวไฟเล็ก ๆ ลุกโชนอยู่เบื้องล่าง
“เอ๊ะ! พวกเจ้าได้กลิ่นหรือไม่?”
“ได้กลิ่นแล้ว หอมยิ่ง!”
“เฮ้อ… ข้าดันได้กลิ่นโอสถที่หอมสดชื่น… ไม่สิ มันคือกลิ่นเนื้อสัตว์ ช่างแปลกนัก”
“ท่านเจ้าเมืองกำลังย่างเนื้ออยู่ในจวนหรือ?”
คนที่เดินผ่านไปมาต่างถูกกลิ่นหอมเย้ายวนดึงดูดจนน้ำลายสอ ท้องที่เพิ่งอิ่มก็เหมือนจะหิวขึ้นมาอีกครั้ง
“เพียงดมกลิ่นก็รู้สึกมีพลังขึ้นมาถึงเพียงนี้!”
ผู้คนหลับตาพริ้ม พร้อมสูดกลิ่นหอมที่ลอยอบอวลในอากาศ
“เอ๊ะ! เจ้าเองก็รู้สึกอย่างนั้นหรือ?”
“นี่มันกลิ่นอายของเทพเซียนชัด ๆ! ต้องใช่แน่นอน!”
ด้วยเหตุนี้ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมือง จึงเต็มไปด้วยผู้คนธรรมดามากมายมารวมตัวกัน พวกเขายืนนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เพียงแต่หลับตาพริ้ม พร้อมสูดกลิ่นหอมอย่างเงียบ ๆ ปรากฏใบหน้าแช่มชื่นราวกับกำลังดมกลิ่นเทพเซียน
เหล่ายามเฝ้าประตูที่ยืนอยู่ถึงกับแสดงสีหน้าฉงน พวกเจ้าจะแสดงท่าทีเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือไม่ กลิ่นหอมนี้ยั่วยวนขนาดนั้นเลยหรือ?
เพิ่งคิดได้เช่นนั้น ท้องของชายร่างใหญ่ข้าง ๆ ก็ส่งเสียงดังขึ้น
เสียงท้องร้องของชายร่างใหญ่กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เหล่ายามเฝ้าประตูคนอื่น ๆ ที่พยายามกลั้นไว้กลับทนไม่ไหวเสียแล้ว และท้องของพวกเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
พวกเขาเพิ่งกินอิ่มไปเมื่อไม่นานมานี้เอง!
กลิ่นหอมนี้… คงมีพิษเป็นแน่!
เพียงแค่สูดดมกลิ่นมันยังไม่พอใจ หลายคนถึงกับนำข้าวออกมา แล้วใช้กลิ่นอันหอมกรุ่นที่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศเป็นเครื่องเคียง!
คนอื่น ๆ ที่รู้สึกหิวก็ทำตาม จนในที่สุดหน้าประตูจวนเจ้าเมืองก็กลายเป็นสถานที่รับประทานอาหารขนาดใหญ่
คนที่เดินผ่านไปมา “…”
คนเหล่านี้เกรงว่าจะเสียสติไปแล้วกระมัง
หลายคนที่แม้ในใจจะบ่นว่าผู้อื่นเสียสติ ทว่าสุดท้ายก็พากันหิ้วข้าวเข้ามากินแกล้มกลิ่นหอมกันมากมาย
พูดได้คำเดียวว่า… หอมจริง ๆ!