ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 105 อยู่ที่นี่เถิด แล้วมาเป็นอาหารของข้า

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 105 อยู่ที่นี่เถิด แล้วมาเป็นอาหารของข้า

บทที่ 105 อยู่ที่นี่เถิด แล้วมาเป็นอาหารของข้า

หลังจากตั้งใจแน่วแน่แล้ว ซูซวงก็สั่งให้คนของตนรวมพลทันที โดยผู้ที่อยู่ขั้นจินตานขึ้นไปจะถูกเกณฑ์ไปครึ่งหนึ่ง ทุกคนต่างสวมชุดดำไร้สัญลักษณ์ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าดำ ส่วนอาวุธคู่กายถูกเปลี่ยนเป็นดาบทั้งหมด

ดูจากท่าทีแล้ว… พวกเขาคงปล้นสะดมมาไม่น้อย ด้วยอาวุธครบมือ สายตาของเหล่าผู้บำเพ็ญที่เฉียบคม ความตื่นเต้นและความฮึกเหิมพลันเอ่อล้นออกมา

หลิงเยว่จะพลาดเรื่องน่าสนุกเช่นนี้ไปได้อย่างไร หากไม่ยอมให้ไปด้วย นางจะหยุดมือทันที!

ซูซวงไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ “ในตอนนั้นก็อย่าเดินห่างจากข้ามากนัก เพราะมีดดาบไร้ตา*[1]”

หลิงเยว่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย นางเปลี่ยนเป็นชุด ‘โจร’ เช่นเดียวกัน ด้วยรูปร่างเล็ก ๆ ของนางอยู่ท่ามกลางกลุ่มโจร นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก

กำลังพลกว่าสองร้อยคนถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม ก่อนพวกเขาจะปกปิดกลิ่นอายพลัง แล้วลอบเข้าโจมตีจากทิศทางต่าง ๆ มุ่งตรงไปยังสำนักอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในแดนเหนือ

วังขนาดใหญ่สีดำแดงตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลทราย ยามค่ำคืนกลับดูชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก คละเคล้าไปกับเสียงลมพัดทรายที่ราวกับเสียงคร่ำครวญของภูตผี

ฟู่…

เสียงที่ทำให้ผู้คนขนลุกซู่จนหลิงเยว่ต้องถูสองแขนของตน ทว่าไม่อาจบรรเทาความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมเข้ามาได้

ที่นี่เป็นสำนักจริง ๆ หรือ ดูแล้วเหมือนสุสานขนาดใหญ่เสียมากกว่า แล้วพวกเราตั้งใจจะมาปล้นสะดมที่นี่จริง ๆ น่ะหรือ?

หลังจากหมอบตัวอยู่นาน ก็ไม่อาจเห็นความเคลื่อนไหวด้านในได้เลย ไร้วี่แววทั้งเสียงและผู้คน ที่แห่งนี้ไม่ถือเป็นสุสานแล้วหรือ?

หากล่วงรู้ว่าจะต้องมาขุดสุสาน นางคงไม่มาย่างกรายด้วยเป็นแน่…

‘หัวหน้าโจร’ ซูซวง ผู้นำทัพได้ส่งสัญญาณโจมตี หลิงเยว่พร้อมกับกลุ่มคนเหล่านั้นก็ได้กระโดดขึ้นข้ามกำแพงเมืองเข้าไป ปรากฏให้เห็นภาพเหล่าศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วในกำแพงเมืองนั้น ทันทีที่เด็กสาวเห็นดังนั้นก็เกือบจะกรีดร้องออกมา ด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของศพที่ลอยมากับสายลมยิ่งทำให้สีหน้าของนางซีดเผือด และท้องไส้เองก็เกิดปั่นป่วนเช่นกัน

ชิ้นส่วนศพกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น คราบเลือดแห้งกรัง ดวงตาของร่างไร้วิญญาณต่างจ้องกลับมายังผู้คนบนกำแพง

“ราชานิกายอสุภะ… คงไปมีเรื่องกับผู้ที่มีฝีมือเก่งกล้าคนใดคนหนึ่งกระมัง จึงถูกกวาดล้างเสียจนสิ้นซากเช่นนี้ แต่กลับไม่มีข่าวคราวเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย!”

ซูซวงที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้นำกองทัพ’ มีสีหน้าหม่นหมอง พวกนางเดินทางมาไกลเพื่อหวังจะมาปล้นสะดม แต่กลับมีผู้มาถึงก่อนเสียได้ นี่มิใช่กลับกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไปแล้วหรือ!

“ตรวจดูว่ายังเหลือสิ่งของมีค่าใดอยู่ ขนกลับไปให้หมดเสีย!”

นางไม่ยอมกลับไปโดยที่ไม่ได้อะไรติดมือแน่!

หลิงเยวี่ยอดทนต่อความกลัวภายในจิตใจ ก่อนเดินเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่ ที่แห่งนี้กลับทำให้จิตใจของเด็กสาวเย็นเยียบยิ่งกว่าข้างนอกนั่นเสียอีก ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยซากศพเหี่ยวแห้ง ชิ้นส่วนของศพเน่าเปื่อยกระจัดกระจายไปทั่ว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนอดกลั้นอาการอาเจียนเอาไว้ไม่ไหว

ทว่าสภาพของที่แห่งนี้กลับทำให้หลิงเยว่นึกถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้านต้าสี่ หมอกดำที่จับตัวนางมายังที่แห่งนี้… เป็นฝีมือของผู้คนจากนิกายอสุภะใช่หรือไม่?

เพราะความคุ้นเคยที่นางกับซากศพแห้งนั้นมีต่อกันนั้นช่างรุนแรงนัก

เสียงของกระดูกแตกกังวานไปทั่วโถงอันเงียบสงัด ร่างของหลิงเยว่ที่ทรุดอยู่ข้างกำแพงกำลังอาเจียนด้วยความทรมาน ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจับข้อเท้านางไว้ ด้วยความตกใจ เด็กสาวจึงออกแรงเตะอย่างไม่ยั้งเท้า

เสียงกระดูกแตกดังก้องราวกับเป็นสัญญาณปลุกเหล่าซากศพแห้งที่ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ให้ลุกขึ้นยืน ราวกับพวกมันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!

นิกายอสุภะช่างน่ากลัวเสียจริง! ผู้บำเพ็ญร้องตะโกนโหวกเหวกพร้อมกับตวัดดาบฟาดฟัน

“พวกเราถูกหลอกอย่างนั้นหรือ!”

“เสี่ยวชิง รีบหนีกันก่อนเถิด!”

หญิงสาวร่างบางถูกชายร่างใหญ่แบกไว้บนบ่า ก่อนวิ่งรุดผ่านประตูออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทันทีที่เท้าของเขาพ้นประตู เหล่าซากศพที่นั่งนิ่งอยู่ด้านนอกก็ลุกขึ้นพร้อมกัน เสียงฝีเท้าของเขาคงปลุกพวกมันให้ตื่น จึงทำให้เหล่าซากศพค่อย ๆ หันกลับมามองยังห้องโถงใหญ่ด้วยนัยน์ตาที่ว่างเปล่า

ผู้บำเพ็ญพลันรู้สึกเย็นวาบ ต่างขนลุกชันด้วยความหวาดกลัว เมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาว่างเปล่านับร้อยนับพันเช่นนี้ ใบหน้าของเหล่าซากศพแห้งกรังเผยรอยยิ้มอย่างพร้อมเพรียง รอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความรู้สึก ไร้ซึ่งชีวิต รอยยิ้มของความตาย

พวกมันส่งเสียงหัวเราะพร้อมกัน ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น!

“เป็นไปไม่ได้ ศพพวกนั้นเหตุใดยังมีชีวิตอยู่เล่า?!”

“ท่านวางข้าลงเถิดเจ้าค่ะ!” หลิงเยว่ดิ้นเร่าบนบ่าของชายร่างใหญ่ พยายามจะพลิกตัวลงให้หลุดพ้นจากเขา และหันหลังให้

รอบข้างเต็มไปด้วยซากศพทั้งนั้น พวกเขาถูกล้อมไว้เสียแล้ว

“จะทำอย่างไรดี เราจะฝ่าออกไปได้หรือไม่?” ผู้บำเพ็ญที่อยู่ใกล้ ๆ พลันเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตน ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัว เพียงแต่สถานการณ์ตรงหน้าดูจะจัดการได้ยากเหลือเกิน

ซากศพที่เน่าเปื่อยที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นไม่ได้เคลื่อนไหว หรือประกอบร่างขึ้นมาใหม่เหมือนตอนที่หลิงเยว่เคยเจอที่หมู่บ้านต้าสี่ เพียงแต่มีหนอนสีเทาจำนวนมากชอนไชขึ้นมาจากชิ้นส่วนของศพเท่านั้น

ในชั่วพริบตา พื้นดินก็เต็มไปด้วยหนอนสีเทาจำนวนมาก หนอนเหล่านั้นไต่ขึ้นไปบนร่างของซากศพ ชอนไชผ่านทางปาก หู และจมูก ซากศพที่เดิมทีเคลื่อนไหวทื่อ ๆ กลับเริ่มเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมกันนั้นดวงตาเบ้าลึกสีดำก็กลับกลายเป็นสีแดง

หลิงเยว่และผู้บำเพ็ญที่มีแก่นปราณไฟ ต่างใช้ไฟโหมกระหน่ำไปทางซากศพและหนอนที่รุมเข้ามาพร้อม ๆ กัน

หนอนสีเทาที่ถูกไฟไหม้ส่งเสียกรีดร้องแหลมสูง

“ถอย!!”

เสียงคำสั่งถอยทัพของซูซวงดังออกมา ถึงแม้จะช้าแต่ทันเวลาพอดี

เดิมทีคิดว่าซากศพไร้วิญญาณ แม้จะมีจำนวนมาก แต่ด้วยพลังการต่อสู้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ทำให้หลังจากผ่านการโจมตีจากผู้บำเพ็ญและการใช้พลังในต่อสู้และฟาดฟันด้วยดาบ ซากศพเหล่านั้นจึงล้มตายไปบางส่วน หลังจากนั้นไม่นานพวกมันก็กลับมาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการพวกมันให้สิ้นไปจริง ๆ!

“รีบออกไปจากที่นี่กันเถิด! ที่นี่เลวร้ายเกินไป!”

ผู้บำเพ็ญต่างก็ฮึดสู้ ต่างฆ่าฟันเหล่าซากศพ ก่อนจะพากันวิ่งออกจากห้องโถงใหญ่ แล้วมุ่งหน้าไปทางประตู

หลิงเยว่ถูกคุ้มกันโดยมีกองกำลังอยู่ล้อมรอบ นางหันกลับไปมองเป็นระยะ ๆ รู้สึกราวกับว่าเหล่ากองกำลังถอยทัพออกมาได้ง่ายเกินไป หรือว่านี่จะเป็นกับดักอีกอย่างหนึ่ง?

ท่ามกลางความโกลาหล สายตาของหลิงเยว่ก็เหลือบไปเห็นซากศพแห้งกรังที่กำลังก้าวออกมาจากกองไฟอย่างเชื่องช้า ไร้ความรู้สึก แม้ร่างของซากศพจะถูกไฟเผา แต่ทั่วทั้งร่างนั้นกลับมีสีเหลืองทอง ไร้ซึ่งผิวหนังหรือเส้นผม เหลือเพียงโครงกระดูกที่เปลือยเปล่า ดวงตาของมันเป็นโพรงลึก ดำสนิท เมื่อสังเกตเห็นว่าหลิงเยว่กำลังมองมาที่ตน ซากศพสีทองก็หันมายิ้มให้นาง

“อยู่ต่อ แล้วมาเป็นอาหารให้ราชาของข้าเถิด!”

ซากศพสีทองเริ่มเอ่ยปาก แม้เสียงของมันจะฟังดูไม่ได้ระคายหู แต่สิ่งที่พูดนั้นกลับไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย

“โดยเฉพาะเจ้า…”

ร่างของศพสีทองหายวับไปในพริบตา แล้วเงื้อมือที่แห้งกรังคว้าเข้าหาหลิงเยว่

“เจ้าถามข้าแล้วหรือ?”

มือที่เหี่ยวแห้งถูกธนูทองคำที่พุ่งมาจากที่ไกล ๆ ดอกหนึ่งยิงทะลุแขนสีทองของมัน ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะถูกตรึงไว้ที่กำแพง

ทันใดนั้นซูซวงก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของหลิงเยว่ พร้อมกับถือคันธนูสีทองอร่ามคอยป้องกันเด็กสาวอยู่

หลิงเยว่เห็นดังนั้นก็โล่งใจเป็นอย่างมาก ทว่าเหตุใดจึงต้องเป็นนางอีกแล้ว

นางคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าตนเองไปทำให้ซากศพเดินได้เหล่านั้นโกรธแค้นตั้งแต่เมื่อใดกัน

“เจ้าพาเสี่ยวชิงออกไปจากที่นี่ก่อน ตรงนี้ยังมีข้าอยู่”

หลิงเยว่ไม่เข้าใจ แต่ซูซวงไม่เข้าใจยิ่งกว่า มีกองทัพมามากกว่าสองร้อยคน เหตุใดจึงหมายหัวเพียงแต่เสี่ยวชิง

“ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามออกไปจากที่นี่ทั้งสิ้น!”

ซากศพเดินได้สีทองที่แขนขาดไปข้างหนึ่งกำลังยิ้มน้อย ๆ อยู่อย่างนั้น แขนของมันที่ถูกตรึงไว้ที่กำแพงหลุดออกจากลูกธนู และกลับเข้ามายังร่างของมันเองในทันที

“หัวหน้า ที่นี่มีเขตอาคม”

เหล่าผู้บำเพ็ญส่วนหนึ่งที่วิ่งออกไปก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง

ตอนที่พวกเรามาถึงยังไม่มีเขตอาคมใด ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขตอาคมนั้น จะเริ่มทำงานตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้ามาในนิกายอสุภะ

ซูซวงยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น “เจ้าเป็นแค่ราชานิกายอสุภะที่พิการไปแล้วเท่านั้น! คิดว่าข้าจะยอมให้เจ้ากักขังข้าไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

ลูกธนูทองคำสามดอกถูกวางบนสายธนู ทั้งสามดอกพุ่งออกไปพร้อมกัน ลูกธนูดอกตรงกลางพุ่งผ่านซากศพจนมอดไหม้ราบไปกับพื้น ส่วนอีกสองดอกแยกไปทางด้านซ้ายและด้านขวา

เร็วเกินไป หลิงเยว่เห็นเพียงแสงสีทองสองสายพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ส่วนดอกตรงกลางก็พุ่งเข้าใส่ซากศพสีทองที่ประตูเมืองแล้ว

โครม! โครม!

วังที่อยู่ตรงหน้าถูกธนูยิงจนราบเป็นหน้ากลอง เขตอาคมที่ปกคลุมพวกเขาอยู่ก็เปล่งแสงสีทองจ้า ขณะเดียวกันนั้นพื้นดินเบื้องล่างก็เริ่มสั่นสะเทือน

แข็งแกร่งและสง่างามมาก!

หลิงเยว่จ้องมองหลังของซูซวง แสงแห่งความชื่นชมเปล่งประกายในดวงตาของเด็กสาว

เมื่อใดที่นางจะสง่างามแบบนี้บ้างนะ

“ท่านผู้นำ ช่างยอดเยี่ยมนัก!”

“ฮ่า ๆ แค่ซากศพแห้งกรังเช่นเจ้า ยังกล้ามาต่อกรกับพวกข้าหรือ!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเชิดชู ใบหน้าของซูซวงกลับเย็นชาและเคร่งขรึม ไร้ซึ่งความยินดีใด ๆ

[1] มีดดาบไร้ตา เป็นสำนวนภาษาจีน หมายถึง อาวุธนั้นไม่เลือกหน้า ใครอยู่ใกล้ก็อาจได้รับบาดเจ็บ

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท