แต่ไป๋หลี่ซ่างเสียกลับไม่คิดที่จะปล่อยมือจากเขา แล้วบอกเพียงว่า ”ส่งมือมา เราต้องจับมือกันเอาไว้เวลาเดิน ไม่ต้องรีบ รถไฟยังไม่ออกหรอก” ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ รถไฟจะเคลื่อนขบวนได้ก็ต่อเมื่อเขาต้องการเท่านั้น
เสี่ยวชิงเฉิงไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะยื่นมือออกไป เด็กตัวน้อยทั้งสองจับมือกันอีกครั้งขณะก้าวเท้าเล็กๆ ออกไป ตอนแรกทุกอย่างก็ปกติดี...
แต่นาทีที่พวกเขาเข้ามาในขบวนรถ ไป๋หลี่ซ่างเสียก็พบว่าเขายากจะขยับตัวเดินหน้าต่อได้ เด็กชายเลียริมฝีปากพลางกวาดตามองมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพึมพำขึ้นมาเบาๆ ว่า ”อาหารเต็มไปหมด”
เสี่ยวชิงเฉิงถึงกับพูดไม่ออก…
“นายกินพวกเขาไม่ได้นะ อดทนอีกหน่อย แล้วฉันจะซื้อข้าวกล่องให้กิน ฉันเคยเห็นในทีวีว่าบนรถไฟมีข้าวกล่องขาย” เสี่ยวชิงเฉิงพูดอย่างหนักแน่นแล้วจับมือไป๋หลี่ซ่างเสียไว้ นี่เป็นการขึ้นรถไฟครั้งแรกของเขาเหมือนกัน ปกติพวกเขามักเดินทางโดยใช้เครื่องบิน ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับมันเช่นกัน
แต่การยืนอยู่ท่ามกลางอาหารมากมายย่อมต้องใช้การควบคุมตัวเองอย่างมหาศาล ไป๋หลี่ซ่างเสียหันไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างอยู่ไม่สุขพร้อมกับเอ่ยว่า ”ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันกินคนไป นายยังไม่เห็นว่าอะไรเลย”
“นั่นมันคนละเรื่อง คนพวกนั้นเป็นนักค้ามนุษย์ นายจะกินสักกี่คนก็ตามใจ” เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่ซ่างเสียยังยืนนิ่ง เสี่ยวชิงเฉิงจึงจำเป็นต้องออกแรงลากตัวเขาออกมา
ไป๋หลี่ซ่างเสียยังดูสับสนอย่างมาก เขาถามขึ้นว่า ”พวกมันก็เป็นไส้กรอกหมูเหมือนกันหมด ต่างกันตรงไหน”
“คงมีแต่นายคนเดียวนั่นแหละที่คิดว่ามนุษย์เป็นไส้กรอกหมู” เสี่ยวชิงเฉิงถอนหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วเสริมว่า ”คนที่อยู่ที่นี่เป็นแค่คนธรรมดา นายห้ามทำร้ายพวกเขาเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ” ท่านพ่อของเขาไม่เห็นเคยบอกเขาเลยว่าอะไรที่เขาควรกิน เดี๋ยวสิ จะว่าไปเขาก็เคยบอกว่าห้ามกินของสกปรก เขาบอกว่ามันเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหารของพวกปีศาจ แต่จากที่เขาเห็น คนที่อยู่ตรงหน้าเขาพวกนี้ยังสดและไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นทำไมเขาถึงจะกินพวกเขาไม่ได้ล่ะ
“เพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้านายฆ่าพวกเขา นั่นย่อมหมายความว่านายทำความผิด และถ้าเป็นอย่างนั้นละก็…” เสี่ยวชิงเฉิงเงียบไปกะทันหัน แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผากเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเล็กพร้อมกับพูดต่อ ”ทำไมฉันถึงต้องมาเถียงกับนายเรื่องนี้ด้วยนะ”
อมนุษย์ตนนี้ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอย่างเห็นได้ชัด ในสายตาของเขานั้น นักค้ามนุษย์และคนธรรมดาไม่ได้มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย พวกเขาล้วนแต่เป็นแค่ไส้กรอกหมูสำหรับเขา บางทีความแตกต่างเล็กน้อยเพียงอย่างเดียวที่มีอาจจะเป็นยี่ห้อของแต่ละคนก็ได้
“ฉันหิวแล้ว” ไป๋หลี่ซ่างเสียดูเย็นชาอย่างมากตอนที่พูดคำสองคำนี้กับเสี่ยวชิงเฉิง ดวงตาของเขาหรี่ลงด้วยความไม่พอใจ และเตรียมพร้อมที่จะจัดการมนุษย์ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดทันที
เสี่ยวชิงเฉิงรีบดึงเขากลับมาแล้วเดินเตาะแตะไปหาพนักงานบนรถไฟที่กำลังเข็นขนมเข้ามาขาย เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า ”พี่สาว พี่มีช็อกโกแลตขายไหมครับ ผมขอซื้อหน่อยสิ”
หายากทีเดียวที่จะได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ มาซื้อขนมด้วยตัวเองเช่นนี้ ดังนั้นพนักงานบนรถไฟคนนั้นจึงตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ในไม่ช้าเธอก็ตั้งสติได้ แล้วตอบพร้อมกับยิ้มหวานว่า ”แน่นอนว่าต้องมีสิจ๊ะ เรามีช็อกโกแลตยี่ห้อโดฟขายอยู่ ราคาแท่งละสิบหยวน”
“ถ้าอย่างนั้นเอาสองแท่งครับ” เสี่ยวชิงเฉิงควักเงินในกระเป๋าเล็กๆ ของตัวเองออกมาจนเจอธนบัตรห้าสิบหยวน เขาใช้แขนเล็กๆ ของตัวเองยื่นมันออกไปให้เธอ
ทันทีที่ไป๋หลี่ซ่างเสียได้ยินคำว่า ’ช็อกโกแลต’ เขาก็เลิกสนใจ ’ไส้กรอกหมู’ จำนวนนับไม่ถ้วนนั้น เขาจะกินเจ้าพวกนี้ตอนไหนก็ได้ ดังนั้นดวงตาของเขาจึงเปลี่ยนไปจับจ้องอยู่ที่ช็อกโกแลตในมือของเสี่ยวชิงเฉิงแทน
เสี่ยวชิงเฉิงไม่ค่อยถนัดเรื่องการแกะห่อขนมนัก แม้จะผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่สามารถแกะห่อช็อกโกแลตที่ถืออยู่ในมือเล็กๆ ของตัวเองได้
ไป๋หลี่ซ่างเสียหาที่นั่งว่างแล้วช่วยเสี่ยวชิงเฉิงขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นจึงแกะช็อกโกแลตทั้งสองแท่งออก แท่งหนึ่งให้ตัวเอง ส่วนอีกแท่งป้อนให้เสี่ยวชิงเฉิง
หลังจากกินช็อกโกแลตหมดไปครึ่งหนึ่ง ไป๋หลี่ซ่างเสียจึงนึกขึ้นได้ว่าร่างกายมนุษย์นั้นแตกต่างจากเขา ดังนั้นเขาจึงดึงช็อกโกแลตของเสี่ยวชิงเฉิงกลับมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”เด็กๆ ไม่ควรกินช็อกโกแลตมากเกินไป”
คนที่อยู่รอบตัวพวกเขาพากันหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้
“เด็กคนพี่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่ตัวเองก็ยังเป็นเด็กอยู่เลย”
อันที่จริงเสี่ยวชิงเฉิงยังอยากกินช็อกโกแลตอยู่ แต่เขารู้ว่าถ้าเขายังกินต่อ หลังจากนี้เขาจะต้องปวดฟันแน่นอน ดังนั้นเขาจึงพยายามอดทนต่อความทรมานนั้นพร้อมกับมองช็อกโกแลตที่กินหมดไปครึ่งหนึ่งนั้นอีกครั้ง
ไป๋หลี่ซ่างเสียกลืนช็อกโกแลตทั้งแท่งลงปากในครั้งเดียว เสียงของเขายังคงเย็นชาขณะที่กล่าวว่า ”เราต้องตามหาตัวผู้ชายคนนั้น”
“อืม” เสี่ยวชิงเฉิงลูบกระเป๋าเล็กๆ ของตัวเอง จากนั้นจึงเดินตามหลังไป๋หลี่ซ่างเสียไปติดๆ
ตอนนี้รถไฟออกจากสถานีมาได้ประมาณสิบนาทีแล้ว นักค้ามนุษย์นึกไม่ถึงว่าไป๋หลี่ซ่างเสียกับเสี่ยวชิงเฉิงจะตามเขาขึ้นมาบนรถไฟ และคิดว่าปัญหานี้คงคลี่คลายลงแล้ว เขาจึงเอนตัวพิงตู้โดยสารแล้วยกมือขึ้นจับท้ายทอยตัวเองพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมา
ความแตกต่างของเครื่องบินกับรถไฟความเร็วสูงคือรถไฟอนุญาตให้สูบบุหรี่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นกลุ่มคนรวมตัวกันสูบบุหรี่ที่ตู้เสบียง
นักค้ามนุษย์ไม่ได้ซื้อตั๋วที่นั่ง เหตุการณ์ดวงซวยที่เกิดขึ้นติดต่อกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เขาตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถประจำทางตรงเข้าเมืองอวิ๋นกุยทันทีที่ลงจากรถไฟ จากนั้นถึงค่อยขึ้นรถไฟที่จะมีการซื้อขายเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเด็กไปด้วย การขึ้นรถประจำทางย่อมเป็นทางที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตรวจสอบได้
เหตุการณ์ในโรงแรมเล็กๆ แห่งนั้นน่าจะพอปิดบังได้สักระยะหนึ่ง แต่ไม่มีทางที่การตายของผู้หญิงในสถานีรถไฟแห่งนั้นจะรอดพ้นจากสายตาของผู้คนมากมายไปได้ ตำรวจจะต้องไปถึงที่นั่นภายในเวลาไม่ถึงวันแน่
ทันทีที่เขาทำการตกลงธุรกิจเสร็จ เขาจะหนีออกจากประเทศทางชายแดนยูนนาน ไม่อย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเจออันตรายอะไรอีก…
หลังจากคิดได้ดังนั้น นักค้ามนุษย์ก็ต่อยผนังข้างตัวด้วยความเดือดดาล แต่โชคดีที่เขายังอยู่ในห้องน้ำ เขามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้ววักน้ำเย็นจัดใส่หน้า ก่อนจะโทรหาใครคนหนึ่งแล้วพูดกับอีกฝ่ายว่า ”หัวหน้า มีคนตายไปอีกคนแล้ว สินค้าหรือครับ ผมไม่ได้พาสินค้ามาด้วย ผมมีลางสังหรณ์ว่าไอ้เด็กเหลือขอสองคนนั้นมันเป็นตัวหายนะ พวกมันผิดปกติเกินไป! ใช่ครับ ตอนนี้ผมอยู่บนรถไฟ น่าจะไปถึงในอีกสามชั่วโมง สินค้าชิ้นอื่นยังอยู่ที่เดิมครับ หลังจากนี้ผมจะสั่งให้คนเคลื่อนย้ายพวกมันไปขึ้นรถไฟ”