ตอนที่ 888 ในที่สุดก็ถอนหมั้น
ไม่กี่วันถัดมา หลินม่ายโทรหาไป๋ลู่และถามว่าไป๋เซี่ยถอนหมั้นได้โดยราบรื่นหรือไม่
เธอกังวลว่าเฝิงเยว่จู๋จะเหยียบเรือสองแคม และเรือทั้งสองลำก็ล่มโดยสมบูรณ์ มันจึงน่าเป็นห่วงมากว่าตระกูลเฝิงจะปฏิเสธที่จะยกเลิกการหมั้น
ไป๋ลู่ตอบกลับทางโทรศัพท์ “เธอเดาถูกแล้วล่ะ พ่อพาพี่ใหญ่ไปถอนหมั้นกับเฝิงเยว่จู๋ที่บ้านตระกูลเฝิง แต่อาวุโสตระกูลเฝิงไม่ยินยอม คุณแม่เฝิงยังตบหน้าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของหล่อนเอง หล่อนเป็นคนบังคับให้เฝิงเยว่จู๋ไปนัดบอดกับผู้ชายคนนั้นทั้งที่เฝิงเยว่จู๋ไม่อยากไปและรักพี่ชายของพวกเราหัวปักหัวปำ ฉันคงบอกเธอทั้งหมดไม่ได้ว่าคำพูดเหล่านั้นน่ารังเกียจขนาดไหน กลัวว่าสิ่งที่เธอกินทั้งหมดเมื่อคืนนี้มันจะขย้อนออกมาน่ะสิ”
“แล้วเฝิงเยว่จู๋ทำยังไงล่ะ?” หลินม่ายถามอย่างอยากรู้
“หล่อนก็ร้องไห้อย่างน่าสมเพช ขอร้องให้พี่ใหญ่ยกโทษให้ การที่หล่อนทำอย่างนี้ พี่ชายของพวกเราอาจจะยอมใจอ่อน แต่การที่หล่อนตำหนิเธอทำให้ฉันถึงกับทนไม่ได้”
หลินม่ายตกตะลึง “หล่อนจะโทษอะไรฉันได้ล่ะ? ฉันไม่ได้บอกให้เธอไปนัดบอดกับคนพวกนั้นนี่”
“หล่อนบอกว่าหล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้น เป็นเธอที่พูดจาเกินจริงต่อหน้าพี่ชายและพวกเรา แต่พี่ชายของเราตอบกลับไปว่าเธอไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่บอกว่าหล่อนนัดบอดกับชายอื่นเท่านั้น”
“แล้วเป็นยังไงต่อ?”
“หลังจากนั้นคุณแม่เฝิงก็เอาแต่พูดพล่ามว่ามันไม่เกี่ยวกับลูกสาว ถ้าอยากจะตำหนิใครสักคนก็ให้โทษหล่อนได้เลย เพราะยังไงแล้วหล่อนก็ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกการแต่งงาน ในที่สุดพ่อของเราก็พูดขึ้นว่าไม่ว่าใครในครอบครัวของหล่อนจะผิด แต่เวลานี้เฝิงเยว่จู๋กลับออกไปนัดบอดกับผู้ชายอื่นทั้งที่กำลังจะแต่งงานกับพี่ชายของเรา มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดงานแต่งงานต่อไป คราวนี้เฝิงเยว่จู๋ออกไปนัดบอดเพราะแม่เฝิง หลังจากนั้นถ้าหล่อนแต่งงานกับพี่ชายของพวกเราแล้ว แม่เฝิงอยากจะให้หล่อนแต่งงานใหม่ หล่อนก็จะหนีไปแต่งงานใหม่อย่างนั้นหรือ?! การแต่งงานคราวนี้จึงจำต้องยกเลิกเด็ดขาด เพราะถ้าตระกูลเฝิงไม่ยินยอม พ่อของเราจะไปที่สหพันธ์เพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ ตอนนี้แหละที่ตระกูลเฝิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอนหมั้น แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะคืนของหมั้นทั้งหมด โดยบอกว่าเป็นฝ่ายเราที่คิดถอนหมั้นก่อน ของหมั้นทั้งหมดจึงเป็นค่าเสียหายสำหรับเฝิงเยว่จู๋”
หลินม่ายตอบกลับ “ตระกูลเฝิงโลภมากอย่างน่าเกลียดจริง ๆ ถ้าสิ่งที่เฝิงเยว่จู๋กล่าวถูกต้อง และเป็นครอบครัวของเราที่ยุติการหมั้น แน่นอนว่าพ่อจะต้องปล่อยให้สินสอดเหล่านั้นเป็นค่าเสียหายสำหรับตระกูลเฝิงโดยไม่เรียกร้องกลับคืน แต่เห็นชัดว่าตระกูลเฝิงเป็นฝ่ายผิด ครอบครัวของเรายังไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ แต่พวกเขากลับกล้าที่จะเรียกร้องค่าเสียหายงั้นหรือ? ทำไมพวกเขาถึงได้ละโมบเช่นนั้น? แล้วพ่อทำยังไง? ได้สินสอดกลับมาไหม?”
“ใช่ เอากลับมาด้วย ไม่ใช่แค่สินสอดและทองสามอย่างเท่านั้น แต่ยังมีเสื้อผ้าที่เคยมอบให้กับเฝิงเยว่จู๋ด้วย”
เมื่อไป๋ลู่กล่าวออกมาอย่างนั้น หล่อนก็โห่ร้องด้วยความยินดี “พวกเขาคิดจะต่อสู้กับพ่อ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาอ่อนด้อยกว่านัก พ่อมีเป็นพันวิธีที่จะทำให้พวกเขาคายสิ่งที่อมไว้ออกมา เสียดายที่เธอไม่ได้เห็นว่าตระกูลเฝิงเจ็บใจแค่ไหนตอนที่ต้องคืนสินสอดทั้งหมด โดยเฉพาะเฝิงเยว่จู๋ ตอนที่หล่อนหยิบเสื้อผ้าออกมา หล่อนแทบจะร้องไห้จนหน้าเบี้ยว อีกทั้งยังพูดกับพี่ชายของพวกเราว่าเสื้อผ้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่หล่อนชื่นชอบ ต่อให้เขาต้องการเอากลับคืนไป ก็ไม่มีใครในครอบครัวเราจะสวมใส่ได้ เธอรู้ไหมว่าพี่ชายเราตอบยังไง?”
“ยังไงเหรอ พี่เราตอบว่ายังไง?” หลินม่ายรีบถามอย่างให้ความร่วมมือ
“พี่ของเราตอบว่า ถ้าเสื้อผ้าเหล่านี้ไม่มีใครอยากได้จริง ๆ เขาก็นำมันไปมอบให้กับคนที่ต้องการได้ ทำไมเขาจะต้องทิ้งมันไว้กับผู้หญิงที่คิดมีชู้ด้วย? ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้น เฝิงเยว่จู๋ร้องไห้ด้วยความโกรธจัดเลยล่ะ”
หลินม่ายสับสน “พี่ของเราก็พูดถูกแล้ว หล่อนจะร้องไห้ทำไมน่ะ?”
“บางทีฉันคิดว่าพี่ชายของเราน่าจะไม่สนใจความรักก่อนหน้านี้แล้ว ต่อให้เป็นเสื้อผ้าก็ต้องเอากลับคืนทั้งหมด ความจริงแล้วพ่อคงไม่คิดจะเอาเสื้อผ้าพวกนั้นกลับคืนมาหรอก แต่เป็นเพราะตระกูลเฝิงที่ทำเรื่องให้บานปลายใหญ่โต พอพ่อโกรธ ทุกอย่างเลยเป็นไปอย่างนี้”
หลินม่ายเข้าใจทันที “ในที่สุดก็เลิกกันได้สักที ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องจัดการกับพวกเขาอีก”
“เธอก็คิดใช่ไหมว่าพ่อสุดยอดมาก!”
หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเขาทั้งหมดเลิกต่อกันแล้ว แต่ทำไมตระกูลเฝิงยังสร้างปัญหาได้อีกล่ะ?”
ไป๋ลู่เอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ก็เพราะพวกเขาเลิกกันแล้วนี่แหละ แม่เฝิงเลยไปที่มหาวิทยาลัยของพี่ชายและโวยวายยกใหญ่ บอกว่าพี่ชายของพวกเราไปล้อเล่นกับความรู้สึกของลูกสาวตัวเอง และยืนยันให้พี่ชายรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด ที่น่าหงุดหงิดคือเฝิงเยว่จู๋ไม่เพียงแต่ไม่อธิบายเท่านั้น แต่ยังรวมหัวกับพ่อแม่ตัวเองทำผิดต่อพี่ชายจนทำให้พี่ชายเกือบจะถูกลงโทษด้วย”
“แล้วพี่ชายแก้ไขเรื่องนี้ได้ยังไง? ใช้เงินแก้ปัญหาเหรอ?”
แม้ในทศวรรษที่ 1980 จะไม่มีใครเข้าใจคำว่าใช้เงินแก้ปัญหา แต่ไป๋ลู่จดจำคำแปลก ๆ จากหลินม่ายได้ และหล่อนก็เข้าใจมัน
“ใช่ พ่อหลอกตระกูลเฝิงว่าตราบใดที่พวกเขาไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อถอนคำพูด พ่อจะให้เงิน 10,000 หยวนกับพวกเขา แน่นอนว่าครอบครัวนั้นโลภมาก เมื่อได้ยินว่าตัวเองจะได้รับเงิน พวกเขาทั้งหมดก็รีบแจ้นไปอย่างรวดเร็ว และชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่สุดท้ายก็มารู้ภายหลังว่าถูกหลอก พ่อพูดคุยกับตระกูลเฝิงในอีกห้องหนึ่งและให้คณบดีลอบฟังในอีกห้องหนึ่ง เมื่อความจริงทั้งหมดปรากฏ ก็ไม่มีประโยชน์ที่ตระกูลเฝิงจะใส่ร้ายพี่ชายของเราได้ และเงิน 10,000 หยวนที่พ่อพูดก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นโมฆะ ชื่อเสียงของตระกูลเฝิงยิ่งย่ำแย่ ฉันได้ยินว่าขนาดเพื่อนบ้านของพวกเขาก็ไม่คิดจะแนะนำให้เฝิงเยว่จู๋รู้จักกับใครเลยล่ะ”
หลินม่ายไม่คิดมาก่อนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วัน
หลังจากคุยโทรศัพท์กับไป๋ลู่แล้ว หลินม่ายลังเลสักครู่ก่อนจะโทรหาทังอี้และเตือนเขาว่าอย่าทำอะไรที่ไม่ดี หรือทำร้ายภรรยาของตนเอง
หากความสัมพันธ์มันไปต่อไม่ได้ก็เพียงหย่าร้างกัน จะไปคบชู้ให้มันได้อะไรขึ้นมา?
ทังอี้ได้รับโทรศัพท์จากหลินม่ายก็คิดว่าหลินม่ายจะพูดคุยกับเขาเรื่องการทำงาน แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัว
ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความอับอาย
เวลานี้เขาไตร่ตรองอยู่นานและวางแผนจะกลับไปหาครอบครัว
ไม่ว่าเหลยซิ่งจะแย่แค่ไหน แต่หล่อนก็ให้กำเนิดบุตรชาย ดูแลงานบ้าน ประหยัด อดออม ไม่เต็มใจที่จะดื่มหรือกินอย่างมีความสุข ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ยากเย็นสำหรับเขา
หลังจากเลิกงานในช่วงบ่าย ทังอี้ปั่นจักรยานไปที่บ้านเก่าหลังหนึ่งและเคาะประตูบ้านสักพัก
บุคคลที่เปิดประตูคือผู้หญิงหน้าตาธรรมดาไว้ผมหางม้าที่หลินม่ายเคยพบเจอก่อนหน้านี้
ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าหลิวเซียนฉิน เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้นและเป็นรักแรกของทังอี้
น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกัน และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแต่งงาน
สามีของหลิวเซียนฉินเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว และหลิวเซียนฉินพาลูกสาวตัวน้อยไปซื้อถ่านหิน
ขณะที่หล่อนกำลังลำบากลากรถเข็นถ่านที่เพิ่งซื้อจากร้านค้าถ่านของรัฐเดินไปตามถนน ทังอี้เข้าช่วยเหลือหล่อนอย่างมีน้ำใจ
เมื่อหลิวเซียนฉินหันกลับมาเพื่อขอบคุณ ทั้งสองก็พลันจดจำกันและกันได้
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มต้นด้วยความบริสุทธิ์ เวลานี้ทังอี้รู้ว่าหลิวเซียนฉินเป็นผู้หญิงที่มีลูกแล้ว การใช้ชีวิตของหล่อนคงจะยากลำบากไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมา เวลานี้เขาจึงช่วยเหลือทำงานหนักให้หล่อนบ้างเป็นครั้งคราว
แต่ความใจร้ายของภรรยาที่ทังอี้ได้พบเจอก่อนมาที่บ้านของหลิวเซียนฉินทำให้เขาเมามายไม่ได้สติ
เขาถลำลึกมีสัมพันธ์กับหล่อนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ และทั้งสองกลายเป็นคู่รักที่หลบซ่อน
เมื่อหลิวเซียนฉินเห็นทังอี้กลับมา หล่อนยกยิ้มกว้างก่อนจะพาทังอี้เข้ามาในบ้าน “คุณไม่ได้มาที่นี่ตั้งหลายวัน หลิงหลิงคิดถึงคุณมากเลยค่ะ หล่อนถามตลอดเลยนะว่าทำไมลุงทังถึงไม่มา?”
หลิงหลิงเป็นลูกสาวของหลิวเซียนฉิน
ทังอี้เดินเข้าไปในบ้านก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วตะโกนว่า “หลิงหลิงอยู่ไหน?”
“หล่อนน่าจะออกไปเล่นข้างนอก ตอนคุณมาที่นี่เห็นหล่อนไหมคะ? ฉันจะออกไปตามหล่อน”
หลิวเซียนฉินกำลังจะออกไป แต่เป็นทังอี้ที่หยุดหล่อนเอาไว้ “ฉันมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับเธอสักคำสองคำน่ะ”
เมื่อเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป หลิวเซียนฉินถามออกไปอย่างจริงจัง “คุณกำลังจะพูดอะไร?”
ทังอี้เงียบอยู่นาน สุดท้ายเขาพูดขึ้นว่า “เรา… เลิกกันเถอะนะ…”
หลิวเซียนฉินปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
หล่อนไม่โวยวายอะไรเลย เพียงพยักหน้าตอบ “ค่ะ”
ทังอี้เงยหน้าขึ้นถาม “คุณจะไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าทำไม? คุณไม่โกรธ ไม่เกลียดผมเหรอ?”
หลิวเซียนฉินก้มหน้าลงก่อนจะตอบว่า “ไม่โกรธหรอกค่ะ ฉันเองก็สมยอมเหมือนกัน อีกอย่างพวกเรากำลังทำผิดมาก ทำผิดศีลธรรมอย่างถึงที่สุด”
ทังอี้หยิบเงินหลายสิบเหรียญออกจากกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เมื่อทังอี้กลับมาถึงบ้าน เขายังคงได้รับการต้อนรับจากเหลยซิ่งผู้เป็นภรรยาเช่นเคย หล่อนยังคงวิจารณ์และเยาะเย้ยเขาไม่จบสิ้น
อาหารที่เย็นชืดทำเขาหมดอารมณ์
แม้เมืองหลวงที่เขาอยู่อาศัยจะเป็นภาคเหนือ แต่การทำอาหารของคนในแถบนี้ก็ไม่ได้ประณีตเช่นทางตอนใต้
มันไม่เหมือนกับจับฉ่ายที่ปรุงด้วยผักกาดขาว หัวไชเท้า และเต้าหู้ในหม้อเดียวกันเพื่อประหยัดน้ำมัน สิ่งนี้สมควรถูกเรียกว่าอาหารหมูเสียมากกว่า
ทำแยกเป็นสามจานไม่ได้หรือ?
แม้เขาจะรู้สึกหิวมาก แต่ทังอี้กลับไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย
ผลลัพธ์ของเรื่องนี้คือเขาไม่ได้กินข้าวเย็นสักคำ แถมยังโดนภรรยาตำหนิไม่หยุดหย่อน
ทังอี้ยืนอยู่ที่ระเบียง เขายืนสูบบุหรี่พร้อมปล่อยจิตใจล่องลอยไป รู้สึกได้ว่าการตัดสินใจกลับมาหาครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ผิด
หรือเขาควรจะหย่าร้างแล้วอาศัยอยู่กับหลิวเซียนฉินอย่างเปิดเผยจะดีกว่า?
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีแล้วค่ะที่ถอนหมั้นกับเยว่จู๋ได้สักที ครอบครัวนั้นดูเหมือนปลิงมากเกินไป
ทังอี้ก็ควรจะหย่ากับภรรยานะคะ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีของตัวเอง หย่าแล้วส่งค่าเลี้ยงดูทุกเดือนก็ได้ อะไรที่เป็นพิษเกินไปก็ตัดออกซะ อยู่กับภรรยาประสาทเสียแบบนี้นานวันเข้าเดี๋ยวจะกลายเป็นบ้าไปอีกคน
ไหหม่า(海馬)