ตอนที่ 10 องครักษ์ของจักรพรรดิ
ชางอู๋ซินก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทีที่องอาจ และสง่างาม จากนั้นจึงเดินเข้าไปยังเขตของวังหลวงที่ทุกคนต่างชื่นชม
วังหลวงแห่งนี้เป็นสิ่งที่มีความงดงามราวกับว่า มันเป็นแดนสวรรค์ที่ผู้คนธรรมดามิสามารถจินตนาการได้
อิฐและหินทุกก้อนนั้น เมื่อมองแล้ว ทำให้รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และอลังการ
ขณะที่ทหารองครักษ์ประจำการอยู่ด้านหน้า มีเหล่าขันทีและสาวใช้ในวังยืนเรียงแถว พร้อมกับโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ
เหล่าขันทีทำท่าทีเหมือนกับว่ามิเต็มใจที่จะโค้งคำนับให้กับชางอู๋ซิน
และเมื่ออู๋เหว่ยได้เห็นท่าทีเหล่านั้น ความโกรธเคืองก็ได้ฉายผ่านดวงตาของนางในทันที
แต่อู๋เหว่ยทราบดีว่า หากองค์รัชทายาทมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา นั่นหมายความว่าเขามิได้แยแสต่อสิ่งเหล่านั้น
นอกจากนี้แล้ว พวกเขากำลังอยู่ในวังหลวง ความประพฤติของอู๋เหว่ยจะสะท้อนถึงองค์รัชทายาทได้
ดังนั้นนางจึงมิควรที่จะหุนหันพลันแล่น ซึ่งมันจะส่งผลให้ผู้เป็นนายต้องเดือดร้อน
ชางอู๋ซินมิได้แยแสกับการโดนดูถูก และเหยียดหยามที่ถูกแสดงออกมาทางสีหน้าของผู้คนเหล่านี้
นางอาจจะมีบัญชาให้ฆ่าพวกเขาทิ้ง หากพวกเขาอยู่ในตำหนักของนาง แต่ตอนนี้มิใช่
แม้ว่าชางอู๋ซินจะเอาแต่ใจตนเอง แต่ก็มิได้ต้องการให้ผู้คนเคารพ แค่พวกเขามิเข้ามารบกวนนางก็เพียงพอแล้ว
แต่ในขณะที่ชางอู๋ซิน กำลังจะก้าวเดินเข้าไปภายในเขตวังหลวง องครักษ์ด้านนอกกลับห้ามมิให้อู๋เหว่ยติดตามเข้าไปด้วย
“มิอนุญาตให้สาวใช้เข้าไปภายในเขตวังหลวง!”
องครักษ์ชักดาบออกจากฝักด้วยความรวดเร็วทันที
แม้แต่ท่านอำมาตย์ที่มีตำแหน่งใหญ่โตก็ยังมิได้รับอนุญาตให้เข้าวังหลวง
นับประสาอันใดกับสาวใช้ที่ไร้หัวนอนปลายเท้า และยังมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้
อู๋เหว่ยหยุดนิ่งราวกับรูปปั้น เพราะหากขยับแม้เพียงเล็กน้อย ดาบเหล่านั้นอาจจะจ้วงแทงเข้ามาที่คอหอยของนางในทันที
องค์รัชทายาทมีคู่มือเกี่ยวกับทักษะที่หายากมากมาย แต่อู๋เหว่ยมิทราบว่า เขามีฝีมือมากเพียงใด
แม้ว่าอู๋เหว่ยจะต้องตายที่นี่ในวันนี้ ตราบใดที่องค์รัชทายาทมิได้ออกคำสั่ง นางก็จะมิทำสิ่งใด
“เจ้ากล้าออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเช่นนั้นหรือ?”
รังสีเยือกเย็นแผ่ออกมาจากร่างของชางอู๋ซินทันที
การกล่าวนี้ เยือกเย็นยิ่งกว่าธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือเสียอีก
ความโกรธแค้นที่กำลังฉายแววอยู่ภายใต้ดวงตาสีดำอำมหิตของนาง ทำให้ทหารที่อยู่รอบข้าง เกิดความกลัวจนมีอาการตัวสั่นสะท้าน
แม้แต่อู๋เหว่ยก็ยังอยู่ในอาการตกตะลึงกับบรรยากาศที่บีบคั้นเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ต่างก็ต้องยอมเชื่อฟังเพราะความหวาดกลัว
องครักษ์ของจักรพรรดิมองไปยังองค์รัชทายาทด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมากอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน
ท่าทางขององค์รัชทายาทช่างมีความคล้ายคลึงกับฝ่าบาทยิ่งนัก มิมีใครแพ้ใคร และทั้งคู่ต่างก็มีรังสีอันเยือกเย็นที่แม้แต่เจ้าป่าก็ยังกลัวเกรง
แต่องครักษ์ก็ยังคงต้องทำตามหน้าที่ พวกเขาจะปล่อยให้สาวใช้ที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้เข้าสู่วังหลวงได้อย่างไรกัน?
แม้ว่าฝ่าบาทจะมิตำหนิองค์รัชทายาท แต่ก็ยังคงจะสั่งประหารพวกเขาเป็นแน่
“อู๋เหว่ย!” ชางอู๋ซินหันไปหาอู๋เหว่ย ผู้ซึ่งที่ยืนนิ่ง และมิไหวติงแม้แต่น้อย
ดวงตาของชางอู๋ซินเป็นประกายด้วยความพึงพอใจ สาวใช้ผู้นี้มีความจงรักภักดี ถึงแม้ว่าจะโง่เขลาก็ตาม และมันช่างน่าประทับใจเสียเหลือเกิน
เมื่อเห็นรอยยิ้มในดวงตาขององค์รัชทายาท อู๋เหว่ยจึงเข้าจู่โจมองครักษ์ในทันที ทั้งที่ทักษะในศิลปะการต่อสู้ของนางมิได้ดีมากนัก
และแน่นอนว่าทักษะของอู๋เหว่ยจะมิสามารถเทียบได้กับองครักษ์ของจักรพรรดิเหล่านั้น
อู๋เหว่ยช่างกล้าหาญสมชื่อเสียจริง แม้ว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บเจียนตาย แต่นางก็มิยอมปล่อยให้ศัตรูเข้ามาทำร้ายได้โดยง่าย
อู๋เหว่ยได้รับบาดแผลมากมาย แต่องครักษ์เหล่านั้นก็มิได้มีสภาพดีไปกว่านางเท่าใดนัก
ศัตรูที่น่ากลัวมิใช่ศัตรูที่มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง แต่เป็นศัตรูที่มิกลัวที่จะต้องตายต่างหาก
ใบหน้าขององค์รัชทายาทเรียบเฉย เขาทำเพียงแค่ยืนอยู่ด้านข้าง และมิแม้แต่จะชำเลืองมองไปทางอู๋เหว่ยเสียด้วยซ้ำ
การกระทำเช่นนั้นบังคับให้ผู้คนต้องประเมินองค์รัชทายาทที่ไร้ความสามารถผู้นี้อีกครั้ง เขามีจิตใจอันอำมหิตถึงเพียงนี้ จะไร้ความสามารถได้อย่างไรกัน?
“เหตุใดภายนอกจึงส่งเสียงดังถึงเพียงนี้”
ชายวัยกลางคน ผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมของจักรพรรดิสีเหลืองสดใสก้าวเดินออกมาจากภายในห้องโถงของวังหลวง
เมื่อได้เห็นดังนั้น เหล่าองครักษ์จึงคุกเข่าลงและตะโกนเสียงดัง
“ฝ่าบาท!”
ดวงตาของชางอู๋ซินแสดงความยินดีเป็นที่สุด มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้จักรพรรดิเดินออกมาภายนอกตำหนักโดยพระองค์เอง
จากนั้นชางอู๋ซินจึงจ้องมองไปยังจักรพรรดิผู้ซึ่งเป็นบิดาขององค์รัชทายาท
เขาช่างมีความสง่างามเป็นอย่างมากขณะที่กำลังอยู่ในชุดคลุมมังกร ผมดำยาวถูกปล่อยลงมา
เขาดูเหมือนชายหนุ่มในวัยสามสิบกว่าเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาอายุขึ้นเลขสี่แล้ว
แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมา ทำให้ผิวของเขาขาวนวลและเปล่งประกายอย่างชัดเจน
ชางอู๋ซินมั่นใจว่า จักรพรรดิผู้นี้จะต้องมีทักษะศิลปะการต่อสู้อย่างแน่นอน
และหลังจากขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เขาก็คงจะมิเคยละทิ้งการฝึกฝนเพลงยุทธเหล่านั้น
คิ้วดกดำ และหนาของเขางดงามราวกับถูกวาดด้วยพู่กันชั้นดี ครั้นเมื่อมองมันจึงทำให้สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและแน่วแน่ในหัวใจของเขา
ภายใต้คิ้วที่เชิดขึ้นคู่นั้น มีดวงตาที่แหลมคมดั่งตาของนกเหยี่ยวซึ่งมีความดุร้าย แต่ก็ยังคงมีร่องรอยของความอ่อนโยนที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้
ในขณะนี้ชางอู๋ซินได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเรือนร่างขององค์รัชทายาทจึงมีความงดงามเช่นนี้
ชางอู๋ซินเคยได้ยินมาว่าจักรพรรดินีชิวเคยเป็นความงดงามอันดับหนึ่งภายใต้สวรรค์
และในขณะที่จักรพรรดิเซิ่งอายุสี่สิบปีเศษแต่ความหล่อเหลาของเขาก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก มิแปลกใจเลยที่องค์รัชทายาทจะเติบโตขึ้นมาอย่างงดงามเช่นกัน
จักรพรรดิเซิ่งจ้องมองมายังชางอู๋ซินด้วยดวงตาคมคายของเขา
สายตานั้นจ้องมองนางด้วยความเฉยเมยเหมือนเช่นทุกครั้ง
การจ้องมองของเขามิได้ผิดปกติ แต่มันทำให้ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงกลัวจนมิกล้าที่จะหายใจ เพราะดวงตาของเขาช่างแหลมคมยิ่งนัก
ผู้ที่อยู่นอกเขตวังหลวงต่างก็คุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ
แต่มีเพียงองค์รัชทายาทและอู๋เหว่ยสาวใช้ของเขาเท่านั้นที่มิได้คุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพ
ชางอู๋ซินคิดว่า มิมีผู้ใดที่จะสมควรให้นางแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าลงบนพื้นได้
ส่วนอู๋เหว่ยนั้น คิดว่ามิจำเป็นที่จะต้องคุกเข่าลงให้กับผู้อื่นที่มิใช่องค์รัชทายาท แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นพระบิดาขององค์รัชทายาทก็ตามที
จักรพรรดิเซิ่งจ้องมองมายัง
ชางอู๋ซินเป็นเวลานานหลายนาที
และในตอนนี้ ขาขององครักษ์ที่กำลังคุกเข่าเริ่มที่จะเกิดอาการสั่นเทาแล้ว
และร่างกายของเหล่าขันทีในวังหลวงต่างก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขณะที่อู๋เหว่ยได้จ้องมองไปยังทุกคน
แต่ทั้งจักรพรรดิและชางอู๋ซิน ต่างก็มิได้แยแส ในที่สุดจักรพรรดิเซิ่งได้กล่าวขึ้นว่า
“เข้ามา”
จักรพรรดิมิได้ตำหนิชางอู๋ซิน แต่เขาก็มิได้แสดงท่าทีชอบใจเช่นเดียวกัน
มิมีผู้ใดสามารถเข้าใจได้ว่าจักรพรรดิชื่นชอบ หรือรังเกียจองค์รัชทายาทกันแน่?
ชางอู๋ซินเดินนำอู๋เหว่ยเข้าไปในห้องโถงของวังหลวง จากนั้นประตูจึงค่อย ๆ ปิดลง