ตอนที่ 11-1 จักรพรรดิ
ภายในเขตพระราชฐานของวังหลวงนั้น เต็มไปด้วยสิ่งของมากมายที่หามิได้จากสถานที่อื่นใดในโลก
และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คงจะเป็นโต๊ะทองคำ และบัลลังก์มังกร เพราะพวกมันทำให้ห้องนี้ดูมีความน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
ขณะนี้จักรพรรดิเซิ่งผู้เด็ดเดี่ยวกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในขณะที่ขันทีของเขากำลังยืนอยู่ด้านข้าง และพร้อมที่จะรับใช้ตลอดเวลา
ชางอู๋ซินเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ทองคำ โดยมิได้แสดงความเคารพก่อน
ซึ่งการกระทำเช่นนี้อาจดูเหมือนเป็นผู้ที่มิมีสัมมาคารวะ และนับว่า เป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมาก
แต่มันกลายเป็นลักษณะนิสัยที่ยากจะแก้ไขของนางไปเสียแล้ว
ขันทีซูจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่องค์รัชทายาททำตัวแปลกประหลาดไปจากเมื่อก่อนมากนัก
เมื่อมองดูแล้วช่างมีท่าทีที่แปลกไปมาก จนดูเหมือนเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว
แล้วเขาก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมอีกครั้ง เมื่อพบว่าจักรพรรดิก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ
แต่เขาเป็นเพียงผู้รับใช้ของจักรพรรดิ ดังนั้นจึงยืนก้มศีรษะลง เพราะกลัวว่าจะเห็นหรือได้ยินในสิ่งใดที่มิควร
แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน แต่ก็มิได้ยินเสียงอันใดเลย
ทั้งที่จักรพรรดิควรจะต่อว่าองค์รัชทายาท และเขาก็ควรจะเถียงกลับ
ชางอู๋ซินมองไปยังจักรพรรดิและพบว่า เขาได้จ้องมองมาทางนี้เช่นเดียวกัน
นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในสายตาของชายผู้นี้ แม้ว่ามันจะซ่อนอยู่ลึกเสียจนแม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังมิรู้องค์เอง
“เจ้าเอาความอวดดีเช่นนี้มาจากที่ใดกัน จึงกล้ามิทำความเคารพข้า” จักรพรรดิเซิ่งเป็นผู้เริ่มบทสนทนาก่อนกล่าวขึ้น
หากนี่เป็นอดีตองค์รัชทายาทเขาคงทำเพียงมองดูจักรพรรดิด้วยความหวาดกลัว แต่น่าเสียดายที่นางมิใช่
ชางอู๋ซินจ้องมองไปยังจักรพรรดิเซิ่งที่กำลังแสดงความโกรธเกรี้ยว จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน
นั่นทำให้จักพรรดิและขันทีซูเกิดความตื่นตระหนกในทันที
ขันทีซูรีบเดินมาอยู่ด้านหน้าองค์จักรพรรดิทันที
เพื่อปกป้องเขาจากสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายใด ๆ จากการกระทำที่มิสามารถคาดเดาได้ขององค์รัชทายาท
ในทางกลับกันจักรพรรดิเซิ่งยังคงนิ่งสงบราวกับภาพวาด และไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
ชางอู๋ซินเพียงแค่ต้องการจะออกจากพระราชวังแห่งนี้เท่านั้น เพราะนางได้รู้ถึงอุปนิสัยคร่าว ๆ ขององค์จักพรรดิผู้นี้แล้ว
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเดินกลับออกมาจากวังหลวงอย่างปลอดภัย พายุภายในใจของอู๋เหว่ยจึงสงบลงได้
“องค์รัชทายาท!”
หากจักรพรรดิตัดสินใจลงโทษองค์รัชทายาท นางก็คงมิอาจช่วยเหลือได้
เมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวของนาง อู๋เหว่ยจึงตัดสินใจที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของตนเองอย่างจริงจัง และโดยเร็วที่สุด
ชางอู๋ซินเหลือบมองไปยังอู๋เหว่ย และพบว่านางมิได้ถูกคุกคามโดยเหล่าองครักษ์อีก
มิมีองครักษ์ของจักรพรรดิผู้ใดกล้าพอที่จะเข้ามารบกวนนาง
องค์รัชทายาทกล้าที่จะนำสาวใช้เข้าพบกับองค์จักรพรรดิโดยมิมีคำอธิบายใด ๆ
และเขามิได้ทำความเคารพ แต่ก็มิได้ถูกลงโทษแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือของสาวใช้คนสนิทก็ยากที่จะรับมือได้
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนต่างก็คิดว่า ที่ผ่านมานั้น องค์รัชทายาทผู้นี้ได้ปิดบังความแข็งแกร่งของตนเองเอาไว้ และกำลังรอโอกาสบางอย่าง
และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้คนในวังหลวงคงจะเริ่มหวาดกลัวองค์รัชทายาทเสียแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขายังคงดูถูก และเหยียดหยามเขาสารพัด
“ขันทีซู เจ้าจงกล่าวมาสิว่าข้าทำสิ่งใดผิด!”
จักรพรรดิเซิ่งจ้องมองไปยังประตูสีทองอร่ามที่ปิดอยู่ด้วยความรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
แต่เขาทำได้เพียงแค่กล่าวออกมาตามความคิดของตนเองกับขันทีซู
เพราะทันทีที่เขาก้าวออกจากพระราชวังแห่งนี้ไป เขาก็มิสามารถที่จะกล่าวหรือแสดงสิ่งใดบนใบหน้าของตนเองได้
“ฝ่าบาท ท่านมิได้ทำสิ่งใดผิด” ขันทีซูตอบอย่างจริงจัง
จักรพรรดิยิ้มกว้างทันที
ถึงแม้จะทำผิดก็มิมีผู้ใดกล้าตำหนิ เมื่อนึกถึงพฤติกรรมขององค์รัชทายาทขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจได้
ในขณะเดียวกันชางอู๋ซินกำลังเดินทางออกจากวังหลวงพร้อมกับอู๋เหว่ย
ขณะนี้ได้นั่งอยู่บนรถม้า และพร้อมที่จะกลับไปยังตำหนักขององค์รัชทายาท
ทันใดนั้นรถม้าได้หยุดนิ่ง อู๋เหว่ยซึ่งอยู่ในที่นั่งคนขับมองออกไปเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
แล้วก็พบว่า ผู้ที่ขวางทางพวกเขาคือองค์ชายเซิ่งเฉินเจ่า
อู๋เหว่ยก้มหน้าลงทันที เพราะมิสามารถแสดงความมิพอใจออกมาได้ แต่นางมิทราบเลยว่า ชางอู๋ซินจับอารมณ์ของสาวใช้ตนเองได้แล้ว
ชางอู๋ซินยกม่านขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถามองค์ชายเซิ่งเฉินเจ่าว่า
“มีเรื่องอันใด?”
ท่าทางของนางดูสง่างาม แม้จะทำเพียงแค่นั่งอยู่บนรถม้าก็ตามที
เพราะรัศมีที่เปล่งประกายของ
ชางอู๋ซินนั้น ทำให้รถม้าธรรมดาดูมีสง่าราศีขึ้นมาได้