ตอนที่ 14-2 จงรักภักดี
จากนั้นชางอู๋ซินได้สั่งอีกว่า
“อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะต้องติดตาม อู๋เหว่ยเพื่อฝึกซ้อมวิทยายุทธ
จากนั้นเมื่อเสร็จแล้ว พวกเจ้าต้องกลับไปสับเปลี่ยนกับผู้คนที่ตําหนักเพื่อให้พวกเขาได้มาฝึกซ้อมบ้าง”
แม้ว่าพวกเขาจะเกิดความสับสนบ้าง แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าที่จะทักท้วงขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะนี้หัวหน้าขันที่ไม่ได้เกิดความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในตัวองค์รัชทายาทผู้นี้
ดังนั้นเขาจึงยิ้มกว้างอย่างมีความสุขด้วยใบหน้าที่ชื่นมื่น ขณะที่กล่าวว่า
“กระหม่อมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยขอให้องค์รัชทายาทอย่าได้เป็นกังวล”
จากนั้นชางอู๋ซินจึงสังว่า
“คัดเลือกผู้ที่มีวรยุทธสูงสุดออกมา!
อู๋เหว่ย! สู้กับพวกเขา”
แม้ว่าอู๋ซินจะทราบว่าทักษะของสาวใช้นั้นดีกว่ามาก
แต่ตอนนี้นางตั้งใจที่จะยืนยันความคืบหน้าล่าสุดของสาวใช้
รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่สง่างามให้กับอู่เหว่ย ในฐานะผู้นําคนใหม่ของพวกเขา
หญิงสาวหนึ่งคน และบุรุษหนุ่มสี่คนในชุดดําก้าวเดินออกมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาจํานวนมาก
อู๋เหว่ยพยักจึงหน้าเป็นการทักทาย
จากนั้นทั้งหกคนได้เริ่มการทําการต่อสู้กันทันที
ทักษะของอู๋เหว่ยนั้นมีความรุนแรงและเฉียบคมเป็นอย่างมาก
เมื่อนํามารวมกับรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางแล้ว ยิ่งทําให้ดูน่าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนผู้คนที่ถูกคัดเลือกออกมาศิลปะการต่อสู้ของพวกเขานั้น ก็นับว่าใช้ได้เลยทีเดียว
แต่เมื่อเทียบกับอู๋เหว่ยแล้ว นับว่ายังห่างไกลกันอยู่มาก
ในท้ายที่สุด จึงมีหญิงสาวเพียงผู้เดียวในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าคนนั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้
และทั้งสองคนได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และสุดความสามารถ
ในขณะที่ความสามารถของอู๋เหว่ยนั้น สูงกว่าหญิงสาวผู้นั้นอยู่มาก
แต่นางได้ผ่านการเผชิญหน้ากับชายหนุ่มถึงสี่คน
ดังนั้นนางจึงสูญเสียพลังไปมาก จึงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการเสียหลักบ้าง
ส่วนหญิงสาวอีกคนก็มีความดุร้ายมิแพ้อู๋เหว่ยเลย
จากนั้นชางอู๋ซินได้ยุติการต่อสู้ของพวกนางในทันที
ดี
แม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของอู๋เหว่ยจะยังมิได้มาตรฐานตามที่นางตั้งใจไว้ แต่ก็มิควรเข้มงวดมากเกินไป
ทั้งสองแยกจากกันทันที แต่ยังคงแสดงความชื่นชมความสามารถซึ่งกันและกันทางสายตา
พวกเขาแสดงความเคารพต่อองค์รัชทายาท
ในขณะนั้นผู้ใต้บังคับบัญชากําลังจ้องมองมาที่องค์ชายผู้นี้ด้วยความเคารพและศรัทธามากยิ่งขึ้น
และเห็นว่า สาวใช้คนสนิทของเขามีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
นางสามารถรับมือกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเขาได้
เมื่อนึกถึงคํากล่าวขององค์รัชทายาทที่สั่งให้พวกเขาฝึกซ้อมเพลงยุทธ
หลายคนจึงเกิดความกระตือรือร้นและต้องการที่จะเริ่มต้นเรียนรู้มัน
ชางอู๋ซินจ้องมองไปยังหญิงสาวในชุดดําอย่างครุ่นคิด
“เจ้าชื่ออันใด?”
พรสวรรค์และปฏิกิริยาตอบสนองของหญิงสาวผู้นี้ค่อนข้างดี
นอกจากนี้อู๋เหว่ยยังรับผิดชอบงานมากเกินไป เพราะสังเกตเห็นได้จากความเหนื่อยล้าของนาง
อาจจําเป็นที่จะต้องจัดเตรียมผู้ช่วยเพิ่มอีกหนึ่งคน
“กระหม่อมมิมีชื่อ ทุกคนเรียกข้าว่าผู้ใต้บังคับบัญชา”
หญิงสาวในชุดดําก้มศีรษะลงขณะที่กล่าว แต่แววตาของนางมิได้แสดงถึงความหวาดกลัวแต่อย่างใด
หัวหน้าขันที่ไร่สังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทดูเหมือนจะ ให้ความสนใจกับหญิงสาวผู้นี้
ทันใดนั้น เขาจึงก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อกล่าวว่า
“บิดาและมารดาของหญิงสาวผู้นี้เคยรับใช้จักรพรรดินี และมินานหลังจากที่นางเกิด พวกเขาก็ได้จากไป
ดังนั้นกระหม่อมจึงได้เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่บัดนั้น
และเนื่องจากนางมิมีบิดามารดา จึงมิได้รับการตั้งชื่อ หญิงสาวผู้นี้มีความเฉลียวฉลาด และมีความสามารถมากพะยะค่ะ!”
“เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะยกย่องสาวใช้มากถึงเพียงนี้”
ริมฝีปากของชางอู๋ซินเกิดรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า
“จากนี้ไป ชื่อของเจ้าคือ อู๋จู
เจ้าจะต้องมาเป็นสาวใช้คนสนิทของข้าเช่นเดียวกับอู๋เหว่ย เจ้าจะเต็มใจหรือไม่?”
“อู๋จูเต็มใจ! ขอบพระทัยองค์รัชทายาท!”
อู๋จูคุกเข่าลงและแสดงความเคารพทันที
หญิงสาวผู้นี้ใช้เวลาทั้งชีวิตในสนามเพื่อฝึกซ้อมวิทยายุทธ
และตั้งแต่ในวัยเด็ก นางก็รู้ดีว่าตนเองจะต้องมอบความจงรักภักดีให้กับองค์รัชทายาท
และเมื่อได้เผชิญหน้ากับเขาในตอนนี้แล้ว ทําให้นางรู้สึกว่าการทุ่มเททั้งหมดของนางนั้นมีความคุ้มค่ามาก
จากนั้นชางอู่ซินพยักหน้าและเดินจากไปในทันที