สุดยอดรัชทายาท ตอนที่ 21-1 จัดการ
ตอนที่ 21-1 จัดการ
มเหสีซินไม่คาดคิดเลยว่าการยั่วยุของตนเองจะทําให้เกิดคําถามเช่นนี้ ซึ่งมันทําให้การแสดงออกบนใบหน้าอันงดงามของนางสลดลงในทันที พลางชี้นิ้วไปที่ชางอู๋ซินและกล่าวว่า
“ด้วยศักดิ์แล้วหม่อมฉันเหนือกว่ารัชทายาท แล้วเหตุใดจึงทรงแสดงท่าทีที่หยิ่งผยองเช่นนี้กับหม่อมฉัน?”
เมื่อกล่าวจบพระนางก็กวาดสายตามองไปยังขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาลืมตาขึ้นดูว่าองค์รัชทายาทประพฤติตัวไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง
“ฮึ…!”
ชางอู๋ซินเงยหน้าขึ้นมองหญิงสูงศักดิ์อย่างเกียจคร้านพลางกล่าวว่า
“เหนือกว่าหรือ? อันที่จริงแล้วหากจะให้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาท่านก็เป็นแค่นางบําเรอของเสด็จพ่อเท่านั้น แล้วเหตุใดจึงกล้ากล่าวว่าตนเองนั้นเหนือกว่า?
หรืออาจเป็นไปได้ว่าท่านต้องการแทนที่พระมารดาของรัชทายาท โดยการยึดตําแหน่งของพระนางเพื่อต้องการเป็นจักรพรรดินี้ใช่หรือไม่?!”
พระมเหสีซินหน้าซีดทันที และแม้แต่พระสนมและขุนนางคนอื่น ๆ ก็รู้สึกตื่นตระหนกเช่นกัน เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าต่อหน้าจักรพรรดิชางแล้ว การกล่าวถึงจักรพรรดินีชิวนั้นเป็นหัวข้อต้องห้าม?
โดยบรรดาผู้ที่กล่าวถึงพระนางจะต้องพบกับจุดจบที่น่าเศร้า ดังนั้นแม้ว่าพระองค์จะยังไม่ได้แต่งตั้งจักรพรรดินีองค์ใหม่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะทูลแนะนําเกี่ยวกับเรื่องนี้
ขณะที่ตอนนี้องค์รัชทายาทกําลังกล่าวหาว่ามเหสีซินต้องการที่จะมาแทนที่จักรพรรดินีชิว ทําให้พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพระมเหสีซิน
แน่นอนว่าเพียงชั่วอึดใจต่อมา ทันใดนั้นดวงตาของจักรพรรดิชางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ขณะที่จ้องมองไปยังพระมเหสีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและโหดร้ายราวกับว่าต้องการจะสั่งประหารพระนาง
“เจ้า…เจ้ากําลังกล่าวเรื่องไร้สาระอะไร!”
เมื่อคํากล่าวนั้นจบลง มเหสีซินก็เหลือบมองไปยังองค์จักรพรรดิซางด้วยความรู้สึกหวาดกลัวพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิบังอาจใฝ่สูงเช่นนั้น องค์รัชทายาทกําลังกล่าวเรื่องไร้สาระ “
“สิ่งที่รัชทายาทเกลียดชังที่สุดก็คือเมื่อคนอื่นชี้นิ้วไปที่ข้าและยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีคนมาท้าทายศักดิ์ศรีต่อหน้าต่อตาเช่นนี้แต่มเหสีผู้นี้ก็ทําทั้งสองอย่าง ไหนลองบอกมาสิว่าจะให้รัชทายาทอย่างข้าทําอย่างไร?”
จางอู๋ซินวางถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของตนเองลงและสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“อู๋เว่ยตบหน้านาง! อูจูหักนิ้วที่น่ารังเกียจของมเหสีซินด้วย!”
หลังคํากล่าวของชางอู๋ซินหลุดออกมาจากริมฝีปากนางโดยไม่ใส่ใจกับสิ่งใดทั้งสิ้นทั้งอี้เหว่ยและจก็รีบเดินออกมาจากด้านหลังผู้ออกคําสั่ง และเดินเข้าไปหาพระมเหสีซินในทันที ขณะที่มุมริมฝีปากของพวกนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ด้วยความคิดที่ว่า พระมเหสีซินผู้นี้กล้าที่จะทําให้เจ้านายของพวกนางอุ่นเคืองใจ ขณะที่พวกนางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้นานแล้ว!
“เจ้ากล้าหรือ?”
มเหสีซินร้องอุทานออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่เหว่ยและอิจต่างก็ไม่ต้องการจะกล่าวกับพระนางให้เปลืองน้ำลาย
ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะทั้งคู่เป็นเพียงแค่สาวใช้ ทําให้พวกนางต้องทําตามคําสั่งของมกุฎราชกุมารเพียงผู้เดียว ดังนั้นในช่วงที่อู๋เหว่ยไปถึงมเหสีเธอก็รวบรวมกําลังเข้าสู่ฝ่ามือของเธอและเสียงอันดังกังวานก็เกิดขึ้นในทันใด
เพี้ยะ! เพี้ยะ! ท้ายที่สุดคือพระมเหสีซินต้องโดนตบหน้างสองครั้ง
โดยอู๋เหว่ยมีพลังภายในที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ดังนั้นผลจากการตบนั้นจึงทําให้พระมเหสีซินรู้สึกราวกับว่า ฟันของนางเกิดการโยกคลอนจนแทบจะหลุดร่วงออกมา
ทันใดนั้นก็ไม่รั้งรอให้นางร้องไห้คร่ำครวญออกมา โดยรีบเอื้อมมือออกไปและหักนิ้วที่ใช้ชี้ไปที่องค์รัชทายาทด้วยความหมั่นไส้
กล็อก!
ส่งผลให้นิ้วของพระนางห้อยต่องแต่งในสภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก และปรากฏว่าอู๋จูได้ทํากระดูกของพระนางแตกละเอียด โดยที่แพทย์ในวังหลวงของจักรวรรดิก็ไม่สามารถรักษาได้
“โอ๊ย!”
ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและอับอายทันใดนั้นพระมเหสีซินก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมาราวกับว่ากําลังจะขาดใจต่อหน้าต่อตาขุนนางและแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้
โดยที่ทุกคนต่างก็รู้สึกหวาดผวากับวิธีการที่โหดร้ายขององค์รัชทายาท และมีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของพวกเขา
มีการแสดงตรงไหนของมกุฎราชกุมารหรือที่บ่งบอกว่าพระองค์ทรงไร้ความสามารถ และส่วนไหนหรือที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงขี้ขลาดเช่นนั้นหรือ?
แม้แต่สาวใช้ของพระองค์ยังไร้ความปรานีถึงเพียงนี้ แล้วความโหดร้ายของพระองค์จะมากสักเพียงใด เพียงแค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังเสียแล้ว
“พระมารดา! ”
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าองค์หญิงชางฉินมีก็รีบเดินตรงเข้าไปที่ด้านข้างของพระมเหสีซินผู้เป็นมารดาด้วยความตื่นตระหนกและเมื่อเห็นมารดารู้สึกเจ็บปวดด้วยคําสั่งของรัชทายาท จึงเผชิญหน้าด้วยการร้องตะโกนออกมาขณะที่โกรธเคืองว่า
” พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระมารดาของหม่อมฉันเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
เพื่อตอบข้อสงสัยขององค์หญิง ชางอู๋ซินจึงกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า
“มเหสีซินเป็นเพียงแค่นางบําเรอปลายแถวของเสด็จพ่อ แต่กลับกล้าพูดจากระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท เห็นได้ชัดว่าความผิดของนางสมควรได้รับการลงโทษ ตามกฎมณเฑียรบาล ซึ่งเหตุผลหลักก็คือวังหลังของจักรพรรดิมิควรเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องการเมือง แต่ครั้งนี้ทุกคน ต่างก็เห็นว่ามเหสีซินพยายามที่จะยุยงเสด็จพ่อให้ถอดถอนข้าจากตําแหน่งรัชทายาท
ซึ่งเหตุผลก็คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่คิดว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานตนเอง และตอนนี้พระมเหสีซินยังต้องการที่จะนั่งอยู่ในตําแหน่งจักรพรรดินี ถ้าคิดว่าการลงโทษเพียงเล็กน้อยเช่นนี้เป็นการไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ลองทูลถามฝ่าบาทดู?”
จากคํากล่าวที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนเช่นนั้นทําให้องค์หญิงชางฉินมีไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก แม้องค์หญิงจะรู้ดีว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทอ้างนั้นไร้เหตุผล แต่พระนางก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้