ตอนที่ 891 สร้างโอกาส
หลังรับประทานอาหารกลางวัน หลินม่ายไปตรวจดูอสังหาริมทรัพย์อีกแห่ง จากนั้นกลับเข้าบริษัทและจัดประชุมย่อยเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของสาขาฮ่องกง
ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่สาขาฮ่องกงเผชิญอยู่ในขณะนี้คือ การขาดแคลนที่ดิน
เป็นเรื่องยากสำหรับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จะดำเนินกิจการโดยไม่มีที่ดิน
แม้ว่ากรมที่ดินของฮ่องกงดูเหมือนจะดำเนินการประมูลสาธารณะ แต่แท้จริงแล้วมีการดำเนินการอย่างลับ ๆ หากไม่มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ที่ดินเลย
หลินม่ายกล่าวว่า “ถ้างั้นคุณก็จ่ายสินบนพวกเขาไป”
ฟ่านฉางคงถอนหายใจ “เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่จะรับสินบนของเราทุกเมื่อตามที่ต้องการนะครับ ต่อให้ว่านทงกรุ๊ปจะเปลี่ยนมาเป็นบริษัทในฮ่องกง แต่มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าบริษัทแม่ของเรามาจากแผ่นดินใหญ่ เช่นนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจะยินดีช่วยเหลือเราได้อย่างไร?”
ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว จีนและจักรวรรดิอังกฤษได้ลงนามใน “ปฏิญญาร่วมจีน-อังกฤษ”
หลังจากที่จักรวรรดิอังกฤษเห็นว่าฮ่องกงไม่อาจเป็นอาณานิคมของตนได้อีกต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐของพวกเขาจะรู้สึกผ่อนปรนได้หรือ?
ไม่น่าแปลกใจที่จะไม่ยอมขายที่ดินให้กับว่านทงกรุ๊ปจากแผ่นดินใหญ่
หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่งและถามว่า “คุณขอความช่วยเหลือจากพี่เฟิงไม่ได้หรือ?”
ในฮ่องกงช่วงปี 1980 ผู้บริหารขององค์กรชั้นนำมีอำนาจมหาศาล
หากได้รับอนุญาตให้สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในนามของเขา มันคงมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้รับที่ดิน
ลูกน้องคนหนึ่งโบกมือ “คุณคงกำลังพูดถึงพี่หลงสินะครับ ตั้งแต่พี่เฟิงจากไป ทุกคนก็แยกย้ายกันหมด พี่คง… เอ่อ ผู้จัดการฟ่านไปเยี่ยมพี่หลง แต่พี่หลงไม่ยอมให้เข้าพบ แล้วนับประสาอะไรกับการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อขายที่ดินให้เรา”
ชายอีกคนพูดขึ้นว่า “ผมได้ยินว่าสุขภาพพี่หลงกำลังย่ำแย่ อำนาจที่มีเกือบถูกรองหัวหน้ายึดไปทั้งหมด ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงไหม”
ฟ่านฉางคงกล่าวต่อ “มันเป็นความจริงเรื่องสุขภาพของพี่หลงที่ไม่สู้ดีนัก แต่เรื่องเกี่ยวกับรองหัวหน้าเป็นแค่เรื่องโป้ปด ได้ยินมาว่าเขาเป็นโรคประหลาดที่รักษาไม่หาย ร่างกายเจ็บปวดจนนอนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมอบอำนาจให้รองหัวหน้า”
หัวใจของหลินม่ายกระตุกเล็กน้อย “โรคประหลาดอะไรกัน คุณรู้เกี่ยวกับมันไหม?”
ชายคนหนึ่งตอบแทน “มันไม่ใช่โรคประหลาดหรอกครับ ผมเคยได้ยินว่าพี่หลงต่อสู้กับคนอื่นตอนที่ยังเป็นหนุ่ม แล้วโดนกระสุนฝังเข้าที่กระดูกสันหลังส่วนคอ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีความเสี่ยงเกินไป จึงไม่ได้ถูกนำออก ปรากฏว่าหลังจากผ่านมาหลายปี กระสุนที่ฝังอยู่ในร่างกายก็เริ่มสร้างความเจ็บปวดให้เขา”
หลินม่ายถาม “ผ่าตัดเอากระสุนออกไม่ได้เหรอ?”
เมื่อ 10 ถึง 20 ปีก่อนอาจจะเอากระสุนออกไม่ได้ แต่วิทยาการทางการแพทย์พัฒนาไปมากแล้ว ตอนนี้ควรสามารถผ่าตัดเอามันออกมาได้
“ถ้ามันเอาออกได้ด้วยการผ่าตัด พี่หลงคงได้รับการผ่าตัดไปแล้วครับ” ชายหนึ่งในกลุ่มกล่าว “พี่หลงเคยเดินทางไปอเมริกาเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์และต้องการนำกระสุนออก แพทย์ในอเมริกาต่างบอกว่าการเอากระสุนออกมีความเสี่ยงสูง และมีโอกาสมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ที่ขาของเขาจะกลายเป็นอัมพาตเนื่องจากการผ่าตัดล้มเหลว พี่หลงไม่กล้าเสี่ยง หลังกลับมาจากอเมริกา เขาได้รับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการที่โรงพยาบาลของฮ่องกง”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลินม่ายก็ล้มเลิกแผนการที่จะขอให้ฟางจั๋วหรานผ่าตัดให้กับพี่หลงเพื่อเปิดโอกาสในการหาที่ดิน
ขนาดในสหรัฐอเมริกาที่วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้า พวกเขากลับไม่มีความมั่นใจมากนักในการผ่าตัดพี่หลง เช่นนั้นฟางจั๋วหรานอาจไม่สามารถทำการผ่าตัดเคสนี้ได้
หากล้มเหลว ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตราย
เขาเป็นชายคนรักของเธอ แล้วเธอจะปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร?
หลังจากการประชุม ขณะที่หลินม่ายกำลังออกจากอาคาร เธอเห็นพนักงานชาวฮ่องกงกระซิบกระซาบบางอย่างกับฟ่านฉางคง
สีหน้าของฟ่านฉางคงหม่นหมองเมื่อได้รับฟัง ก่อนที่เขาจะตวาดใส่พนักงานฮ่องกงด้วยภาษากวางตุ้ง
พนักงานชาวฮ่องกงไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวเลย และเมื่อฟ่านฉางคงหมดอารมณ์คุยต่อ เขาเพียงแค่เดินจากไป
หลินม่ายถามฟ่านฉางคงว่าเกิดอะไรขึ้น
ฟ่านฉางคงยังคงอยู่ในอารมณ์โกรธ บอกหลินม่ายถึงเหตุผลที่เขาระเบิดอารมณ์ “พนักงานฮ่องกงพวกนั้นผัดวันประกันพรุ่งและขี้เกียจเกินไป พวกเขาไม่คิดเชื่อฟังคำสั่งเลยด้วยซ้ำ แล้วยังกล้ามาทำงานให้กับบริษัทอื่นที่ได้รับทุนจากฮ่องกงหรือบริษัทที่ได้รับทุนจากอังกฤษได้อย่างไร?”
หลินม่ายกล่าว “การแก้ไขสถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องยาก เราเพิ่มเงินเดือน 20 เปอร์เซ็นต์จากราคาตลาดกันเถอะ เราไม่มีกฎบังคับอื่นใด ตราบใดที่พวกเขาทำงานหนักเพื่อบริษัท ใครขี้เกียจทำงานก็ไล่ออกไป ฉันไม่เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าขี้เกียจอีกภายใต้บำเหน็จอันหนักอึ้ง ด้วยเงินเดือนที่สูงขนาดนี้ พนักงานคนไหนบ้างจะไม่อยากทำงานหนักเพื่อเรา”
ดวงตาของฟ่านฉางคงเป็นประกายทันใด
ทำไมเขาคิดแบบนี้ไม่ได้ หรือความคิดของเขาจำกัดเกินไป
ฟ่านฉางคงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ เมื่อมีการเปิดรับพนักงานใหม่ ผมจะไล่พนักงานเก่าที่ไม่เชื่อฟังออกให้หมด!”
ลูกน้องคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไป “แต่เราจะขาดทุนหากต้องให้เงินเดือนพวกเขาสูงขนาดนี้นะครับ!”
หลินม่ายอธิบาย “การยอมเสียสิ่งเล็กน้อยเพื่อได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่นับเป็นการขาดทุน เพื่อประหยัดเงินเดือนเพียงเล็กน้อย หากพนักงานไม่เต็มใจที่จะทำงานอย่างเต็มที่ มันจะนำไปสู่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่า นอกจากนี้เราจะไม่จ่ายเงินเดือนสูงแบบนี้เสมอไป ในตลาดแรงงานของฮ่องกง ทุก ๆ สองปีจะมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ถึงเวลานั้นจะมีประโยคหนึ่งที่เรียกว่า ทุกคนลงเรือลำเดียวกัน เราจะไม่ไล่พนักงานออก แต่ลดค่าจ้างลง เพื่อที่เราจะสามารถประคองบริษัทในตลาดต่อไปได้ ไม่ต้องกังวลว่าพนักงานเหล่านั้นจะทำงานแย่ลงหลังจากโดนตัดเงินเดือน ถ้าพวกเขาทำงานไม่ดี พวกเขาก็จะโดนไล่ออกและจ้างคนใหม่ ใครบ้างจะไม่กลัวตกงานในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ? แล้วใครบ้างจะไม่ยอมทำงานหนักเพื่อรักษาอาชีพของตัวเองไว้? การบริหารพนักงานต้องรู้จักใช้ทั้งน้ำใจและกำลัง”
ฟ่านฉางคงและคนอื่น ๆ พยักหน้ารับเมื่อได้ยินดังนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าประธานหลินผู้เติบโตมาภายใต้ธงแดงสังคมนิยมกลับมีความคิดเป็นนายทุนมากกว่านายทุนตัวจริงเสียอีก
หลินม่ายออกจากบริษัทและตรงไปที่สำนักงานที่ดิน
เธอซื้อที่ดินในฮ่องกงมาตั้งแต่ปี 2526 และครั้งหนึ่งเคยติดสินบนอธิบดีกรมที่ดิน
แม้ว่าอธิบดีกรมที่ดินจะไม่ได้ขายที่ดินให้เธอ แต่เขาก็ให้คำแนะนำที่มีค่ามากมายแก่เธอ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่สามารถเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงได้
เธอต้องการพบกับอธิบดีกรมที่ดินเพื่อดูว่าเธอสามารถติดสินบนเขาอีกครั้งและซื้อที่ดินผ่านเขาได้หรือไม่
แต่ไม่คาดคิด อธิบดีกรมคนนั้นได้อพยพไปอยู่อังกฤษกับครอบครัวของเขาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
หลินม่ายกลับมาที่ห้องในอาคารไท่อัน เธอนอนอยู่บนเตียงทำสมาธิอยู่พักหนึ่ง
บอกฟ่านฉางคงให้ทำสำเนาสถานการณ์ครอบครัวของเจ้าหน้าที่กรมที่ดินทุกคนและมอบให้เธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความชอบของภรรยาพวกเขา
เธอวางแผนที่จะเข้าหาภรรยาของเจ้าหน้าที่และติดสินบนเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน
พลังของลมกระซิบไม่ควรประมาท
หลังจากนั้นไม่นาน ฟ่านฉางคงก็ให้คนมาส่งข้อมูลที่เธอร้องขอ
หลินม่ายเอนกายพิงหัวเตียงอย่างสบายใจ ขณะพลิกดูเอกสารทีละหน้า
กว่าครึ่งชั่วโมงต่อมา หลินม่ายได้เรียนรู้ความชอบและบุคลิกของภรรยาทุกคนของเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ อีกมาก
ภรรยาของเจ้าหน้าที่คนไหนชอบสินค้าฟุ่มเฟือยยี่ห้อไหน หรือภรรยาของเจ้าหน้าที่คนไหนชอบเครื่องประดับ หรือกระทั่งภรรยาของเจ้าหน้าที่คนไหนชอบเล่นไพ่นกกระจอก หลินม่ายจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชื่นชอบในงานเขียนและภาพวาดโบราณของอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ดึงดูดความสนใจของหลินม่ายอย่างยิ่ง
ตอนที่ซื้อบ้านล้อมสวนที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน เธอซื้องานคัดตัวอักษรและภาพวาดโบราณจำนวนมากในตลาดสินค้ามือสองเพื่อมาตกแต่งบ้าน เช่นนั้นทำไมเธอไม่ลองเลือกผลงานที่มีค่าสักสองถึงสามชิ้นเพื่อมอบเป็นของขวัญให้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ดู?
อย่างไรก็ตามเธอไม่มีเวลาพอที่จะส่งของขวัญในครั้งนี้ จึงวางแผนทำในครั้งหน้าแทน เวลานี้เธอขอมุ่งสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มภริยาก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่หลินม่ายตื่นมาได้ไม่นาน ฟ่านฉางคงก็โทรบอกเธอว่า เขาได้ส่งลูกน้องขับรถมารอเธอที่ชั้นล่างเพื่อที่จะรับเธอไปดื่มชาตอนเช้าด้วยกัน
หลินม่ายสวมชุดทำงานและถือกระเป๋าหนังธรรมดา ๆ และขึ้นรถที่ฟ่านฉางคงจัดไว้ เพื่อเดินทางไปดื่มชายามเช้าร่วมกับกับฟ่านฉางคงและคนอื่นๆ
ระหว่างดื่มน้ำชายามเช้า ฟ่านฉางคงถามว่าเธอวางแผนจะทำอะไรในอีกสองถึงสามวันข้างหน้า หลินม่ายจึงบอกว่า เธอต้องการไปเยี่ยมภรรยาของเจ้าหน้าที่บางคนจากกรมที่ดิน
ฟ่านฉางคงต้องการจัดหาคนขับและคนคุ้มกันให้เธอ แต่หลินม่ายปฏิเสธ
การให้สินบนภรรยาของเจ้าหน้าที่ควรทำอย่างสุขุมและรอบคอบ
หลังจากดื่มน้ำชายามเช้า หลินม่ายไปยังร้านแอร์เมสเพื่อซื้อกระเป๋ารุ่นล่าสุด ก่อนนั่งแท็กซี่ตรงไปยังบ้านอธิบดีกรมที่ดินเพื่อพบกับผู้เป็นภรรยา
เมื่อเธอกดกริ่งหน้าบ้าน สาวใช้ในวัยสี่สิบปีก็เดินออกมาแง้มประตูเล็กน้อย
มองหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามอย่างระแวดระวัง “คุณเป็นใครคะ?”
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นเสมียนของแบรนด์แอร์เมส มีคนซื้อกระเป๋าร้านแอร์เมสรุ่นล่าสุดให้คุณหญิงอวี๋ และขอให้ทางเรามาส่งให้ถึงหน้าประตูค่ะ”
สาวใช้เห็นหลินม่ายใส่ชุดทำงานธรรมดาจึงเชื่อคำพูด หล่อนพาหลินม่ายไปพบกับคุณหญิงอวี๋และรายงานสิ่งที่หลินม่ายเพิ่งบอกกล่าว
คุณหญิงอวี๋กำลังดื่มกาแฟด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เมื่อได้รับฟังสิ่งนี้ รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าของหล่อน
หล่อนขอให้หลินม่ายนั่งลงก่อน และสั่งสาวใช้ให้ยกกาแฟมาให้แขก
คุณหญิงอวี๋ถามด้วยรอยยิ้ม “คงจะเป็นคุณหญิงเหลียงไม่ก็คุณหญิงหยางที่ซื้อกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นให้ฉันและขอให้คุณมาส่งที่นี่ใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่ค่ะ” หลินม่ายรับกาแฟจากสาวใช้และวางลงบนโต๊ะ
เธอส่งกระเป๋าแอร์เมสที่ยังไม่ได้เปิดให้คุณหญิงอวี๋และพูดว่า “ฉันเป็นคนซื้อกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นให้คุณหญิงอวี๋เองค่ะ คุณชอบสีนี้หรือเปล่าคะ หากไม่ชอบก็สามารถนำไปเปลี่ยนได้”
คุณหญิงอวี๋กำลังจะแกะกล่องก็ชะงักมือทันที ก่อนถามอย่างระแวดระวังว่า “คุณเป็นใคร? ทำไมถึงต้องซื้อกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นให้ฉันด้วย?”
หลินม่ายบอกกล่าวตัวตนของเธอด้วยรอยยิ้ม และยังบอกอย่างเถรตรงว่าเธอมอบกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นให้คุณหญิงอวี๋ก็เพื่อจุดประสงค์หนึ่ง
เธอหวังว่ากรมที่ดินจะอนุญาตให้ว่านทงกรุ๊ปชนะการประมูลที่ดินหนึ่งหรือสองผืนในการประมูลครั้งต่อไป
เธอบอกเป็นนัยด้วยว่าในอนาคตตราบใดที่แบรนด์แอร์เมสออกกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นใหม่ เธอจะซื้อให้คุณหญิงอวี๋
คุณหญิงอวี๋รู้สึกประทับใจหลังจากได้ยินสิ่งนี้ แต่ไม่ได้สัญญาอะไรกับหลินม่าย
เพียงบอกว่าจะช่วยพูดดี ๆ ต่อหน้าสามี แต่สามีจะตัดสินใจอย่างไรนั้นมันเป็นเรื่องที่หล่อนควบคุมไม่ได้
จากนั้นหลินม่ายก็กล่าวลาด้วยรอยยิ้ม
เธอรู้ดีว่าในอนาคตหากคุณหญิงอวี๋ต้องการกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น หล่อนจะต้องเกลี้ยกล่อมสามีให้ดำเนินการอย่างลับ ๆ และปล่อยให้หลินม่ายชนะการประมูลที่ดินสักหนึ่งหรือสองแห่ง
หลินม่ายทำสิ่งเดียวกันนี้อีกครั้ง โดยการส่งเครื่องประดับและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับภรรยาของผู้มีอำนาจหลายคนจากกรมที่ดิน
เธอยังลงทุนเล่นไพ่นกกระจอกกับภรรยาเจ้าหน้าที่ผู้ชื่นชอบการเล่นไพ่นกกระจอกและยอมสูญเสียเงินไปมาก ภรรยาผู้นั้นมีความสุขมากจนแทบหุบยิ้มไม่ได้
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ว่านทงกรุ๊ปก็ได้รับที่ดินสองผืนตามที่ต้องการ
แม้ว่าที่ดินทั้งสองผืนจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็อยู่ในทำเลที่ดีทั้งคู่
ครั้งนี้หลินม่ายไม่ได้วางแผนที่จะสร้างอาคารพาณิชย์และที่อยู่อาศัย แต่เป็นอาคารสำนักงาน
ราคาขายอาคารสำนักงานแพงกว่าอาคารพักอาศัยมาก และกำไรก็มากกว่าด้วย
หลินม่ายนึกเสียใจมากจนถึงตอนนี้ เพราะเธอไม่รู้จักตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงมาก่อน
พอเธอสามารถซื้อที่ดินมาได้ สิ่งแรกที่คิดคือการอาคารที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อการพาณิชย์และที่อยู่อาศัย
แท้จริงที่ดินสองผืนนั้นควรนำมาสร้างอาคารสำนักงานมากกว่า
เพื่อเฉลิมฉลองการซื้อที่ดินและเลี้ยงอำลาหลินม่าย ฟ่านฉางคงและกลุ่มลูกน้องจัดงานเลี้ยงในร้านคาราโอเกะในคืนก่อนที่หลินม่ายจะเดินทางออกจากฮ่องกง
หลินม่ายไม่ชอบสถานที่เสียงดัง เธอจึงอยู่ไม่ถึงสี่ทุ่มและขอกลับก่อน
ฟ่านฉางคงและคนอื่น ๆ พาเธอไปที่อาคารไท่อันและเฝ้าดูเธอขึ้นลิฟต์ก่อนจะออกไป
เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นสี่ ประตูก็เปิดออกพร้อมกับชายร่างกำยำสี่คนเดินเข้ามา
ชายร่างกำยำทั้งสี่สวมหมวกปิดบังใบหน้า ดังนั้นจึงมองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจนนัก
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในลิฟต์ ทุกคนก็ยืนล้อมรอบหลินม่าย
หลินม่ายรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล ทันใดนั้นมีดสั้นคมกริบสองเล่มก็กดลงที่เอวจากทางซ้ายและขวา
ชายร่างกำยำกระซิบข้างหูเธออย่างชั่วร้าย “ถ้ายังไม่อยากตาย ก็ตามเรามาโดยดี!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฮ่องกงมันแดนเถื่อนอยู่นะ ทำไมถึงมาเดี่ยวไม่พาคนติดตามมาด้วยล่ะเนี่ย บางทีก็งงกับตรรกะม่ายจื่อน้อ
ไหหม่า(海馬)