ตอนที่ 895 เฝิงเยว่จู๋ถูกตบหน้า
ในเวลากลางคืน ทั้งคู่นอนอยู่บนเตียง
ฟางจั๋วหรานโอบกอดหลินม่ายไว้ในอ้อมแขน โน้มตัวจูบเรือนผมและใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน
รูปลักษณ์ที่น่าทะนุถนอมราวกับสมบัติล้ำค่าที่สูญหายไปได้กลับคืนมาแล้ว
หลินม่ายเอ่ยถาม “ทำไมคุณถึงไม่ถามฉันเลยว่าได้เจอกับอะไรระหว่างที่ถูกลักพาตัว?”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเฉยเมย “มีอะไรให้ถามถึง เมื่อวานผมตรวจร่างกายคุณขณะที่หลับแล้ว ผมไม่พบรอยแผลร้ายแรงใด”
ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และทุบเขาสองถึงสามครั้ง “ทำไมคุณถึงไร้ยางอายอย่างนี้?”
ฟางจั๋วหรานจูบเธอที่ริมฝีปาก “มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมไร้ยางอาย คุณยังไม่ชินกับมันอีกหรือ?”
หลินม่ายถึงกับพูดไม่ออก
เธอคิดในใจ บางทีอีกสามถึงห้าปีข้างหน้าหลังจากกลายเป็นสามีภรรยากัน เธออาจเริ่มชินชากับมันก็ได้
หลินม่ายกระตุกแขนของฟางจั๋วหรานด้วยความเขิน ก่อนกล่าวไปว่า “ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ”
เธอจงใจพูดถ้อยคำในเชิงที่หมายถึงเธออาจถูกโจรลักพาตัวข่มขืน เพื่อดูปฏิกิริยาของฟางจั๋วหราน
เธอรู้ว่าแม้จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็คงยอมรับได้ แต่เพียงต้องการดูว่าเขาสนใจหรือไม่
ฟางจั๋วหรานตอบกลับอย่างใจเย็น “ถ้ามันเกิดขึ้นจริงแล้วอย่างไร? ตราบใดที่คุณกลับมาอย่างปลอดภัย นั่นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว”
หลินม่ายรู้สึกอบอุ่นในหัวใจคล้ายกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน เธอเอนพิงแนบหน้าอกของเขาราวกับลูกแมว “ถ้าบอกว่าฉันยังคงบริสุทธิ์ คุณจะเชื่อไหม?”
“เชื่อสิ คุณไม่จำเป็นต้องโกหกผมเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้หรอก” ฟางจั๋วหรานยื่นมือใหญ่ออกไปลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน
หลินม่ายถามอย่างสงสัย “ทำไมคุณถึงได้มั่นใจนักล่ะ?”
“เพราะคุณไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ชาย ถ้าผมรับไม่ได้กับความด่างพร้อยบนร่างกายคุณ คุณเพียงหันหลังกลับเพื่อเดินจากไป และใช้ชีวิตอย่างดีกับลูก ๆ เพราะงั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะโกหกไม่ใช่เหรอ?”
หลินม่ายยิ้ม “คุณรู้จักฉันดีเสมอ”
ฟางจั๋วหรานคิดในใจ ถ้าเขาไม่รู้จักเธอ เธอจะยังคงเลือกเขาอยู่ไหม?
เมื่อนึกถึงวีรกรรมของฟางจั๋วหรานที่เสี่ยงชีวิตผ่าตัดให้พี่หลงเพื่อช่วยเหลือเธอ หลินม่ายรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เธอสวมกอดฟางจั๋วหรานแน่นกระทั่งผล็อยหลับไป
หลินม่ายไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นและไม่สามารถบอกความจริงกับอาจารย์ที่ปรึกษาได้
เรื่องนี้ไม่ได้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์และไม่ได้ฟ้องร้องเป็นคดีความที่สถานีตำรวจ ครูที่ปรึกษาจึงอาจไม่เชื่อ
หลินม่ายพูดได้เพียงว่าที่ดินในฮ่องกงไม่ง่ายที่จะจัดการ ดังนั้นมันจึงล่าช้าออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์
อาจารย์ที่ปรึกษาต่อว่าเธอสองถึงสามคำ และขอให้เธอถามเพื่อนร่วมชั้นเพื่อทบทวนบทเรียน และทำการบ้านส่วนที่พลาดไป
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลินม่ายฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ เธอกลับไปค้นหาภาพคัดอักษรและภาพวาดโบราณจากในบ้าน
เธอหยิบของเก่าราวสองถึงสามชิ้นที่คิดว่าดีที่สุด เพื่อจะนำพวกมันไปยังตลาดของเก่าในตลาดมืดและให้ผู้คนที่นั่นดูว่ามันมีค่ามากแค่ไหน
เธอต้องการให้คนสนิทนำมันไปตรวจสอบก่อนจะส่งให้กับฟ่านฉางคงในฮ่องกง เพื่อที่เขาจะได้นำของเหล่านี้ไปมอบเป็นของขวัญแก่อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่
ตราบใดที่อธิบดีกรมที่ดินยอมรับผลงานการคัดอักษรและภาพวาดโบราณของเธอ ความสัมพันธ์นี้ก็จะมั่นคง
การซื้อที่ดินในนามของว่านทงกรุ๊ปในฮ่องกงจะไม่ใช่เรื่องยากเหมือนครั้งก่อนหน้า
ตั้งแต่หลินม่ายถูกลักพาตัวในฮ่องกง ฟางจั๋วหรานก็ให้ความสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอเป็นพิเศษ
แม้ว่าประเทศจะมีการปราบปรามมาหลายปี กฎหมายและความสงบเรียบร้อยค่อนข้างดี แต่ก็ยังมีอาชญากร
ตลาดค้าของเก่า ตลาดมืด เป็นสถานที่ที่มีอาชญากรจำนวนมาก
จะเกิดอะไรขึ้นหากงานคัดอักษรและภาพวาดโบราณของภรรยามีราคาแพงและตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี?
ภรรยากำลังจะไปตลาดขายของเก่าในตลาดมืด และเขาต้องตามเธอไปเพื่อเป็นบอดี้การ์ด
ไม่ใช่ว่าเขาหาบอดี้การ์ดให้หลินม่ายไม่ได้ แต่เธอยังเป็นนักเรียนอยู่ และมันคงจะโดดเด่นเกินไปที่จะเดินไปไหนมาไหนพร้อมบอดี้การ์ด ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพของประเทศ
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ หลินม่ายหยิบภาพคัดอักษรและภาพวาดโบราณที่เธอเลือก และพาฟางจั๋วหรานไปตลาดค้าของเก่าที่ตลาดมืด
เมื่อเธอวางงานคัดอักษรและภาพวาดโบราณเหล่านั้นลงบนพื้น ก็มีคนมาถามทันทีว่าเธอขายอย่างไร
หลินม่ายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเขียนพู่กันและภาพวาดโบราณ เธอจะรู้ได้อย่างไรว่ามันควรขายราคาเท่าไหร่?
สำหรับฟางจั๋วหรานซึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้างยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตลาด และรู้เพียงวิธีกวัดแกว่งมีดผ่าตัด
หลินม่ายจึงตอบไปว่า “ลองเสนอราคามาสิคะ ตราบใดที่ราคาสมเหตุสมผลฉันจะยอมขายให้”
บุคคลนั้นยื่นข้อเสนอ แต่หลินม่ายปฏิเสธที่จะขายเพราะราคาไม่สมเหตุสมผล
เธอใช้กลยุทธ์นี้เพื่อดึงดูดลูกค้าจำนวนมากที่ต้องการซื้อ
จากนั้นวิเคราะห์ราคาที่ลูกค้าเหล่านั้นเสนอซื้อ แล้วก็รู้ราคาของงานคัดอักษรและภาพวาดโบราณ
หลินม่ายเลือกของเก่าที่มีราคาแพงที่สุดชิ้นหนึ่ง รวมถึงงานเขียนพู่กันและภาพวาดที่แพงที่สุดอีกชิ้นหนึ่ง ก่อนส่งมอบหมายให้คนที่ไว้วางใจนำไปให้ฟ่านฉางคง
เหตุผลที่เธอให้ผลงานการคัดอักษรและภาพวาดอย่างละหนึ่งชิ้นกับอธิบดีกรมที่ดิน เนื่องจากหลินม่ายวางแผนในใจแล้ว
การมอบของขวัญมากมายเกินไป มันเหมือนบอกเป็นนัยว่าเธอสามารถหางานคัดอักษรและภาพวาดโบราณเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
เธอต้องการแสดงให้เห็นว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะหางานศิลปะทั้งสองชิ้นมา อธิบดีกรมที่ดินจึงจะยอมรับความโปรดปรานของเธอ และคงไม่ขอผลงานชิ้นอื่นอย่างง่ายดายในอนาคต
ผลงานการคัดอักษรและภาพวาดโบราณมีค่ามาก หลินม่ายไม่ได้วางแผนที่จะมอบให้เขามากไปกว่านี้
หลังจากที่ฟ่านฉางคงมอบผลงานการคัดอักษรและภาพวาดโบราณให้อธิบดีกรมที่ดิน เขาก็ต่อสายหาหลินม่ายและบอกเธอว่าของขวัญเหล่านี้ถูกใจอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่มาก
อธิบดีกรมที่ดินมีความสุขมาก แล้วยังตบไหล่เขาและพูดเป็นนัยว่า หากเขาต้องการซื้อที่ดินในอนาคต ให้เขาไปหาอธิบดีกรมที่ดิน
หลังจัดการเรื่องอธิบดีกรมที่ดินแล้ว หลินม่ายต้องการหาครูสอนศิลปะการต่อสู้เพื่อเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัว
ฟางจั๋วหรานยังช่วยค้นหาว่าที่ใดมีครูศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมบ้าง
คณบดีผมหงอกแนะนำชายที่แข็งแกร่งในวัยสี่สิบเศษที่มีแซ่อวี๋จากโรงเรียนกีฬาปักกิ่งให้เขา
ฟางจั๋วหรานคิดว่าชายคนนี้เป็นเพียงครูสอนศิลปะการต่อสู้ธรรมดาในโรงเรียนกีฬา แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมและสอนศิลปะการต่อสู้ระดับชาติหลายคนแล้ว
หลินม่ายดื่มจอกเหล้า คารวะอาจารย์ และใช้เวลาว่างเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากอาจารย์อวี๋
ข้อดีของการเรียนศิลปะการต่อสู้คือ คุณสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว
หลินม่ายใช้เวลาว่างในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ บวกกับการวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้า ภายในหนึ่งเดือนเธอก็ลดน้ำหนักจนเหลือเท่ากับก่อนจะคลอดมู่ตงตัวน้อย
เพื่อนร่วมห้องบางคนที่มีรูปร่างอ้วนง่ายขู่ว่าจะทุบตีเธอ พวกเขาต้องการลดน้ำหนักสัก 1-2 กิโลกรัม แต่มันหนักหนาราวกับว่าพยายามบินขึ้นไปบนฟ้า ขณะที่หลินม่ายกลับลดน้ำหนักได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุดก็มีคนเต็มใจเช่าเรือนสี่ประสานทั้งหมดของหลินม่ายผ่านตัวแทนอสังหาริมทรัพย์หลู่
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีลูกค้าแวะเวียนมาแสดงเจตจำนงต้องการเช่า แต่ด้วยราคาที่สูงเกินไป หรือด้วยเงื่อนไขเพิ่มเติมที่มากเกินไป พวกเขาจึงไม่ได้ทำการตกลงเช่า
หลินม่ายได้รับโทรศัพท์จากนายหน้าหลู่ เธอขับรถไปหาตัวแทนอสังหาริมทรัพย์โดยไม่หวังอะไรมากนัก
ผู้เช่าที่ต้องการเช่าเรือนสี่ประสานทั้งหมดของเธอเป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวดีมีภูมิฐาน
เขาไม่ได้ต่อรองอะไร ไม่พูดถึงเรื่องเงื่อนไขเพิ่มแต่ และไม่ลังเลที่จ่ายค่าเช่าพร้อมเงินค่ามัดจำ
หลินม่ายเซ็นสัญญากับเขาเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่เธอกำลังจะจากไป เธอเห็นเฝิงเยว่จู๋เดินจับมือกับชายคนหนึ่ง
หลินม่ายจำชายคนนั้นได้ เขาคือลู่เวย ชายหนุ่มที่นัดบอดกับเฝิงเยว่จู๋
เมื่อเห็นหลินม่าย เฝิงเยว่จู๋พลันแข็งค้างไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวยิ้มอย่างยั่วยุ “บังเอิญจริง ๆ ประธานหลิน ที่ได้พบกับคุณที่นี่”
หลินม่ายมีไหวพริบในการทำธุรกิจเท่านั้น สำหรับคนคุณภาพต่ำและมีมารยาททรามอย่างเฝิงเยว่จู๋ หลินม่ายไม่สนใจที่จะเสวนาด้วยในทุกโอกาส
มันเสียเวลาและเสียความรู้สึก
เธอไม่ตอบและไม่มองหล่อน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินต่อไป
เฝิงเยว่จู๋หยุดเธอไว้ก่อน “ประธานหลินอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปสิคะ ฉันอยากแนะนำแฟนของฉันให้คุณได้รู้จัก”
หลินม่ายหยุดเดินและตอบกลับด้วยคำประชดประชัน “เชิญทำการแสดงต่อได้เลยค่ะ”
คำพูดเหล่านี้รุนแรงเกินไป เฝิงเยว่จู๋เดือดดาลหนักจนสีหน้าหมองคล้ำ หล่อนยิ้มเยาะทันที “ประธานหลิน ช่วยพูดจาอย่างสุภาพด้วยสิคะ คุณจะทำให้คนอื่นขุ่นเคืองด้วยการพูดแบบนี้ได้ ฉันกับแฟนกำลังจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้…”
หลินม่ายพูดสวนทันที “ฉันจะไม่ไปงานแต่งงานของคุณค่ะ เราไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน”
เฝิงเยว่จู๋ปิดปากยิ้มเล็กน้อย “ฉันรู้ค่ะว่าเราไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้วางแผนจะเชิญคุณมาร่วมงานด้วย”
หล่อนกล่าวเย้ยหยันต่อ “คุณเป็นเพียงผู้ประกอบการเอกชนในประเทศระดับต่ำ ส่วนแฟนของฉันและฉันจะอพยพไปอยู่ที่อเมริกาหลังจากเราแต่งงานกัน ในอนาคตเราจะเป็นชาวจีนโพ้นทะเล”
หลินม่ายขัดหล่อนอีกครั้ง “ถ้าคุณและสามีอพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา คุณจะเรียกตัวเองว่าชาวจีนโพ้นทะเลไม่ได้ และเรียกได้แค่ว่าคนจีนเท่านั้น ชาวจีนโพ้นทะเลจะยังคงมีสัญชาติจีน แต่จะไม่ใช่พลเมืองของประเทศจีนอีกต่อไป หากทั้งสองประเทศทำสงครามกัน คุณและสามีจะเล็งปืนมายังประเทศที่คุณเกิดและเติบโต เพื่อปกป้องอเมริกา หากคุณต้องการย้ายถิ่นฐาน คุณต้องทำงานหนัก ค่าตรวจคนเข้าเมืองเพียงสองร้อยห้าสิบหยวน ถ้าคุณจ่ายไม่ไหว ฉันจะช่วยออกเงินส่วนนั้นให้โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายคืน”
เฝิงเยว่จู๋เย้ยหยันอย่างดูถูกเหยียดหยาม “คุณก็แค่กินองุ่นไม่ถึง แล้วไปเที่ยวพูดว่าองุ่นเปรี้ยว แฟนของฉันได้รับการว่าจ้างให้เป็นเสมียนสำนักงานในบริษัทกุยตันซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และเขาได้รับเงินเดือนหลายพันดอลลาร์ทุกเดือน คุณอิจฉาใช่ไหมล่ะ?”
หลินม่ายขมวดคิ้วและพูดด้วยความงุนงง “บริษัทข้ามชาติที่คุณพูดถึงเป็นของศาสตราจารย์ฟางครอบครัวฉัน ในฐานะภรรยาของเจ้าของบริษัทกุยตัน เหตุใดฉันจึงต้องอิจฉาพนักงานออฟฟิศเล็ก ๆ ที่มีเงินเดือนเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ด้วยล่ะ คุณช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้ไหม?”
เฝิงเยว่จู๋ไม่สามารถรักษารอยยิ้มเสแสร้งได้อีกต่อไป และพูดด้วยสีหน้ามืดมนว่า “คุยโวโอ้อวด!”
หลินม่ายมองลู่เวยแฟนของหล่อน “ในเมื่อคุณกำลังจะทำงานในบริษัทกุยตันในไม่ช้า คุณควรรู้ว่าฟางจั๋วหรานเป็นเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังบริษัทกุยตัน”
ลู่เวยส่ายหัว “ผมไม่เคยได้ยินเรื่องพรรค์นี้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรรู้ว่าใครคือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกุยตัน”
ลู่เวยส่ายหัวอีกครั้ง “ผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน”
เฝิงเยว่จู๋หัวเราะอย่างเย้ยหยันและกล่าวคำประชดประชัน “ฮ่าๆๆ คุณนี่แต่งเรื่องเก่งจริง ๆ กล้าบอกว่าบริษัทกุยตันเป็นของสามีตัวเอง แต่แฟนฉันกลับไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน ตอนนี้คุณไม่อ้างตัวเองว่าเป็น CEO ของบริษัทกุยตันอีกหรือไง”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างจริงจัง “ฉันเป็นจริง ๆ”
เธอไม่ได้โกหก ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอกับฟางจั๋วหรานไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อรับมรดกจากป้าของเขา บริษัทข้ามชาติที่ป้าทิ้งไว้ให้เขาได้รับการจัดการโดยหลินม่ายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เพียงแต่ว่าลูกน้องเก่าของคุณป้าฟางจั๋วหรานบริหารบริษัทได้ดีมาก และหลินม่ายแค่ต้องดูแลมันด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ไม่ว่าเธอจะมีส่วนร่วมเพียงน้อยนิด เธอก็ยังคงเป็น CEO ของบริษัทกุยตัน
การตัดสินใจที่สำคัญของบริษัทยังคงต้องได้รับการอนุมัติจากเธอก่อนที่จะดำเนินการได้
เฝิงเยว่จู๋หัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องตลกใหญ่ “คุณนี่น่าไม่อายจริงๆ”
หลินม่ายยังคงรักษาความสุขุม “คุณขอให้แฟนคุณถามเจ้านายเขาว่า CEO ของบริษัทกุยตันคือหลินม่ายประธานว่านทงกรุ๊ปหรือไม่ก็ได้นะ”
ลู่เวยไม่กล้าโทรหาเจ้านายของเขา แต่เฝิงเยว่จู๋ต้องการทำให้หลินม่ายอับอาย ดังนั้นหล่อนจึงคะยั้นคะยอให้เขาทำ
ลู่เวยถูกล่อลวงโดยคำพูดของหล่อน และขอยืมโทรศัพท์จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อโทรหาเจ้านายของเขาและสอบถามความจริง
เมื่อผู้จัดการของหน่วยงานอสังหาริมทรัพย์ได้ยินว่าเขาต้องการโทรระหว่างประเทศ เขาก็ปฏิเสธที่จะให้ยืมโทรศัพท์ เว้นแต่อีกฝ่ายจะจ่ายเงิน
เฝิงเยว่จู๋เชิดคาง “เรามีปัญญาจ่ายค่าโทรระหว่างประเทศได้ ดังนั้นให้เราโทรซะ”
ผู้จัดการร้านจึงอนุญาตพวกเขาโทรหา
ลู่เวยต่อสายหาเจ้านายและต้องการยืนยันว่าหลินม่ายเป็น CEO ของบริษัทกุยตันใช่หรือไม่
เจ้านายของลู่เวยถามเขาว่า ทำไมถึงได้ถามเรื่องนี้ทางโทรศัพท์
ลู่เวยมีไหวพริบอยู่บ้าง จึงพูดทางโทรศัพท์ว่า “ผมและประธานหลินเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา เธอบอกว่าตนเองเป็น CEO ของเรา แต่ผมไม่เชื่อ จึงได้โทรมาสอบถามเกี่ยวกับความจริงดังกล่าว”
หลังหลินม่ายได้ยินแบบนั้น เธอก็แอบเย้ยหยันที่ผู้ชายคนนี้กล้าอ้างตนเองว่าเป็นเพื่อนของเธอ
เขาทำราวกับเธอไม่อยู่ตรงนี้
เธอคว้าโทรศัพท์และพูดกับเจ้านายของลู่เวยที่ปลายสายว่า “ฉันไม่รู้จักเขา และไม่ใช่เพื่อนของเขา อย่าไปฟังสิ่งที่เขาพูด”
คนที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์ตกตะลึงและถามว่า “แล้วผมควรเชื่อใครดี?”
ด้วยการโทรศัพท์เพียงครั้งเดียว เขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าหญิงสาวที่พูดด้วยคือหลินม่ายจริงไหม
หลินม่ายบอกว่าเธอจะส่งแฟกซ์จดหมายอย่างเป็นทางการเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลู่เวย
ลู่เวยที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงจนแข็งข้าง
เขาทำให้ CEO ขุ่นเคืองก่อนที่จะได้ร่วมงานกับบริษัทกุยตันอย่างเป็นทางการ แล้วเขาจะยังได้ทำงานในบริษัทนี้ในอนาคตอีกหรือ?
หลินม่ายมองเฝิงเยว่จู๋อย่างไม่แยแสและเดินจากไป
เฝิงเยว่จู๋กำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ
หล่อนคิดเสมอว่าที่หล่อนและไป๋เซี่ยต้องเลิกรากันล้วนเป็นความผิดของหลินม่าย ถ้าอีกฝ่ายไม่ฟ้องพ่อไป๋และไป๋เซี่ย แล้วหล่อนกับไป๋เซี่ยจะยกเลิกการแต่งงานได้อย่างไร?
โชคดีที่ในบรรดาผู้สมัครนัดบอดทั้งหมด ลู่เวยมองเห็นบางสิ่งที่พิเศษในตัวหล่อนและเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหล่อน
มิฉะนั้นด้วยการเหยียบเรือสองลำ เมื่อเรือทั้งสองลำล่ม หล่อนจะต้องลำบากตรากตรำ
ลู่เวยสัญญาว่าจะพาหล่อนไปสหรัฐอเมริกาหลังจากแต่งงาน ซึ่งมันดีกว่าแต่งงานกับไป๋เซี่ยไม่ใช่หรือไง?
แม้ว่าทั้งสองคนจะไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเมื่อกลับมาประเทศจีน
โดยไม่คาดคิดว่าเมืองจะแคบขนาดนี้ เมื่อหล่อนมาหาตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เพื่อซื้อบ้าน กลับบังเอิญได้เจอหลินม่าย
เดิมทีเฝิงเยว่จู๋ต้องการคว้าโอกาสนี้แก้แค้นหลินม่ายเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้ว่า แม้หล่อนจะยุยงให้ไป๋เซี่ยยกเลิกการหมั้นหมาย แต่หล่อนก็สามารถหาผู้ชายที่ดีกว่าพี่ชายของหล่อนได้
แต่สุดท้าย… ไม่เพียงแก้แค้นไม่สำเร็จเท่านั้น แต่ยังถูกตบหน้าอย่างแรงอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เวยยังตะคอกใส่หล่อน หาว่าหล่อนเป็นนังสารเลว
เฝิงเยว่จู๋รู้สึกผิดอย่างมาก และความแค้นของหล่อนที่มีต่อหลินม่ายยิ่งถลำลึกลงไปมากกว่าเดิม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โชคดีที่พี่ชายม่ายจื่อไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ทองคนโง่ชัดๆ แทนที่จะเป็นทองแท้
ไหหม่า(海馬)