“ก็แน่อยู่แล้วสิ เวลาที่พวกมันจะได้ลิ้มรสชาติของสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมาถึงแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเธอจะไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือ แต่ในสายตาของแมวเฒ่านั้น เขากลับคล้ายจะมองเห็นเคียวอันสุดแสนงดงามปรากฏขึ้นในนั้นรางๆ ”มนุษย์จะตระหนักได้ว่าการกระทำของตัวเองโหดร้ายเพียงใดก็ต่อเมื่อตัวเองตกเป็นเหยื่อแล้วเท่านั้น”
มือของแมวเฒ่าสั่นเล็กน้อย ”คุณ.. คุณหมายความว่า… คุณต้องการให้ลูกทุกคนของพวกเขา… ลูกพี่เวย ฟังผมก่อน! ที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่น ถ้าคุณทำแบบนี้คุณจะเอาตัวรอดกลับไปไม่ได้นะครับ! ต่อให้เป็นองค์กรวิญญาณก็ใช่ว่าจะก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้ นอกเสียจากว่าคุณไม่คิดที่จะอยู่ที่ประเทศจีนแล้วเท่านั้น คนเบื้องบนพวกนั้นไม่มีวันยอมให้ใครคุกคามอำนาจของพวกเขาแน่”
“ผู้มีอำนาจหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเย็นชา ”ถ้าเทียบกับความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อเป็นแม่จำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียลูกของตัวเองไป อำนาจของคนพวกนั้นก็ไร้ค่าในสายตาฉัน ในยุคสมัยแห่งข้อมูลแบบนี้ ฉันมีวิธีการที่จะทำให้พวกมันถูกจับเข้าคุกในข้อหาลักลอบค้ามนุษย์และฆาตกรรมได้หลายวิธีทีเดียว”
แมวเฒ่าอ้าปากขึ้นและอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็ถูกไป๋หลี่ซ่างเสียที่อยู่ข้างหลังผลักเข้าเสียก่อน
กระเป๋าของเด็กชายตัวน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ไม่ใช่แค่นั้น ในมือของพวกเขายังมีเพชรอายุเก่าแก่อยู่อีกหลายเม็ด
พวกเขาไปหยิบของเยอะแยะขนาดนี้มาตั้งแต่ตอนไหน?!
ตอนที่เบื้องบนส่งคนมาตรวจสอบ พวกเขายังหาของล้ำค่าพวกนี้ไม่เจอเลยด้วยซ้ำ!
เยี่ยม ทีนี้ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว!
แมวเฒ่าทึ้งผมสีดำของตัวเองขณะเฝ้ามองคนทั้งสามเดินหายลับออกจากประตูร้านอินเตอร์เน็ตไป จากนั้นเขาจึงหันหน้าไปที่โต๊ะหน้าร้าน ”จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่ให้ลูกค้าคนไหนเข้าพบอีก ถ้ามีใครถามถึงฉัน ก็บอกพวกเขาไปว่าฉันไปเนปาล ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย รีบจองตั๋วให้ฉันเร็วเข้า!”
เขาไม่อยากพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการหนีออกนอกประเทศ ขอคืนวันอันสงบสุขให้เขาบ้างก็ยังดี!
ในอวิ๋นกุยกำลังจะมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป และไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น…
เวลาสามนาฬิกาสี่สิบนาที ณ สถานีรถไฟของเขตอวิ๋นกุย
ทุกคนรู้ดีว่าที่เมืองอวิ๋นกุยไม่มีรถไฟความเร็วสูง จะมีก็แค่รถไฟธรรมดา
จริงอยู่ที่ที่นี่มีสนามบิน แต่เที่ยวบินมักจะถูกยกเลิกอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากสภาพอากาศ
ดังนั้นรถไฟธรรมดาจึงมักเป็นตัวเลือกในการเดินทางของคนส่วนใหญ่
เนื่องจากที่นี่มีรถไฟที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองต้าหลี่ ดังนั้นสถานีรถไฟเขตอวิ๋นกุยจึงแน่นขนัด
อาจเป็นเพราะว่ามันอยู่ใกล้กับเขตชายแดนอย่างมาก ดังนั้นต่อให้จะมีการตรวจตราที่เข้มงวดรัดกุมเพียงใด แต่ที่นี่ก็ยังมีคนอยู่ทุกรูปแบบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกจับตามองทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในสถานีรถไฟพร้อมกับเด็กน้อยทั้งสอง
พ่อค้าขายตั๋วผีหลายคนเดินเข้ามาล้อมรอบตัวเธอ และตั้งใจว่าจะแยกเธอออกจากเด็กทั้งสอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ทันกลอุบายของอีกฝ่าย เธอจึงไม่ได้แสดงสีหน้ากังวลออกมา แต่กลับส่งยิ้มสว่างไสวให้กับพวกเขา
พ่อค้าพวกนั้นลอบมองตากัน แล้วสาวเท้าเดินต่อ พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนจากหน่วยงานทางกฎหมายปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้ อย่างไรตอนนี้ก็เป็นเวลาตีสามสี่สิบนาทีแล้ว และคนส่วนมากก็กำลังหลับอยู่ ดังนั้นการจัดการกับผู้หญิงคนเดียวและเด็กอีกสองคนจึงถือเป็นงานกล้วยๆ สำหรับพวกเขา
โดยเฉพาะเด็กสองคนนั้น เพียงแค่พวกเขาหยิบยันต์ของหัวหน้าออกมาแล้วแปะลงบนแผ่นหลังของพวกเขา เจ้าเด็กสองคนนี้ก็จะไม่สามารถขัดขืนได้ ต่อให้พวกเขาจะเก่งกาจเพียงใด แต่พวกเขาก็จะหมดสติไปภายในเวลาไม่กี่วินาที
เมื่อคิดได้เช่นนั้น บรรดาพ่อค้าเหล่านั้นก็หมุนตัวกลับไปแปะยันต์เข้าที่แผ่นหลังของไป๋หลี่ซ่างเสีย จากนั้นจึงโน้มตัวลงเพื่ออุ้มไป๋หลี่ซ่างเสียขึ้นมา
แต่พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่า
ยันต์แผ่นนั้นจะลุกเป็นไฟทันทีราวกับเจอศัตรูที่ยากจะต่อกร จากนั้นมันก็สลายกลายเป็นเถ้าอย่างรวดเร็ว!
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กชายเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งสีหน้าบนใบหน้าของเขาก็ยังคงอวดดีและเย็นชาเหมือนอย่างเคย ดวงตาที่สามารถแช่แข็งหัวใจคนได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียวเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีเดียวกับเลือด
พ่อค้าเหล่านั้นก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แม้แต่นิ้วของพวกเขาก็ยังสั่นเทา จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนเป้าหมาย แล้วคิดจะใช้ยันต์แผ่นนั้นกับเสี่ยวชิงเฉิง!
แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น เพราะเสี่ยวชิงเฉิงถีบเอวของพ่อค้าคนหนึ่งก่อนที่เขาจะลงมือเสียอีก ในระหว่างที่พ่อค้าคนนั้นกำลังจะล้มลง เด็กชายก็ฟาดฝ่ามือของตัวเองเข้ากับเข่าของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว! ชายคนนั้นหน้ามืดทันทีที่กระแสพลังนั้นปะทะเข้ากับตัวเขา เข่าของเขาอ่อนยวบและทรุดลงไปกองกับพื้นทันที เสี่ยวชิงเฉิงยังไม่หยุด เขายื่นฝ่ามือออกไปคว้าข้อมือของชายร่างผอมที่อยู่ด้านหลัง ชายคนนั้นทรุดฮวบทันทีที่เด็กชายออกแรงกำรอบข้อมือนั้น
แม้จะเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เทียบเท่ากับนักเทควันโดสายดำ
อีกฝั่งหนึ่งนั้นกลับดูยิ่งอันตรายกว่ามาก ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงดังปัง!
ชายสองคนที่ล้อมไป๋หลี่ซ่างเสียกระเด็นกลับมา หนึ่งในนั้นน้ำลายฟูมปาก ส่วนที่ศีรษะของอีกคนก็มีเลือดออก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็หมดสติไปแล้ว แต่ไป๋หลี่ซ่างเสียเป็นปีศาจ ดังนั้นเขาจึงยังไม่คิดที่จะหยุด เขาเหยียบท้องของชายตัวโตที่พยายามจะลุกขึ้น จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ว่างพับแขนเสื้อยาวให้กับเสี่ยวชิงเฉิงที่เสื้อผ้ายับยู่ยี่
พ่อค้าที่ล้มลงกับพื้นรู้สึกโมโหกับความอวดดีของเด็กทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด
ไป๋หลี่ซ่างเสียขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับพวกเขา และตั้งใจว่าจะกินวิญญาณของพวกเขาทันทีถ้าคนพวกนี้ทำให้เขาไม่พอใจ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปห้ามเขา ”ถ้ามีคนตายพร้อมกันมากเกินไป มันจะดึงดูดความสนใจให้กับพวกเราได้ พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟ เดี๋ยวจะมีคนมาจัดการเก็บคนพวกนี้เอง”
เสียงปรบมือก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ
“ลูกพี่ ลูกพี่ไปหาเด็กฝีมือดีขนาดนี้มาจากไหนครับ!” เอสเดินล้วงกระเป๋าออกมาจากมุมหนึ่งด้วยรอยยิ้ม แอลเดินตามหลังเขามาติดๆ ดูเหมือนทั้งสองคนจะมาถึงที่นี่ก่อนเวลาและวางแผนที่จะสู้กับบรรดาพ่อค้าพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะไม่มีความจำเป็นให้พวกเขาลงมือแต่อย่างใด พวกเขารู้อยู่แล้วว่านายน้อยของพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน นายน้อยเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องยกความดีความชอบให้กับชายฉกรรจ์ทั้งหกที่ฝึกเขามา บนแผ่นดินนี้ การจะหาอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงเหมือนนายน้อยนั้นนับว่ายากยิ่ง แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่เด็กชายผิวขาวกับดวงตาสีแดงเลือดคนนี้กลับอันตรายยิ่งกว่านายน้อยของพวกเขาเสียอีก เด็กสมัยนี้โตมาด้วยวิธีไหนกันแน่?!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”ฉันไม่ได้เป็นคนเจอซ่างเสีย เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเสี่ยวชิงเฉิง”
หลังจากได้ยินดังนั้น ดวงตาของเอสและแอลก็เป็นประกายวาววับระหว่างมองไปที่ไป๋หลี่ซ่างเสีย
นายน้อยไม่เคยเป็นเพื่อนกับใครมาก่อน
จริงอยู่ที่นายน้อยนิสัยดี และแถวของเด็กที่อยากเป็นเพื่อนกับเขาก็ยาวเป็นหางว่าว
แต่นายน้อยกลับไม่เคยสนิทสนมกับเด็กคนอื่นๆ เลยแม้แต่คนเดียว เขากลับมาขลุกอยู่กับพวกเขาแทน
ตอนนี้ในที่สุดนายน้อยก็มีเพื่อนจริงๆ แล้ว!
เด็กคนนี้มีเสน่ห์อะไรถึงสามารถดึงดูดสายตานายน้อยได้
เดี๋ยวนะ นี่เขาตาฝาดอยู่หรือเปล่า
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเวลาที่เด็กคนนี้หัวเราะ เขาถึงดูเหมือนลูกพี่ไม่มีผิดเลยล่ะ