“เอาล่ะ รถไฟใกล้จะมาถึงแล้ว พวกเราต้องเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นมองนาฬิกาบนข้อมือข้างซ้าย จากนั้นจึงหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันลมสีดำของตัวเอง แล้วจับมันยัดใส่กระเป๋า จากน้ันจึงขัดจังหวะสิ่งที่เอสกำลังคิดอยู่ว่า ”แอลนายเข้ามาในสถานีกับฉันแล้วยืนประกบทางซ้ายมือ ถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น ให้พวกนายทุกคนล่วงหน้าไปก่อนได้เลย”
อาวุธที่สามารถสัมผัสได้อย่างเช่นมีดสั้นเล่มนี้ย่อมอันตรายกว่ารองเท้าบูทของแอลมาก
แต่นี่เป็นวิธีที่ดีทีสุดในการเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เวลาสามนาฬิกาสี่สิบห้านาทีตรง สมาชิกทุกคนจึงเริ่มเดินเข้าไปในสถานี
ตอนที่กระเป๋าของเฮ่อเหลียนเวยเวยมาถึงจุดตรวจ สัญญาณเตือนย่อมดังขึ้นดังคาด
นายตำรวจที่กำลังจะสั่งให้แอลหยุดเดินเหลือบมองเขาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากไปกว่านั้นหลังจากตรวจบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วรถไฟเสร็จ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาหาเฮ่อเหลียนเวยเวย ”มีอะไรหรือ”
“ดูเหมือนในกระเป๋าของเธอจะมีอะไรอยู่” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ”ดูจากรูปร่างแล้ว ดูเหมือนจะเป็นมีด”
นายตำรวจคนนั้นมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ”เปิดกระเป๋าด้วยครับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไร เธอรูดซิปเปิดกระเป๋าเงียบๆ เผยให้เห็นมีดสั้นเล่มหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น
“คุณไม่รู้หรือว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้นำสิ่งนี้ขึ้นรถไฟไปด้วย” นายตำรวจหยิบมีดสั้นขึ้นมา ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่ละสายตา
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจ ”ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้จริงๆ มันก็เป็นแค่มีดหั่นผลไม้ที่ฉันใช้หั่นผลไม้เป็นประจำ มีดแบบนี้ก็ห้ามนำขึ้นรถไฟเหมือนกันหรือ”
“ความยาวของมันเกินกว่าที่อนุญาตครับ คุณผู้หญิง คุณต้องทิ้งมีดหั่นผลไม้เล่มนี้ไว้ที่นี่ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่สามารถเข้าไปในสถานีได้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอธิบาย
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่คัดค้าน เพราะเธอบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองแล้ว
เด็กชายตัวน้อยสองคนไม่ได้มีสัมภาระมากนัก พวกเขาก้าวสั้นๆ โดยมีคนโตกว่าจับมือคนเล็กกว่าเอาไว้ขณะที่เดินตามหลังเฮ่อเหลียนเวยเวย พี่คนโตดูเท่อย่างมาก ส่วนน้องคนเล็กก็ดูน่าฟัด ภาพภาพนี้จัดว่าน่ารักน่าชังยิ่งนัก
หลังจากเข้ามาในสถานี เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เดินเข้าไปที่ห้องน้ำชาย เธอมองไปรอบๆ พร้อมกับหยิบป้ายทำความสะอาดที่อยู่ด้านข้างมาวางไว้หน้าประตู
เด็กชายตัวน้อยทั้งสองคอยดูต้นทางให้ พวกเขาจะชี้นิ้วบอกให้คนที่ต้องการเข้าห้องน้ำไปทางอื่น
คนทั้งสามมองหน้ากันในห้องน้ำแห่งนั้น
แอลย่อตัวลงปลดเครื่องประดับกว่าครึ่งที่อยู่บนรองเท้าบูทของตัวเองออกโดยไม่ลังเล หลังจากได้ยินเสียงคลิกสองสามครั้ง เครื่องประดับในมือของเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นปืนเก็บเสียงขนาดพกพา
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเครื่องประดับบนชุดของแอลสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น เข็มขัดของเขาที่จะกลายเป็นท่อยาวหลังจากยืดออก สร้อยที่ห้อยอยู่บนคอของเขาไม่ใช่สร้อยเหล็กธรรมดาๆ แต่เป็นโซ่กระสุนจริงสำหรับปืนซุ่มยิง
ในจำนวนทั้งสามคน เอสรับหน้าที่ตรวจสอบอาวุธในขณะที่อีกสองคนรับหน้าที่ในการประกอบ
เสียงดังคลิกๆ เริ่มเงียบลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับแอลเอียงคอพร้อมๆ กัน ในมือขวาของทั้งสองมีปืนอยู่คนละกระบอก ต่างคนต่างก็กำลังคำนวณหาระยะยิงให้กับเจ้าปืนกระบอกนั้น
“ระยะยิงดูเหมือนจะสั้นลงแล้วครับ”
“เราไม่จำเป็นต้องใช้ปืนยิงระยะไกลเวลาอยู่บนรถไฟ อย่าลืมสิว่าพวกเรามีปืนซุ่มยิงอยู่”
แต่ในเวลานี้ ชิ้นส่วนของปืนซุ่มยิงระดับตำนานกระบอกนั้นกลับถูกเด็กชายทั้งสองนั่งทับอยู่ เสี่ยวชิงเฉิงใช้มือเล็กๆ ของตัวเองแตะมันพร้อมกับเอียงศีรษะไปด้านหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เขาก็ลูบกล่องนั้นอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า ”เป็นม้านั่งที่ราคาแพงจริงๆ”
ไป๋หลี่ซ่างเสียเคยเล่นกับอาวุธของมนุษย์มาแล้วทุกชนิดตั้งแต่เขามาถึงโลกยุคปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าสิ่งที่พวกเขานั่งอยู่ไม่ใช่ของธรรมดา
แต่พวกเขากลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กขอทานได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะนั่งอยู่หน้าประตูห้องน้ำ
มีคนที่เดินผ่านไปมาโยนเหรียญเงินให้พวกเขาแล้วถึงหกคน เขาที่เป็นชนชั้นสูงมาโดยตลอดย่อมไม่เคยพบเจอกับประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
เสี่ยวชิงเฉิงมองเหรียญเงินที่คนพวกนั้นโยนมาให้พวกเขาเหมือนกัน เขาตระหนักได้ว่าจะมีคนโยนเงินให้พวกเขาทุกครั้งที่เขาลูบ ’ม้านั่งตัวเล็ก’ ที่ตัวเองนั่งอยู่
“รถไฟหมายเลข K11 เดินทางจากเขตอวิ๋นกุยมุ่งสู่ทิเบตเหนือ จะเริ่มทำการตรวจตั๋วตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปที่ประตูหมายเลข 13 รถไฟจากเขตอวิ๋นกุยมุ่งสู่…” ทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศ เฮ่อเหลียนเวยเวยกับแอลก็คว้ากระเป๋าที่ตอนนี้หนักอึ้งขึ้นแล้วเดินออกมาได้อย่างตรงเวลา
แต่การตรวจตั๋วนั้นแตกต่างไปจากตอนที่พวกเขาเข้ามาในสถานีรถไฟ แม้มันจะไม่ต้องมีการตรวจกระเป๋า แต่ผู้โดยสารจำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชนและตั๋วรถไฟให้พวกเขาตรวจสอบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับเอสสบตากัน ก่อนเดินเข้าไปในตู้โดยสารพร้อมกระเป๋าคนละหนึ่งใบ
พวกเธอไม่ได้ขึ้นตู้เดียวกัน คนหนึ่งขึ้นตู้ทางซ้าย ส่วนอีกคนหนึ่งก็ขึ้นทางขวา แต่เป้าหมายของพวกเธอก็คือตู้เสบียง
แน่นอนว่ามีใครบางคนสะกดรอยตามพวกเธอมาตลอดทาง แต่คนพวกนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำ พวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของบรรดา ’พ่อค้าขายตั๋วผี’ พวกนั้น แต่หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนตัวเอง พวกเขาก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าศัตรูแข็งแกร่งเพียงใด
เด็กตัวน้อยทั้งสองไม่ใช่คนที่ใครจะหาเรื่องได้ ส่วนสามคนนั้น จริงอยู่ที่พวกเขาอาจจะมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้ แต่การจัดการกับพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก
หลังจากยืนยันความคิดนี้ได้ พวกเขาจึงวางสัมภาระของตัวเองลงทันทีที่รถไฟเริ่มออกตัว จากนั้นจึงจับตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่คิดที่จะละสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมสังเกตเห็นบรรยากาศผิดปกติที่อยู่รอบตัวได้ แต่เธอก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาให้กับนกกระจิบนกกระจอกพวกนี้ พนักงานรถไฟเข็นรถขายขนมและเครื่องดื่มเข้ามา กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ คนธรรมดาคงไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นบนรถไฟมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
จุดเชื่อมต่อระหว่างตู้โดยสารอยู่ห่างออกไปอีกห้าสิบก้าว เพื่อสอนบทเรียนให้กับพวกเธอ คนพวกนี้จะต้องยืนขวางทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเพื่อเลี่ยงไม่ให้พนักงานรถไฟสังเกตเห็นเรื่องนี้อย่างแน่นอน
อีกอย่าง เหล่าลิ่วไม่ได้เลือกที่จะทำการซื้อขายบนรถไฟเพียงเพราะความสะดวกสบายเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนบนรถไฟขบวนนี้จะกลายเป็นตัวประกันของเขาทันที
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พวกเธอต้องตรวจสอบตั้งแต่หัวขบวนไปจนถึงท้ายขบวน
“เอส นายรับผิดชอบตู้หมายเลขหนึ่งถึงสิบ แอล พวกเราจะเริ่มจากหมายเลขสามสิบไปจนถึงสิบ แล้วจากนั้นให้มาพบกันที่ตู้เสบียง” เฮ่อเหลียนเวยเวยแนบหูฟังเข้ากับใบหน้าและพูดเสียงเบา ”แล้วก็อีกอย่าง ตรวจดูด้วยว่าในตู้โดยสารพวกนี้มีระเบิดอยู่หรือเปล่า”
ระเบิดหรือ
เสี่ยวชิงเฉิงยื่นมืออกไปกระตุกแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ผมขอกู้ระเบิดนะครับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าลูกชายมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เธอจึงผูกเครื่องตรวจจับระเบิดไว้ที่ข้อมือของเขาโดยไม่รอช้า ”ลูกรู้วิธีใช้อยู่แล้ว แล้วก็อย่ากินช็อกโกแลตโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะ”
“ครับ” เสี่ยวชิงเฉิงดูเหมือนองค์ชายตัวน้อยไม่มีผิด เขาเดินออกมาพร้อมกับจับมือของไป๋หลี่ซ่างเสียไว้
คราวนี้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขา นักค้ามนุษย์ซ่อนตัวอยู่ที่ที่นั่งของตัวเองหลังจากได้รับบทเรียน และไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว พวเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะฆ่าเขาเอาได้ เด็กชายทั้งสองดูพิศวงราวกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น!
ผ่านไปหนึ่งนาที
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกับแอล กำลังเดินมาทางนี้ พวกเขาจึงทยอยกันลุกขึ้นทีละคนแล้วตามพวกเขาไปขณะแสร้งเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาเดินมาสุดทางจนกระทั่งถึงที่สำหรับกดน้ำร้อน แล้วทันใดนั้นคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นจากทิศทางตรงกันข้าม และล้อมเฮ่อเหลียนเวยเวยกับแอลไว้กลางขบวน!