ชตอนที่ 901 เสี่ยวเหวินสอบผ่าน
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่
ครั้งนี้เธอกลับไปยังเมืองเจียงเฉิงเพื่อจัดการงานศพของคุณยายเถียนและชนะการประมูลโครงการสะพาน ซึ่งใช้เวลามากกว่าสิบวัน
อาหวงไม่ได้เห็นนายน้อยทั้งสองมานานกว่าสิบวันแล้ว เมื่อมันเห็นเสี่ยวมู่ตงและโต้วโต้วกลับมา หางของมันก็ส่ายไปมาด้วยความดีใจจนแทบหัก
บางครั้งสัตว์ก็เป็นผู้เยียวยาความเจ็บปวดในใจคนได้ ในไม่ช้าเสี่ยวเหวินก็เริ่มเล่นกับอาหวง จากนั้นความเศร้าบนใบหน้าของเขาก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ฟางจั๋วหรานมีความสุขไม่ต่างกับอาหวง เขาไม่ได้เจอภรรยาสุดที่รักมากกว่าสิบวัน และรู้สึกคิดถึงเธอมาก
ในช่วงเย็นเมื่อทั้งคู่เข้านอนในห้องเดียวกัน ฟางจั๋วหรานก็เปลี่ยนความถวิลหาเป็นความร้อนแรง หลินม่ายถูกเขาบดขยี้อย่างรุนแรงเจียนตาย และไม่ยอมหยุดยั้งราวกับต้องการกินหลินม่ายทั้งตัว
ศาสตราจารย์มักจะเต็มไปด้วยพลังเสมอเมื่ออยู่บนเตียง
…
หลังอาหารเช้า หลินม่ายพาเสี่ยวเหวินไปติดต่อโรงเรียนประถมที่รับเขาไว้
ในเมืองเจียงเฉิง ขณะที่หลินม่ายจัดการขั้นตอนการโอนย้ายทะเบียนบ้านสำหรับเสี่ยวเหวิน ครูประจำชั้นของเขายังคงลังเลที่จะปล่อยให้เขาไป
โดยบอกว่าผลการเรียนของเสี่ยวเหวินดีมาก เขาได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบกลางภาคและปลายภาคของแต่ละปี
เจียงเฉิงเป็นจังหวัดการศึกษาที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ ในช่วงทศวรรษ 1980 แม้แต่โรงเรียนประถมธรรมดาก็มีการศึกษาที่แข็งแกร่ง
แม้ว่าเสี่ยวเหวินจะไปแค่โรงเรียนประถมธรรมดา แต่เขาก็ยังได้อันดับหนึ่งในการสอบทุกปี ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นต้นกล้าที่ดีในการเรียนรู้ และหลินม่ายก็วางแผนที่จะปลูกฝังเขาอย่างดี
ดังนั้นเธอจึงต้องการส่งเสี่ยวเหวินไปเรียนที่โรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมชั้นนำ
เมื่อหลินม่ายจัดเตรียมการโอนย้ายทะเบียนบ้านของเสี่ยวเหวิน และติดต่อกับโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อลงทะเบียนในภายหลัง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมรับเสี่ยวเหวินอย่างง่ายดาย
เขาจะต้องได้รับการประเมิน และมีความเป็นไปได้ที่จะยอมรับเขาหลังจากผ่านการประเมินแล้วเท่านั้น
หลินม่ายบอกเขาว่าไม่ต้องประหม่าและไม่ต้องกลัวอะไร วันนี้ขอให้เขาทำข้อสอบตามปกติ
เสี่ยวเหวินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
เขาจ้องมองรอยคล้ำใต้ตาของหลินม่ายและพูดว่า “คุณอาครับ ผมคิดว่าคุณอาคงไม่สบาย เราค่อยไปโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อลงทะเบียนในวันพรุ่งนี้ก็ได้”
ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นสีแดง
ทั้งหมดเป็นเพราะฟางจั๋วหรานขาดความยับยั้งชั่งใจ แม้แต่เด็ก ๆ ยังสังเกตเห็นร่องรอยความรักของพวกเขา
โชคดีที่เสี่ยวเหวินอายุเพียงสิบขวบ ดังนั้นเขาจึงคาดเดาความจริงไม่ได้ และคิดว่าเธอไม่สบาย มิฉะนั้นหลินม่ายจะต้องอับอาย
หลินม่ายแสร้งทำเป็นกระแอม “ฉันสบายดี เมื่อคืนแค่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
เสี่ยวเหวินเชื่อคำพูดของเธอทันที
หลินม่ายขับรถพาเสี่ยวเหวินไปยังโรงเรียนประถมแห่งมหาวิทยาลัยชิงหวา
และเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไว้ โรงเรียนประถมแห่งมหาวิทยาลัยชิงหวานั้นไม่ง่ายนักที่จะเข้าเรียน และจำเป็นต้องทำบททดสอบ
เสี่ยวเหวินสามารถทำคะแนนเต็มได้ทั้งภาษาจีนและคณิตศาสตร์ แต่เนื่องจากโรงเรียนประถมทุกแห่งในเมืองเจียงเฉิงไม่ได้สอนภาษาอังกฤษ เขาจึงได้ศูนย์คะแนนในวิชานี้
แทบไม่ต้องพูดถึงในเมืองเจียงเฉิง แม้แต่โรงเรียนประถมทั่วไปในเมืองหลวงก็ไม่ได้เปิดสอนภาษาอังกฤษ
มีเฉพาะโรงเรียนประถมศึกษาชั้นนำที่เปิดสอนภาษาอังกฤษเท่านั้น
มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เสี่ยวเหวินจะไม่ผ่านการทดสอบ เขาเศร้าจนเกือบร้องไห้ ราวกับเขาอาจทำให้หลินม่ายผิดหวัง
แม้ภาษาอังกฤษระดับประถมจะไม่ยาก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนประถมแห่งมหาวิทยาลัยชิงหวาได้เพราะสอบตกภาษาอังกฤษ
หลินม่ายหารือกับรองอาจารย์ใหญ่ที่รับผิดชอบการรับสมัคร เพื่อดูว่าเขาสามารถยกเว้นและยอมรับเสี่ยวเหวินเข้าเรียนได้หรือไม่
รองอาจารย์ใหญ่กล่าวว่ามีความยืดหยุ่นบางอย่างที่เป็นไปได้ แต่ไม่อาจยกเว้นการรับเข้าเรียนได้
ทางโรงเรียนจะให้โอกาสเสี่ยวเหวินสอบอีกครั้งในปลายเดือนสิงหาคม
หากเสี่ยวเหวินผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษในครั้งนี้ ทางโรงเรียนจะยอมรับเขา
นี่เป็นเพราะโรงเรียนให้โอกาสเขาเนื่องจากคะแนนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ของเสี่ยวเหวินนั้นดีมาก
ระหว่างทางกลับบ้าน หลินม่ายเห็นว่าเสี่ยวเหวินมีอาการเซื่องซึม เธอจึงให้กำลังใจเขาไปว่า “อย่ากังวลเรื่องภาษาอังกฤษเลย อาจะจ้างครูสอนภาษาอังกฤษมาให้เมื่อเรากลับบ้านแล้ว”
เสี่ยวเหวินพยักหน้ารับ
บ่ายวันนั้น หลินม่ายได้จ้างครูสอนภาษาอังกฤษให้กับเสี่ยวเหวิน ซึ่งเป็นครูสอนพิเศษของโต้วโต้ว
หลังจากจัดการเรื่องของเสี่ยวเหวินแล้ว หลินม่ายก็เริ่มทำงานในโครงการบ้านจัดสรรเชิงพาณิชย์แห่งแรกในเมืองหลวง
หากต้องการสร้างที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ อันดับแรกเธอต้องมีที่ดิน
หลินม่ายพาเจียวอิงจวิ้นไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อขออนุมัติที่ดิน
ปัจจุบันเจียวอิงจวิ้นเป็นผู้ดูแลว่านทงกรุ๊ปในเมืองหลวง เขาจึงคุ้นเคยกับขั้นตอนการขออนุมัติที่ดินจากสำนักงานที่ดินและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากเคยพบคนหลายคนจากสำนักงานที่ดินผ่านผู้จัดการเซี่ยมาก่อน ที่ดินสำหรับโครงการบ้านจัดสรรเชิงพาณิชย์จึงได้รับการอนุมัติโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก และทำเลที่ตั้งก็ไม่เลวร้ายเลย
ในอนาคตหากเธอต้องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง เธอจะต้องไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อขออนุมัติที่ดิน จากนั้นจะต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำที่เกี่ยวข้องของหน่วยงาน
ด้วยเหตุนี้ หลินม่ายจึงสั่งให้เจียวอิงจวิ้นเชิญผู้นำเหล่านั้นไปร่วมดื่มและรับประทานอาหารในภัตตาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวง
เครื่องดื่มต้องเป็นเหมาไถ ยาสูบต้องเป็นยี่ห้อหอกระเรียนเหลืองปี 1916 เท่านั้น และอาหารก็ต้องเป็นเมนูที่แพงที่สุดเช่นกัน
หลิน่มายลำบากใจเรื่องเครื่องดื่มมากที่สุด หนึ่งคือเธอไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ และสองคือเธอรู้สึกอึดอัดเมื่อเมา
ภารกิจสำคัญในการดื่มกับผู้นำจึงถูกส่งมอบให้กับเจียวอิงจวิ้น
การสร้างที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์นั้นแตกต่างจากการสร้างที่อยู่อาศัยของครอบครัว
ในการสร้างพื้นที่พักอาศัยของพนักงาน สิ่งสำคัญอันดับแรกคือเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถจัดสรรบ้านให้พนักงานได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความสะดวกสบายและคุณภาพของบ้านมาเป็นอันดับสอง ในขณะที่จำนวนบ้านที่สามารถสร้างได้มีความสำคัญสูงสุด
ในทางกลับกันนักพัฒนาเชิงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของบ้านมากกว่า ดังนั้นพวกจึงต้องออกแบบอาคารอพาร์ตเมนต์
หน่วยที่อยู่อาศัยมีสี่ประเภท แบบสองห้องนอนพร้อมห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง ห้องนอนสองห้องพร้อมห้องนั่งเล่นสองห้อง ห้องนอนสามห้องพร้อมห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง และห้องนอนสามห้องพร้อมห้องนั่งเล่นสองห้อง อาคารทั้งหมดมีหกชั้น
ในปัจจุบันอาคารสวัสดิการครอบครัวในเมืองหลวงมีตั้งแต่สามถึงห้าชั้น
อาคารของพวกเขามีมากกว่าเพียงชั้นเดียว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะยอมรับมัน
หลินม่ายกำหนดกรอบทั่วไปสำหรับที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์เท่านั้น
ไม่ว่าการออกแบบจะเก่าแค่ไหน เจียวอิงจวิ้นจะต้องรับผิดชอบคุณภาพของบ้าน
หลินม่ายรับหน้าที่เป็นผู้จัดการโดยตรง คอยตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ
ส่วนใหญ่เธอต้องคอยดูแลลูกที่บ้าน เมื่อลูกหลับ เธอจึงไปอ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้ ชีวิตของเธอนั้นมีความสงบสุขอย่างมาก
อย่างไรก็ตามความเงียบสงบนี้ถูกทำลายจากเสียงโทรศัพท์จากผู้กำกับในอีกสองวัน
ผู้กำกับบอกหลินม่ายทางโทรศัพท์อย่างปลาบปลื้มใจว่า ภาพยนตร์ดอกแดนดิไลออนที่ปลายฟ้าจะเข้าฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ในเร็ว ๆ นี้
หลินม่ายรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็กังวลเช่นกัน
แม้ว่าภาพยนตร์ดอกแดนดิไลออนที่ปลายฟ้าจะเปิดตัวในฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังคว้ารางวัลบ็อกซ์ออฟฟิศอีกด้วย
แต่สุดท้ายแล้วตลาดก็มีจำกัด หลินม่ายในฐานะนักลงทุนทำกำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเธอต้องการทำกำไรก้อนโต ท้ายที่สุดเธอต้องพึ่งพาตลาดในแผ่นดินใหญ่
หนังเรื่องนี้กำลังจะเข้าฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ เธอไม่รู้ว่ามันจะทำสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศทะลุ 600 ล้านเหมือนชาติที่แล้วหรือเปล่า
ชีวิตในชาติที่แล้ว หนังเรื่องนี้ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ 600 ล้านในแผ่นดินใหญ่ตอนที่เข้าฉายก่อนวันชาติ
แต่ในชีวิตนี้ ภาพยนตร์ถูกปล่อยออกมาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน
เวลาต่างกันมาก ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามันจะเกิดทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกแบบไหน?
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแผนจะเข้าฉายที่เมืองเจียงเฉิงก่อนเพื่อทดลองตลาด
หากเสี่ยงตอบรับดีจะถูกนำไปฉายเซี่ยงไฮ้
ถ้ากระแสตอบรับยังดีอยู่ ก็จะเข้าฉายพร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
ผู้กำกับหวังว่าหลินม่ายจะสามารถโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เมื่อเข้าฉายในเมืองเจียงเฉิงและเซี่ยงไฮ้
หลินม่ายตอบตกลงอย่างว่าง่าย
เธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อโปรโมตภาพยนตร์ที่เธอลงทุน
แต่เธอยังต้องพาลูกไปด้วย
ครั้งสุดท้ายที่ไปฮ่องกง หลินม่ายต้องแยกจากลูกของเธอประมาณครึ่งเดือน
เมื่อแม่ลูกพบกันอีกครั้ง ลูกน้อยแทบจำหน้าของเธอไม่ได้ ซึ่งเธอยังจดจำสิ่งนี้อยู่ในใจ
หลินม่ายไม่ต้องการแยกจากลูกน้อยอีก ตราบใดที่เธอสามารถพาลูกไปด้วยได้ เธอก็จะพาเขาไปด้วยอย่างแน่นอน
และน้าทังจะตามไปช่วยดูแลลูกน้อยเช่นกัน
เพียงไม่กี่วันหลังจากที่หลินม่ายกลับจากเมืองเจียงเฉิง เธอก็ต้องพาน้าทังและลูกน้อยเดินทางไปอีก ซึ่งแทบเป็นการฆ่าฟางจั๋วหรานทางอ้อม
ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าหลินม่ายทะเลาะกับสามีและหนีออกจากบ้านพร้อมกับลูก
หลินม่ายดูถูกจินตนาการอันทรงพลังของเขาด้วยความเหยียดหยาม
เธออาจจะทะเลาะกับใครก็ได้ แต่เธอจะไม่ทะเลาะกับสามี กลับกันเธอจะถนอมผู้ชายคนนี้ไว้อย่างดี
ภาพยนตร์ดอกแดนดิไลออนที่ปลายฟ้าฉายรอบปฐมทัศน์ในเมืองเจียงเฉิง และทำรายได้มากกว่าสองพันตั้งแต่ในวันแรก
จากนั้นมันไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ และในเวลาไม่ถึงสี่วัน บ็อกซ์ออฟฟิศทะลุมากกว่า 100 ล้านแล้ว
ไม่ใช่แค่ผู้กำกับ แม้แต่หลินม่ายก็ตื่นเต้นมาก
แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าว่าบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์ทุนต่ำเรื่องนี้น่าทึ่ง แต่การได้รู้และได้เห็นด้วยตาของเธอเองนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ยิ่งกว่านั้นรายได้ครึ่งหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศยังเป็นของเธอ
นอกจากรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศแล้ว ความนิยมของภาพยนตร์เรื่องนี้ในแผ่นดินใหญ่ยังทำให้ร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วและเครื่องประดับไป๋เหอโด่งดังเป็นพลุแตกอีกครั้ง
ผลกำไรพลอยได้ก็น่าทึ่งมากเช่นกัน
ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนทั้งหมด หลินม่ายพาลูกน้อยและน้าทังติดตามทีมงานฝ่ายผลิตทั่วประเทศเพื่อโปรโมตภาพยนตร์ และไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงจนกว่าจะถึงสิบวันก่อนวันเปิดเทอม
การวิ่งเล่นเกือบหนึ่งเดือนทำให้ลูกน้อยได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายในโลกนี้
เมื่อก่อนเขาฉลาดมาก แต่ตอนนี้เขาฉลาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม และความสามารถในการปรับตัวของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย
ไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่มักร้องไห้เมื่อถูกคนแปลกหน้าสัมผัส เสี่ยวมู่ตงไม่ได้เป็นแบบนั้น
ทันทีที่เขามาถึงเมืองหลวง หลินม่ายถามเสี่ยวเหวินว่าทักษะภาษาอังกฤษของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
โต้วโต้วพูดแทรกขึ้นทันที “ภาษาอังกฤษของพี่ชายดีมากเลยค่ะ อาจารย์เอ่ยปากชมเขาตลอด!”
เสี่ยวเหวินยิ้มอย่างเขินอาย “ถึงอาจารย์จะคิดว่ามันดี แต่ผมยังต้องสอบให้ผ่านเพื่อเข้าโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงหวาน่ะครับ”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินม่ายพาเสี่ยวเหวินและลูกน้อยไปโรงเรียนประถมแห่งมหาวิทยาลัยชิงหวา
เสี่ยวเหวินทำข้อสอบในสำนักงาน ส่วนหลินม่ายช่วยเสี่ยวมู่ตงหัดเดินในสนามเด็กเล่น
แม้เสี่ยวมู่ตงจะมีอายุเพียงเจ็ดเดือน แต่อาจเป็นเพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายและมีพรสวรรค์ด้านกีฬา เขาเริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการเดินตั้งแต่อายุได้เพียงห้าเดือน
ตอนนี้เขาสามารถเดินด้วยตัวเองราวสองถึงสามนาทีโดยไม่มีคนช่วย แต่การเดินของเขายังไม่มั่นคงและมักล้มบ่อยครั้ง
แม่ลูกกำลังเดินเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ข้างสนามเด็กเล่น กว่าจะรู้ตัวก็ล่วงเลยเวลาไปสิบโมงเช้าแล้ว
หลินม่ายอุ้มเสี่ยวมู่ตงขึ้นมาและกำลังไปที่สำนักงานเพื่อดูเสี่ยวเหวิน
และเป็นเวลาเดียวกับที่เสี่ยวเหวินวิ่งไปมาหาพวกเขา ซึ่งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เธอทำข้อสอบเสร็จหมดแล้วหรือ?”
เสี่ยวเหวินพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
“คิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ควรได้เกิน 90 คะแนนในการสอบทุกวิชาครับ”
“เสี่ยวเหวินของอาสุดยอดมาก!” หลินม่ายกล่าวชื่นชมเขา จากนั้นเดินไปยังสำนักงานทันที และยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อรอฟังผล
การวัดผลแบบทดสอบของโรงเรียนประถมนั้นมีประสิทธิภาพมาก ครู 1 คนสำหรับวิชาภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษอีกวิชาละ 1 คน และภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที กระดาษทั้งหมดก็ถูกตรวจคะแนนเรียบร้อย
เสี่ยวเหวินยังคงสอบได้อย่างยอดเยี่ยม ในการสอบสามวิชา เขาได้คะแนนเต็มทุกวิชา ยกเว้นวิชาเรียงความภาษาจีน ซึ่งเสียไปสองคะแนน
รองอาจารย์ใหญ่ตัดสินใจยอมรับเสี่ยวเหวินทันที
เสี่ยวเหวินมีความสุขมากจนยิ้มหน้าบาน
แต่เมื่อเขาเห็นว่าหลินม่ายควักเงินหลายพันหยวนเพื่อชำระค่าลงทะเบียน เขาก็ปฏิเสธทันที
เขาดึงแขนเสื้อของหลินม่ายพลางกระซิบ “คุณอา เราไม่เรียนที่นี่กันเถอะ~”
หลินม่ายถามอย่างสงสัย “แล้วเรียนที่ไหนล่ะ?”
“โรงเรียนไหนถูกก็ไปโรงเรียนนั้น”
หลินม่ายดึงเขาออกจากสำนักงานและเคาะศีรษะของเขาแผ่วเบา “เธอโง่หรือยังไง เธอจ่ายเงินเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงหวาไม่ได้ และเธอต้องทำงานหนักเพื่อสอบให้ผ่าน เช่นนั้นอย่ายอมแพ้ง่าย ๆ สิ!”
“แต่ค่าธรรมเนียมแพงเกินไป!”
หลินม่ายกล่าว “หากเธอไม่มีใบอนุญาตพำนักในเมืองหลวง ไม่ว่าจะไปโรงเรียนประถมที่ไหนในเมืองหลวง เธอก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยตัวเอง สำนักการศึกษากำหนดค่าธรรมเนียมเท่ากัน ไม่ว่าเธอจะไปเรียนโรงเรียนประถมศึกษาที่ไหน ค่าธรรมเนียมการศึกษาก็จะเท่ากันทั้งหมด ในเมื่อค่าธรรมเนียมการศึกษาเท่ากัน ทำไมเราไม่ไปโรงเรียนประถมชั้นนำล่ะ?”
เสี่ยวเหวินไม่ได้พูดสิ่งใดตอบ
หลินม่ายพูดอีกครั้ง “ถ้าเธอเสียใจที่ฉันต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาจำนวนมาก เช่นนั้นเธอก็ตอบแทนฉันด้วยการตั้งใจเรียน”
เสี่ยวเหวินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
หลังจากกลับบ้าน คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ได้ทราบข่าวว่าเสี่ยวเหวินได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยชิงหวา พวกเขาจึงตัดสินใจออกไปทานอาหารมื้อใหญ่เพื่อเลี้ยงฉลอง
ในระหว่างรับประทานอาหาร คุณย่าฟางอดไม่ได้ที่จะวิจารณ์โต้วโต้วเล็กน้อย “ดูสิว่าเสี่ยวเหวินเก่งแค่ไหน ในวันหยุดฤดูร้อนเพียงครั้งเดียวเขาก็พัฒนาภาษาอังกฤษดีมากแล้ว โต้วโต้วเองก็ต้องทุ่มเทกับการเรียนให้มากขึ้นด้วย”
เมื่อถูกดุขณะที่เพลิดเพลินกับอาหาร ความกระตือรือร้นของโต้วโต้วก็ลดน้อยลง หล่อนก้มหัวลงเล็กน้อย แม้แต่หมูบะช่อน้ำแดงจานโปรดก็ไม่อร่อยอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่คุณย่าสั่งสอนเด็ก ๆ หลินม่ายมักจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย
แต่หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ เธอก็พูดขึ้นว่า “คุณย่าคะ แต่โต้วโต้ววาดภาพเก่งมากเลย”
คุณย่าฟางไม่ได้พูดอะไร
นางไม่เคยคิดว่าการวาดภาพจะมีอนาคตที่ดี และเชื่อเสมอว่าเทคโนโลยีต่างหากที่สามารถช่วยประเทศได้
วันรุ่งขึ้น ครอบครัวย้ายกลับไปที่บ้านหลังเล็กทางทิศตะวันตกของเมือง เพื่อให้หลินม่ายและเด็กน้อยทั้งสองเดินทางไปโรงเรียนได้สะดวก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณย่าใจเย็น ต่อให้หัวอ่อนเรื่องวิชาการก็มีพรสวรรค์อย่างอื่นได้ค่ะ ขอให้เป็นเลิศในด้านนั้นก็พัฒนาประเทศได้เหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)