ทุกคนถือเก้าอี้พับได้ที่หาซื้อได้ทั่วทุกแห่งภายในสถานี เก้าอี้พวกนี้ใครก็สามารถซื้อได้เพราะมันราคาแค่ตัวละสิบหยวนเท่านั้น พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถนำอาวุธปืนขึ้นมาบนรถไฟได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเอาเก้าอี้พับพวกนี้มาเป็นอาวุธแทน
ทุกมุมของตู้เสบียงถูกขวางเอาไว้ ถึงพวกเขาจะสู้กันจนใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเลือด แต่ข้อหาที่จะพวกเขาจะรับได้นั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าข้อหาทะเลาะวิวาทกันธรรมดา
เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติอย่างมากภายในเขตอวิ๋นกุย และไม่มีใครคิดที่จะตรวจสอบมันอย่างจริงจังนัก
มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกน้องของเหล่าลิ่วลงมือได้อย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
แต่โชคร้าย… ที่พวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับเธอและแอล
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มกริ่ม ทันทีที่ชายคนหนึ่งเหวี่ยงเก้าอี้ใส่ เธอก็เบี่ยงตัวหลบแล้วใช้ด้ามปืนฟาดเข้าที่ปลายคางของชายคนนั้นอย่างแรง
โครม!
ชายสองคนที่อยู่แถวหน้าล้มลงในทันใด!
ทุกคนรู้สึกทรมานอย่างมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
คนที่อยู่ด้านหลังคิดจะพุ่งเข้าใส่เธอ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกมือขึ้นแล้วชี้ปลายกระบอกปืนไปที่ศีรษะของหนึ่งในนั้น ”ถ้าฉันเป็นนาย จากนี้เป็นต้นไปฉันจะอยู่เงียบๆ”
อันธพาลที่กระโจนเข้ามา รวมถึงชายอีกสองคนที่อยู่บนพื้นต่างอ้าปากค้างหลังได้เห็นสิ่งที่อยู่ในมือเธอชัดๆ
เหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากของพวกเขา คนพวกนั้นมองตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าเหมือนเห็นปีศาจ!
เธอ เธอเอาปืนพกขึ้นมาบนรถไฟได้อย่างไร!
ไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้ในเขตอวิ๋นกุยนอกจากเหล่าลิ่ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองพวกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พร้อมกับโยนยาแผงหนึ่งให้ ”ยานอนหลับพวกนี้จะทำให้พวกนายหลับไปเงียบๆ สี่ชั่วโมงในทันที เอาไปกินคนละเม็ด พวกนายรีบกินเข้าไปจะดีกว่า เพราะตอนนี้ฉันไม่ค่อยมีความอดทนเท่าไหร่นัก”
หลังจากพูดจบ เธอก็แนบปลายกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของชายที่ถูกอัดจนน่วม
ชายคนนั้นตัวสั่น เขารีบกลืนยาเม็ดนั้นลงคอทันที
เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป สุดท้ายพวกเขาจึงฝืนข่มความเจ็บที่มุมปากแล้วกลืนยาลงไปอย่างรวดเร็ว
ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที นักค้ามนุษย์เจ็ดคนก็ล้มลงไปทีละคน และหลับสนิทอยู่ที่สองฝั่งของตู้เสบียง
ในเวลานี้ แอลที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเอ่ยขึ้นว่า ”ลูกพี่ ดูเหมือนตำรวจรถไฟที่อยู่ข้างหลังคุณจะสังเกตเห็นแล้วครับว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ เขาอยู่ห่างไปสิบห้าก้าว และกำลังเดินเข้ามาทางนี้”
“แยกชิ้นส่วนปืน” เฮ่อเหลียนเวยเวยสั่ง
แอลรีบก้มหน้าลง เสียงคลิกๆๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตำรวจรถไฟก้าวเร็วๆ เข้ามาหาพวกเธอ แล้วแตะบ่าเฮ่อเหลียนเวยเวย ”คุณผู้หญิง ช่วยส่งสิ่งที่อยู่ในมือมาด้วยครับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วสบตากับแอลที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปแล้วแบมือพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แต่สิ่งที่อยู่บนนั้นกลับมีแค่เพียงท่อเหล็กขนาดเล็กและหมุดอีกสองสามอันเท่านั้น
ตำรวจรถไฟขมวดคิ้ว ”เจ้าพวกนี้คืออะไร”
“ของเล่นที่เด็กๆ ชอบเล่นกันน่ะค่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเยือกเย็น ”ลูกชายฉันชอบงานฝีมือมาก” ต่างกันตรงที่ว่าเด็กคนอื่นชอบประกอบหุ่นยนต์เหล็ก แต่เสี่ยวชิงเฉิงประกอบปืนซุ่มยิง K47
ตำรวจรถไฟยื่นมือออกมาแล้วใช้กระบองเขี่ยท่อเหล็กเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเวยเวย เมื่อเห็นว่ามันไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงบอกว่า ”กลับไปที่นั่งแล้วดูแลสัมภาระของตัวเองได้แล้วครับ อย่ามารวมกันที่ตู้เสบียง”
“ค่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยรอยยิ้ม เธอก้าวถอยหลังแล้วใช้ขาของตัวเองบังนักค้ามนุษย์ที่หลับไปแล้วไว้ข้างหลัง
นักค้ามนุษย์คนอื่นๆ บนพื้นล้วนแต่นั่งอยู่ในท่า ’หลับ’ ตำรวจรถไฟไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีผู้โดยสารนั่งหลับกับพื้นเมื่อไม่มีที่นั่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตำรวจรถไฟเดินจากไป ก่อนจะดึงชายที่กองอยู่ที่เท้าขึ้นแล้วลากเขาไปยังอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบหูฟังออกจากหูของเขาด้วยความว่องไว้ เธอกดปิดไมค์แล้วจึงสวมมันเข้าที่หูตัวเอง
แอลกับเฮ่อเหลียนเวยเวยลงมืออย่างรวดเร็ว นักค้ามนุษย์เหล่านั้นล้วนแต่รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่คิดว่าจะสามารถรับมือกับพวกเธอได้ง่ายๆ!
แม้แต่เหล่าลิ่วก็ยังไม่รู้ว่าคนที่เขาวางกำลังไว้บนตู้โดยสารต่างถูกจัดการไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย…
ตู้เสบียงตู้นี้ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราแตกต่างไปจากตู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด พรมบนพื้นก็ทั้งนุ่มและสบายเท้า ที่กลางตู้เสบียงมีโต๊ะยาวทำจากไม้ตั้งอยู่ เหล่าลิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับโต๊ะไม้ และกำลังมองบรรดาลูกน้องของตัวเองด้วยสายตาดุร้าย ”เจ้าโง่! พวกแกมันโง่! พวกมันมีกันแค่สามคน แต่อีแค่ขวางไม่ให้พวกมันขึ้นรถไฟ พวกแกก็ยังทำไม่ได้เชียวหรือ!”
“เหล่า เหล่าลิ่ว พวกเราไม่ได้ละเลยหน้าที่นะครับ แต่เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนั้นมันเก่งเกินไปต่างหาก” ชายคนที่พูดตัวสั่นราวกับใบไม้ ”ขนาดพวกเราแปะยันต์ใส่ตัวพวกมันแล้วก็ยังไม่ได้ผลเลยครับ! หนึ่งในเด็กพวกนั้นน่ากลัวมาก ตาเขาเป็นสีแดงอย่างกับเลือด!”
“ตาสีแดงหรือ” ผู้หญิงที่สอนเด็กชายเขียนหนังสืออยู่ได้ยินคำพูดนั้น เธอรีบเงยหน้าขึ้น ผมยาวถึงเอวของเธอไหวน้อยๆ ”คุณหมายความว่าตาของเด็กคนนั้นเป็นสีแดงหรือ”
“ใช่ครับ มันเป็นสีแดงเลือดเหมือนเวลาที่ดอกกุหลาบบานสะพรั่งที่สุด” ความหวาดกลัวยังคั่งค้างอยู่ในใจของชายคนนั้น
ดูเหมือนเหล่าลิ่วจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ”หัวหน้า คุณรู้หรือครับว่าเด็กคนนั้นมาจากไหน”
“ตาสีแดงเลือด เขาน่าจะเป็นผีดูดเลือดหรือไม่ก็ปีศาจ” น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นแผ่วเบา ”ไม่ต้องไปสนใจ สมัยนี้ไม่มีปีศาจเลือดบริสุทธิ์อยู่อีกต่อไปแล้ว ปีศาจเด็กๆ สามารถจัดการได้ง่าย เอาล่ะ บอกฉันมาสิว่าพวกคุณทำอะไรลงไป ไปทำให้เขาโมโหได้อย่างไร”
ชายคนนั้นตัวสั่น เขาไม่กล้ามองเหล่าลิ่ว ”ผม ผม…”
“ช่างมันเถอะ ถามไปก็ไม่มีประโยชน์” ผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้น ”ในเมื่อเขาเป็นปีศาจรุ่นเยาว์ที่อยู่ใต้อาณัติของหมอผี เขาย่อมไม่ก้าวร้าว เอายันต์ทั้งหมดมา ฉันรู้แล้วว่าจะจัดการกับคนพวกนั้นอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เหล่าลิ่วก็รู้ว่าพวกเขากำลังจะได้เป็นผู้ชนะ
เขาเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้น
หารีติ เทพผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาที่ตรัสรู้ได้เพราะพระพุทธเจ้าตัวจริงเสียงจริง!
บนโลกนี้จะไปมีใครสามารถเอาชนะเทพเจ้าหรือพระอรหันต์ได้!
เหล่าลิ่วยิ้ม แล้วบอกกับลูกน้องตัวเองว่า ”ลืมเจ้าพวกนั้นไปเสียเถอะ พวกมันก็เป็นแค่เด็กไม่รู้ความ และไม่ได้สลักสำคัญอะไร ถ้ามีความช่วยเหลือจากหัวหน้า จุดจบของพวกมันก็คงอยู่อีกไม่ไกล ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน กลับไปที่ตู้นอนแล้วเอาสินค้าออกมาทีละสองชิ้นให้หัวหน้าดู ถ้าหัวหน้าถูกใจก็เก็บไว้ ถ้าไม่ก็ขายต่อ ผู้ซื้อรายใหญ่ของเรามีอยู่ทั้งสิ้นหกคน เรียกพวกเขาเข้ามาที่นี่ที”
“ครับ” ชายคนนั้นใจเย็นลงได้ในที่สุด เขาเดินไปที่ตู้นอน แล้วเปิดประตูห้องของผู้ซื้อที่ว่านั่นทีละห้อง ”เรียนแขกผู้มีเกียรติ การแสดงครั้งใหญ่ที่หัวหน้าลิ่วเตรียมไว้ให้ทุกคนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว…”
ครืด!
ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่งในเขตอวิ๋นกุย
พ่อบ้านในชุดทักซิโด้เปิดประตูเครื่องบินด้วยความเคารพ เขาก้มศีรษะลงครึ่งหนึ่งแล้วเอ่ยเรียกคนที่เดินอยู่ไกลๆ นั้นว่า ”นายท่าน”